เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 937 ต้วนเยี่ยคนอื่น + ตอนที่ 938 เทือกเขาอเวจี
ตอนที่ 937 ต้วนเยี่ยคนอื่น + ตอนที่ 938 เทือกเขาอเวจี
ตอนที่ 937 ต้วนเยี่ยคนอื่น
“ทำไมจะไม่มี? ข้าได้ยินว่าแคว้นฉลองชัยมีเนินเขาสุสานรกร้าง ที่นั่นมีผีเต็มไปหมด แต่ตรงนั้นให้คนวางค่ายกลไว้แล้ว คนทั่วไปเข้าไปไม่ได้ และปกติก็ไม่มีใครเข้าไป”
เฟิ่งจิ่วเล่าไป กลับเห็นเด็กหนุ่มทำท่าก้มหน้าแสร้งว่าไม่ได้ยิน พลางยัดเนื้อไก่เข้าปาก เห็นเช่นนี้เธอก็เลิกคิ้ว แววตาวูบไหวเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อไปว่า “สถานที่นั้นผีเช่นไรล้วนมีหมด แต่ส่วนใหญ่เป็นผีร้าย ชุดขาวลอยพลิ้วฟันเขี้ยวขาว ซ้ำยังมีดวงไฟวิญญาณลอยล่อง อืม ถ้าไปตอนกลางคืนจะยิ่ง…”
“อ๊า! ไม่ต้องพูดแล้วๆ เจ้าเล่าเสียจนข้าขนลุกไปหมด” เด็กหนุ่มผลุงขึ้นมาร้องเสียงแหลมในที่สุด ถลึงตาจ้องมองเฟิ่งจิ่ว
เธอมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าแปลกๆ พลางเอ่ยว่า “อา? ข้านึกว่าเจ้าไม่กลัวถึงได้เล่า อีกอย่างเจ้าพวกนี้ไม่ได้เก่งกาจนัก ผีร้ายจากดวงวิญญาณพวกนั้นที่ร้ายกาจกว่ากลายเป็นวิญญาณผู้ฝึกตน นั่นสิถึงจะน่ากลัว”
“จะ เจ้าเคยเห็นหรือ?” บนใบหน้าหน้าเด็กน้อยของเขามีทั้งความหวาดกลัวและสงสัย
“เคยเห็นสิ! เจ้าอยากรู้หรือ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง” เธอเห็นใบหน้าเด็กหนุ่มหวาดกลัว ในดวงตากลับยังมีความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่อาจปิดบัง ดังนั้นจึงยิ้มเอ่ย “ตอนนี้ยังฟ้าสว่าง ไม่มีอะไรหรอก กลางวันเล่าเรื่องผีไม่เป็นไร แต่กลางคืนไม่ต้องพูดถึงเลย”
“ก็ใช่ เช่นนั้นเอาเถอะ! เจ้าเล่ามา ข้าจะฟัง” เขานั่งลงอีกครั้ง เขยิบเข้าไปใกล้ๆ ข้างกายเฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วเห็นดังนั้นก็ยิ้มหยีตา กล่าวยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงก็มีผีดีๆ ด้วย เพียงแต่ค่อนข้างน้อยกว่าเท่านั้น ครั้งหนึ่งข้าผ่านไปสถานที่หนึ่ง เห็นว่าท้องฟ้ามืดจึงคิดจะพักแรม ตอนนั้นเห็นที่นั่นมีเพียงครอบครัวเดียวก็รู้สึกว่าผิดปกตินัก แต่คิดว่าคงไม่มีอะไร พอจะเข้าไปถามก็เห็นว่าหน้าประตูมีเด็กน้อยอายุสามสี่ขวบ…”
“เด็กคนนั้นเป็นผีหรือ?”
