เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 965 ไม่มีเขาไม่ได้ + ตอนที่ 966 พาไปเสียเลย
ตอนที่ 965 ไม่มีเขาไม่ได้ + ตอนที่ 966 พาไปเสียเลย
ตอนที่ 965 ไม่มีเขาไม่ได้
หนิงหลางกล่าวคำพูดนี้จบ ก็สังเกตท่าทีของเฟิ่งจิ่วไปเงียบๆ อย่างหวั่นใจ หลังจากเห็นท่าทางเขาไม่เปลี่ยนไป และยังคงสีหน้าสงบนิ่งไว้ ถึงแอบโล่งใจในทันที คิดว่าตนเองจะไปหรือไม่คงไม่สำคัญอะไร ถึงไม่ไปพวกเขาก็ไปหาคนอื่นได้ อืม คงเป็นเช่นนี้แหละ
ส่วนต้วนเยี่ย หลังจากได้ยินคำพูดเขาก็ชำเลืองมองเฟิ่งจิ่ว เดิมคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายยังแค่มองเฟิ่งจิ่วโดยไม่พูดอะไร
“ไม่เป็นไร เทือกเขาอเวจีอันตรายมากจริงๆ เจ้าไปไม่ก็เป็นเรื่องปกติ” เฟิ่งจิ่วพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ
“เหอะๆๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะเข้าใจข้า” เขาตบๆ หน้าอกพลางฉีกยิ้ม “อันที่จริงข้ายุ่งมาก ไปไม่ได้จริงๆ ในเมืองมีกิจการมากมายต้องดูแล หนำซ้ำยังมีบัญชีต้องคำนวณอีกเยอะ ขาดข้าไปคงไม่ได้”
“อืม ข้ารู้แล้ว” เฟิ่งจิ่วหรี่ตายิ้มพลางขานรับ
“เป็นเช่นนี้แหละ ข้าจะไปทำงานก่อน ประเดี๋ยวตอนบ่ายข้าจะไปเดินเล่นในเมืองเป็นเพื่อนพวกเจ้าเอง” เขายิ้มบอกอย่างสบายใจ ลุกขึ้นโบกๆ มือให้ทั้งสอง แล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว
รอจนเขาออกไปแล้ว ต้วนเยี่ยมองเฟิ่งจิ่วและถามว่า “เจ้าคิดจะพาเขาไปอย่างไร?” กล่าวจบยังค่อนข้างแปลกใจ “ทำไมถึงไม่มีเขาไม่ได้?”
เฟิ่งจิ่วหยิบป้ายหยกออกมาส่ายๆ ตรงหน้าเขา “เพราะเจ้านี่”
ต้วนเยี่ยเห็นป้ายหยกสถานะอาจารย์สำนักศึกษาสองดารา ก็สูดลมหายใจเข้า ใบหน้าเด็กน้อยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนถลึงตามองเฟิ่งจิ่ว “จะ เจ้าเป็นอาจารย์สำนักศึกษาสองดารา? กล่าวเช่นนี้ เจ้ามาตามหาข้าก็เป็นเรื่องที่ไตรตรองไว้ก่อนหรือ”
“อะไรเรียกว่าไตร่ตรองไว้ก่อน? แค่วางแผนแต่เนิ่นๆ เท่านั้น”
เธอยักไหล่ บอกว่า “ข้าจะบอกเจ้าตรงๆ แล้วกัน! เพราะเรื่องบางอย่าง ข้าจึงกลายเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาสองดารา แต่ไม่ได้รับผิดชอบสอนนักเรียนคนอื่นในสำนักศึกษา สิ่งที่ข้าต้องรับผิดชอบคือเด็กแสบเจ้าปัญหาอย่างพวกเจ้าสี่คน เป็นเวลารวมหนึ่งปี วางใจเถอะ ผ่านไปหนึ่งปีข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปสำนักศึกษา ถึงเวลานั้นจะอยู่สำนักศึกษาหรือกลับบ้านไป ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก”
“คนสำนักศึกษาสองดาราไม่รู้ล่ะสิว่าเจ้าคือภูตหมอ?” หากรู้ก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะให้เฟิ่งจิ่วมา หนำซ้ำอยู่ด้วยกันมาตลอดทาง คิดว่าเฟิ่งจิ่วเป็นคนที่คาดเดายากและอันตราย ใครบอกว่าภูตหมอรู้แค่เรื่องยาและยาอายุวัฒนะ? จะฆ่าคนขึ้นมายังง่ายดายแบบไม่กะพริบตา?
เฟิ่งจิ่วลูบๆ คางพลางขบคิด “อืม น่าจะไม่รู้เรื่อง” ผ่านไปพักหนึ่งก็ลุกขึ้น บอกว่า “เอาละ เจ้าเก็บของเสียเถอะ! เราจะไปกันตอนฟ้ามืด มิเช่นนั้นอยู่ที่นี่นานไปเรื่องวุ่นวายจะยิ่งมากเกิน”
ต้วนเยี่ยเห็นเขาเดินออกไปก็ตะโกนว่า “เจ้าจะไปไหน?”
