เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 905 ยกให้ข้าเถอะ + ตอนที่ 906 เจอข้าคือโชคร้ายของเจ้า
ตอนที่ 905 ยกให้ข้าเถอะ + ตอนที่ 906 เจอข้าคือโชคร้ายของเจ้า
ตอนที่ 905 ยกให้ข้าเถอะ
สิบคนมาถึงด้านนอก เฟิ่งจิ่วไม่คิดจะพาอสูรกลืนเมฆาเข้าไปเขตพื้นที่พลังวิญญาณ ดังนั้นจึงส่งมันให้รองเจ้าสำนักดูแล พวกเขามาถึงสถานที่นัดหมาย ที่นั่นคนสำนักศึกษาอื่นมากันครบแล้ว เห็นพวกเขามา โดยเฉพาะพวกนักเรียนสำนักศึกษาสามดารา ใบหน้ามีรอยพกช้ำที่ยังไม่จางหาย ต่างจ้องมองพวกเขาอย่างแค้นเคือง
พวกเฟิ่งจิ่วไม่ไปสนใจพวกเขา แต่สายตาหยุดลงบนสิบคนจากสำนักศึกษาสองดารา เป็นผู้ชายแปดผู้หญิงสอง สวมเครื่องแบบสีขาวเหมือนๆ กัน บนเสื้อผ้ายังมีเหรียญตราดาราสองดวง
เห็นสิบคนนั้น นอกจากเฟิ่งจิ่ว คนอื่นๆ ล้วนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะกำลังสิบคนนั้นแข็งแกร่งมาก ในนั้นมีแปดคนเป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐาน ในหมู่แปดผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานยังมีสามคนเป็นระดับสร้างรากฐานขั้นกลาง หนึ่งคนเป็นขั้นสูงสุด สองคนนอกนั้นแม้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐาน กลับมีกำลังระดับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด พละกำลังเช่นนี้แกร่งกว่าคนแคว้นอื่นมากเกินไปจริงๆ
หากบอกว่าท่ามกลางสำนักศึกษาพวกนี้มีคนที่พละกำลังแข่งกับพวกเขาได้ เช่นนั้นต้องเป็นนักเรียนสำนักศึกษาสองดารานี้แล้ว
เมื่อพวกเขาพินิจมองสิบคนนั้น สิบคนนั้นก็พินิจมองพวกเนี่ยเถิงเช่นกัน หลังเห็นวรยุทธ์พวกเขาก็ละสายตาออกไปอย่างเย็นชา แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ท่าทางกลับเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
ใช่ เทียบกับพวกเขาแล้ว สำนักศึกษาหกดาราตรงนี้นอกจากเฟิ่งจิ่ว เนี่ยเถิง โอวหยางซิว และเซียวอี้หานสี่คนที่เป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐาน คนอื่นๆ ล้วนอยู่ระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณ หนำซ้ำยังไม่ใช่ยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณขั้นสูงสุด กำลังเช่นนั้นคนสำนักศึกษาสองดาราไม่ได้เห็นในสายตาเลยจริงๆ
เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักศึกษาสองดารามองเหล่านักเรียนตรงหน้า ยิ้มๆ แล้วสั่งคนแบ่งหินวิญญาณให้พวกเขา “หินวิญญาณพวกนี้ล้วนสัญลักษณ์พิเศษ เป็นหินวิญญาณของสำนักศึกษาสองดาราพวกเรา แม้บนตัวพวกเจ้ามีเช่นกันก็คงไม่ปะปนกัน”
“เอาล่ะ เชื่อว่าสำนักศึกษาพวกเจ้าและรองเจ้าสำนักคงกำชับพวกเจ้าไปแล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่พูดมาก พวกเจ้าเข้าไปประตูค่ายกลเถอะ! หลังเข้าประตูค่ายกลไป แม้เป็นนักเรียนสำนักศึกษาก็จะไม่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ล้วนจะกระจัดกระจายไป”