“ไม่ใช่ เด็กไม่ใช่ผี แต่ปู่ย่าพ่อแม่ล้วนเป็นผี เพราะถูกคนฆ่าตาย ซ้ำยังอาฆาตแค้นไม่ปล่อยวาง ด้วยเหตุนี้…”
สิงโตไฟที่ยืนข้างๆ เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดแล้ว ได้เบิกปัญญานานแล้ว ยามนี้ก็มองนายท่านของตนนั่งฟังหนุ่มน้อยชุดแดงที่ไม่รู้มาจากไหนเล่าเรื่องผีอยู่ตรงนั้นอย่างสนอกสนใจ
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป สิงโตไฟที่เดิมทีไม่ค่อยสนใจพลันฉุกคิดในใจ สายตาดุร้ายจับจ้องบริเวณหนึ่ง
ภายในป่าไม้ไม่ไกล อสูรกลืนเมฆาตัวอ้วนกลมกำลังสาวก้าวเล็กวิ่งเหยาะๆ กลับมา มันชำเลืองมองสิงโตไฟตัวโต ก่อนจะมาที่ข้างกายนายท่านตนเอง
“เอ๊? นี่สัตว์เลี้ยงเจ้าหรือ”
เด็กหนุ่มเห็นอสูรน้อยตัวกระปุ๊กลุก ในดวงตาก็เผยความดูแคลน “อสูรน้อยตัวเล็กเพียงนี้ ซ้ำยังช่วยต่อสู้ไม่ได้ เจ้าจะเลี้ยงไว้ทำไม แบบนี้เหมาะให้พวกผู้หญิงเลี้ยงเล่นเท่านั้น”
กลืนเมฆาเหล่มองเขา ไม่ได้สนใจเกินไปนักด้วยซ้ำ ช่างเป็นคนที่มีตาหามีแววไม่
เฟิ่งจิ่วหัวเราะเบาๆ พลางลูบขนอ่อนนุ่มของอสูรกลืนเมฆา “มันนามว่ากลืนเมฆา อสูรน้อยของข้า เป็นอย่างไร? อ้วนกลมน่ารักยิ่งใช่หรือไม่? เหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้าใช่ไหม?”
“ฮึ! ไม่เห็นน่ารักตรงไหนเลย ผู้ชายเราไม่ชอบอะไรเล็กๆ เช่นนี้หรอก” เขากล่าวจบยังเชิดคางเอ่ยเปรยว่า “เจ้าดูสัตว์เลี้ยงข้าสิ มันเป็นอสูรนักสู้ระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด สี่เท้าเหยียบเป็นไฟ แม้ไม่ต้องคำรามก็สง่างามน่าเกรงขาม”
“อสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด อืม ระดับไม่ได้ต่ำเลย” เธอพยักหน้าพร้อมยิ้มเอ่ย
เขากล่าวอย่างลำพองใจ “ใช่ไหมล่ะ? ข้าพาคนไปจับมาเอง”
………………………………………………….
ตอนที่ 938 เทือกเขาอเวจี
“ด้วยพลังระดับสร้างรากฐานขั้นสูงสุดของเจ้า ยังจับสิงโตไฟอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดเช่นนี้ไม่ได้หรอก คิดว่าอย่างน้อยสุดยังต้องมีผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณสองคนร่วมด้วยกระมัง?”
ต้วนเยี่ยได้ยินคำพูดนี้ก็ตกใจ ดวงตาเผยความระแวดระวัง “เจ้ามองวรยุทธ์ข้าออกหรือ?”
“มองออกสิ! ทำไมจะมองไม่ออก?”
“เป็นไปได้อย่างไร” เขาไม่เชื่อสักเท่าไร
เฟิ่งจิ่วฉีกยิ้มกว้าง ยื่นมือตบครั้งหนึ่ง “ทำไมจะไม่ได้ พละกำลังของข้าเดิมทีก็สูงกว่าเจ้า”
“สูงกว่าข้า? เจ้าเป็นระดับหลอมแก่นพลังหรือไร” เขายิ้มเยาะ พินิจมองเฟิ่งจิ่วหัวจรดเท้า “ยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณขั้นสูงสุด?”
“ฮ่าๆๆๆ” เธอหัวเราะลั่น “นั่นข้ากดไว้ต่างหาก มิเช่นนั้นจะสะดุดตาเกินไป”
“อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลัง” สิ้นเสียง เขาเห็นเฟิ่งจิ่วยังยิ้มราวกับจิ้งจอก ก็อดตะลึงไม่ได้ ร้องเสียงหลงว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังจริงๆ หรือ? เป็นไปได้อย่างไร?”
“ไม่หรอกๆ” เธอหยีตายิ้ม “เจ้าจะมองข้าเป็นยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณขั้นสูงสุดก็ได้ ระดับหลอมแก่นพลังนี้ข้าเพิ่งบรรลุขั้นมาไม่กี่วัน”
ต้วนเยี่ยมองสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจยิ่งของเฟิ่งจิ่ว มุมปากกระตุกเล็กน้อย ถามว่า “เจ้ามาจากแคว้นระดับเจ็ดจริงหรือ? กำลังวรยุทธ์ของคนแคว้นระดับเจ็ดผิดเพี้ยนถึงเพียงนี้แล้ว?”