เจ้าสำนักศึกษาสองดารายิ้มกล่าว แล้วให้รองเจ้าสำนักข้างๆ เปิดประตูค่ายกลส่งพวกเขาเข้าไปยังเขตพื้นที่พลังวิญญาณ
“ไปเถอะ! ระวังตัวด้วย” พวกรองเจ้าสำนักมองพวกเฟิ่งจิ่ว พลางให้สัญญาณ
“ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก อสูรน้อยข้าต้องรบกวนให้ดูแลแล้ว” เธอมองอสูรกลืนเมฆาที่ตามอยู่ข้างกายรองเจ้าสำนัก เพราะตรงนี้มากคนมากหู คนไม่น้อยเห็นเธอพาอสูรกลืนเมฆามา หากเก็บเข้าห้วงมิติพาเข้าไปด้วย เกรงว่าจะสร้างปัญหา ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ส่งให้รองเจ้าสำนักดูแล
“ข้ารู้แล้ว” รองเจ้าสำนักพยักหน้า มองอสูรกลืนเมฆาเป็นเพียงสัตว์เลี้ยง และไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กกลมๆ นี้เป็นสัตว์เทวะ
ทุกคนจากสำนักอื่นก็กำชับและย้ำเตือน จากนั้นถึงจะเดินไปด้านในประตูค่ายกล นักเรียนห้าสำนักศึกษารวมห้าสิบคน ด้วยเหตุนี้จึงแบ่งเป็นสามกลุ่มส่งเข้าประตูค่ายกล พวกรองเจ้าสำนักหลังเห็นพวกเฟิ่งจิ่วหายไปในประตูค่ายกล ถึงจะหมุนตัวจากไป
“เจ้าตัวเล็ก ไปกันเถอะ! ระหว่างที่นายเจ้ายังไม่ออกมา เจ้าก็ติดตามข้าไปเถอะ” รองเจ้าสำนักกล่าว แล้วอุ้มอสูรกลืนเมฆาตัวกลมขึ้น
ทว่าโม่เฉินในชุดขาวราวเทพจุติกลับเดินเข้ามา บอกรองเจ้าสำนักว่า “สัตว์เลี้ยงตัวนี้ยกให้ข้าเถอะ!”
“นี่…” รองเจ้าสำนักลังเลไปบ้าง
“กรร!” แม้แต่อสูรกลืนเมฆายังคำรามเบาๆ
………………………………………………….
ตอนที่ 906 เจอข้าคือโชคร้ายของเจ้า
“ช่วงนี้ว่างๆ ไม่มีธุระอะไร จะฆ่าเวลาเสียหน่อย” โม่เฉินกล่าวจบก็อุ้มกลืนเมฆาไปทันที
รองเจ้าสำนักเห็นเขาพาสัตว์เลี้ยงออกไป ก็ส่ายหน้าเผยรอยยิ้มจำใจ แล้วสาวก้าวตามออกไป
ขณะเดียวกันนี้ เฟิ่งจิ่วที่ออกจากประตูค่ายกลเพียงรู้สึกว่าถูกแรงหนึ่งผลัก ร่างกายโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว เมื่อยั้งฝีเท้าไว้มั่นและเงยหน้ามองไปรอบๆ ก็เห็นความมืดสนิทไม่พบใครอื่น มีเพียงตนเองอยู่ตรงนี้
ดังนั้นหลังถอนหายใจเบาๆ เธอจึงใช้ดวงจิตสำรวจ พบว่าภายในหนึ่งลี้โดยรอบไม่มีคน มีเพียงเธอคนเดียว ทั้งที่เห็นว่าตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท เธอกลับไม่ความคิดที่จะพักผ่อน
ในนี้เป็นอย่างที่รองเจ้าสำนักบอกจริงๆ พลังวิญญาณล้นเหลือยิ่ง แม้เป็นสถานที่ลับแห่งนั้นในสำนักศึกษาแคว้นเหินเวหาก็เทียบที่นี่ไม่ได้สักนิด หนำซ้ำเธอพบว่าพลังวิญญาณที่นี่เข้มข้นกว่าในห้วงมิติเสียอีก แต่ความบริสุทธ์เทียบกับในห้วงมิติไม่ได้
“กลิ่นอายพลังวิญญาณที่หนาแน่นในนี้ถูกรวมขึ้นมาด้วยค่ายกลรวมพลังวิญญาณกับหินวิญญาณ แตกต่างจากห้วงมิติ แต่หินวิญญาณช่วยในการฝึกบำเพ็ญ หากฝึกบำเพ็ญในนี้จะยกระดับพลังได้ อีกอย่างมีเวลาอยู่ในนี้แค่ครึ่งเดือน เรื่องพักผ่อนไม่ต้องคิดเลย รีบทำเวลาหาจุดศูนย์กลางของค่ายกลรวมพลังวิญญาณดีกว่า!”