เขาอยู่แคว้นระดับสองมาถึงช่วงอายุเท่านี้ พลังก็ไม่เป็นสองรองใครแล้ว แต่หมอนี่พิลึกกว่า ดูท่าทางโตกว่าเขาหนึ่งถึงสองปี นึกไม่ถึงว่าจะหลอมแก่นพลังทองแล้ว?
เขาใช้ศอกกระทุ้งเด็กหนุ่มข้างกาย “พวกเราคุยกันมาตั้งนานเพียงนี้ เจ้ายังไม่บอกชื่อข้าอีกหรือ”
“เฟิ่งจิ่ว” เธอเผยรอยยิ้มพลางตอบ
“เฟิ่งจิ่ว? เจ้าเป็นคนที่เก้าหรือ?”
เธอได้ยินเช่นนี้ มุมปากก็กระตุก “ใครกำหนดว่าชื่อเฟิ่งจิ่วต้องเป็นคนที่เก้าเล่า ชื่อข้านามว่าเฟิ่งจิ่ว”
“ไม่เพราะเท่าไร” เขาเบ้ปากว่า
เธอมองเขาอย่างหมดคำจะพูด ก่อนตบๆ ชุดคลุมที่เปรอะขี้เถ้าพลางลุกขึ้นยืนโดยไม่ปริกปากอีก
“เจ้าจะไปแล้วหรือ?” ต้วนเยี่ยเห็นเช่นนั้นก็รีบถาม
เฟิ่งจิ่วชายตามองเขา ถามว่า “เจ้ารู้จักเทือกเขาอเวจีไหม?”
“เทือกเขาอเวจี? เคยได้ยินแต่ไม่เคยไป เล่ากันว่าเทือกเขาอเวจีของพวกเราที่นี่เชื่อมต่อกับป่าแดนนรกในแปดจักรวรรดิใหญ่ ทุกที่ล้วนมีสิ่งล้ำค่า แต่ก็อันตรายทุกแห่งเช่นกัน หนำซ้ำบางคนจากแปดจักรวรรดิยังไปฝึกวิชาที่นั่น”
เขากล่าวจบก็จ้องเฟิ่งจิ่ว ใบหน้าเด็กน้อยเต็มไปด้วยความหนักใจ ถามว่า “จู่ๆ เจ้าพูดถึงเรื่องนี้ทำไม? อย่าบอกนะว่าเจ้าว่างเลยคิดจะไปเดินเล่นที่นั่น”
“จริงๆ เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าอยากไปเดินเล่นที่นั่น ฝึกฝนวิชาสักรอบ ข้าจึงอยากหาสักสองสามคนรวมกลุ่มไปด้วยกัน เจ้ากล้าไปด้วยหรือไม่?” เธอเลิกคิ้วมองเขา
ได้ยินเช่นนี้ เขาถลึงตาจ้องมองเฟิ่งจิ่ว ร้องเสียงหลงว่า “เจ้าอยากตายหรือไร? สถานที่นั้นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังเข้าไปก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนรอดออกมา คนทางแถบพวกเรายังมีน้อยคนนักที่กล้าเข้าไป”
“คนอื่นไม่กล้า ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่กล้า! ข้าถามว่าเจ้ากล้าไปด้วยกันหรือไม่?”
เธอจับจ้องเขา ไม่คิดจะบอกว่าตนเองเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาสองดารา เพียงวางแผนจะพาตัวคนไปทันที แล้วแวะไปฝึกวิชาที่นั่นเสียเลย เชื่อว่ายามออกมาแม้พละกำลังไม่ก้าวหน้า ฝีมือกับความสามารถในการรับมือสถานการณ์ก็พัฒนาได้ ครบเวลาหนึ่งปีผ่านไปค่อยพากลับไปเป็นพอ
ต้วนเยี่ยคิดๆ ดู ใบหน้าเด็กน้อยน่ารักยามนี้ยู่จนกลายเป็นก้อน ผ่านไปเนิ่นนานถึงถามว่า “แค่พวกเราสองคนหรือ?”
เฟิ่งจิ่วได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ้มๆ มองเขาอย่างมีเลศนัย “แน่นอนว่าไม่ ยังขาดอีกสามคน”
………………………………………………….