เธอพึมพำเบาๆ พลางมองไปรอบข้างแวบหนึ่ง เพราะเหตุจากกลิ่นอายพลังวิญญาณในอากาศ การจะหาศูนย์กลางแหล่งพลังวิญญาณไม่ใช่ง่ายๆ ดังนั้นเธอจึงหลับตาลง ใช้กลิ่นอายพลังวิญญาณช่วยสัมผัส
ในร่างเธอมีกลิ่นอายพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุด ซ้ำยังเป็นร่างเทพประทับ ประสาทสัมผัสด้วยกลิ่นอายพลังวิญญาณก็แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ด้วยเหตุนี้การใช้ร่างกายและพลังวิญญาณนำทางไปตามหาแหล่งพลังวิญญาณจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ
แต่หากเปลี่ยนเป็นพวกเนี่ยเถิง คิดจะตามหาแหล่งพลังวิญญาณก็ยากเย็นเล็กน้อย
ผ่านไปสักพัก เธอลืมตาขึ้นมา หันกายเล็กน้อยมองไปยังจุดที่มืดมิด ร่างสีขาวพุ่งไปท่ามกลางราตรีมืดสนิท ไปมาไร้ร่องรอยราวกับภูตผี…
ในเขตพื้นที่พลังวิญญาณเดียวกัน สถานที่ต่างกัน หลังจากลงสู่พื้นคนอื่นๆ ผ่อนคลายกันสักพักหนึ่ง ก็เริ่มตามหาตำแหน่งค่ายกลรวมพลังวิญญาณ หากฝึกบำเพ็ญในนี้ สถานที่ฝึกที่ดีที่สุดคือบริเวณรอบค่ายกลรวมพลังวิญญาณ เช่นนี้นักเรียนที่มาถึงที่นี่จึงไปตามหาสถานที่นี้กันเอง
ขอแค่พบสถานที่นี้ก่อนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เจอนักเรียนคนอื่นๆ และแย่งชิงแหล่งพลังจากพวกเขามาไม่ได้ ทว่าเรื่องยกเว้นการต่อสู้ไม่ค่อยสำคัญนักสำหรับบางคน เพราะพวกเขามั่นใจในพละกำลังของตนเอง คิดว่าแม้ไม่ต้องเลี่ยงก็เข้ารอบสิบคนสุดท้ายได้แน่นอน
ท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด ร่างสีขาวแต่ละร่างพุ่งผ่านไปทุกสารทิศเพื่อตามหาตำแหน่งค่ายกลรวมพลังวิญญาณ เทียบกับคนอื่นแล้ว เฟิ่งจิ่วรู้ตำแหน่งโดยคร่าวๆ เรียบร้อย และกำลังมุ่งไปยังทิศทางนั้น
ทว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ ร่างหนึ่งก็จู่โจมมาทางเธอ เธอเอี้ยวตัวแวบหลบการโจมตีของศัตรู ขณะเดียวกันก็ถอยหลังดึงระยะห่างแล้วจับจ้อง บนชุดขาวมีดาราสองดวง เป็นนักเรียนจากสำนักศึกษาสองดารา
“ฮึ! เจอข้านับว่าเป็นโชคร้ายของเจ้าแล้ว ส่งหินวิญญาณมาซะ” นักเรียนคนนั้นตะคอกเบาๆ แววตาคมกริบจ้องมองเฟิ่งจิ่ว
เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานขั้นกลาง ส่วนพลังที่เฟิ่งจิ่วเผยออกมาคือระดับสร้างรากฐานขั้นเริ่มต้น เมื่อมองเช่นนี้ การเจอนักเรียนระดับสร้างรากฐานขั้นกลางคือโชคร้ายจริง แต่จะเป็นโชคร้ายของเธอแน่หรือ?
เฟิ่งจิ่วหยีตาเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “ข้าก็อยากบอกเช่นกัน ส่งหินวิญญาณของเจ้ามาเสีย”
………………………………………………….