“ข้าจะไปหาท่านเจ้าเมืองและคุยกันเสียหน่อย” เธอโบกๆ มือพลางพูดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า หลังจากมาหาพ่อบ้านข้างหน้า ก็ถูกพาไปยังเรือนของเจ้าเมือง…
เจ้าเมืองกับฮูหยินกำลังสนทนากัน ได้ยินพ่อบ้านรายงานข้างนอกก็ตกใจทันควัน รีบลุกขึ้นออกไปต้อนรับ เมื่อเห็นร่างสีแดงในลานบ้าน สองคนสามีภรรยามองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไป “คุณชายเฟิ่ง? มาหาพวกเรามีอะไรจะสั่งหรือ?”
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ “ไม่ใช่ขอรับ ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากคุยกับทั้งสองท่านสักหน่อย”
พวกเขาเห็นเช่นนี้ก็เชิญเฟิ่งจิ่วเข้าไปข้างใน ปิดประตูห้องลง นอกจากสามคนในห้อง ใครก็ต่างไม่รู้ว่าข้างในกำลังคุยอะไรกันแน่ เพียงรู้ว่าผ่านไปเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป สามีภรรยาเจ้าเมืองก็ออกมาส่งเฟิ่งจิ่วด้วยความเคารพ
………………………………………………….
ตอนที่ 966 พาไปเสียเลย
“ไปเรียกคุณชายมา” เจ้าเมืองสั่งพ่อบ้าน
“ขอรับ” พ่อบ้านขานรับ แล้วเร่งฝีเท้าไปตามหนิงหลาง
ไม่นานนักหนิงหลางก็มาถึงในเรือน มองพ่อแม่นั่งดื่มชาอยู่ตรงโต๊ะ และมานั่งลงข้างกายพวกเขาสองคน “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านตามหาข้ามีเรื่องอะไรขอรับ”
“เด็กคนนี้ๆ วันๆ สนใจแต่จะหาเงิน ร่างกายตนเองไม่รู้จักสนใจ มาสิ นี่เป็นน้ำแกงที่แม่สั่งคนไปตุ๋นมาให้” ฮูหยินให้สัญญาณ พร้อมผลักน้ำแกงตุ๋นบนโต๊ะไปเบื้องหน้าเขา
“ท่านแม่ช่างดีจริงๆ” เขาหรี่ดวงตาตี่เล็กพลางยิ้ม ก่อนจะเปิดออกซดน้ำแกง
เจ้าเมืองข้างๆ เห็นแล้วก็กระแอมเบาๆ รอจนเขาดื่มหมดถึงจะกำชับว่า “เมื่อออกไปข้างนอกทุกเรื่องล้วนต้องระวังมากขึ้น เชื่อฟังคำพูดคุณชายเฟิ่งให้มากๆ เจออะไรที่ไม่เข้าใจต้องถาม จะวุ่นวายตามอำเภอใจเหมือนอยู่ในบ้านไม่ได้ ทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ อีกอย่าง…”
หนิงหลางได้ยินบิดากำลังพร่ำพูด ก็ไม่เข้าใจสักเท่าไร “ท่านพ่อ ท่านพูดเรื่องพวกนี้ไปทำไม? ข้ายังไม่ได้ออกไปไหนไกล” ทำไมคำพูดนี้ยากจะเข้าใจเพียงนั้น?
“จำสิ่งที่พ่อเจ้าพูดไว้ หลางเอ๋อร์ เจ้าต้องรู้ว่าเงินทำไม่ได้ทุกอย่าง แม่หวังว่าเจ้าออกไปฝึกวิชา กลับมาภายหน้าจะเปลี่ยนนิสัยที่หลงใหลในเงินตรานี้ได้ เจ้าว่าหากอนาคตพ่อเจ้ายกเมืองหนิงให้เจ้าดูแล นิสัยเจ้ายังหลงใหลเงินตราเช่นนี้จะใช้ได้เสียที่ไหน? ไม่เพียงไม่ทำให้ข้ารับใช้ยำเกรง หนำซ้ำเกรงว่าจะทนเงินทองสิ่งล่อใจไม่ได้” ฮูหยินกล่าวด้วยคำพูดลึกซึ้ง ในดวงตาที่มองเขามีความกังวลที่ไม่เปลี่ยนไป
“ท่านแม่ ท่านโปรดวาง…” เสียงเขาชะงักไป แล้วส่ายหน้า “แปลกนัก ทำไมข้าถึงรู้สึก…เวียนหัว?”
เขามองพ่อแม่ของตน เพียงเห็นสองคนตรงหน้ากลายเป็นสี่ร่าง เขาสะบัดศีรษะอยากจะมองให้ชัดๆ กลับพบว่ายังมองเห็นไม่ได้ชัด ศีรษะหนักอึ้ง จากนั้นร่างกายล้มลงไปนอน
สองสามีภรรยาเห็นเช่นนี้ก็มองหน้ากันพร้อมถอนใจเบาๆ วางสิ่งของที่เตรียมไว้ติดตัวไปให้เขา แล้วถึงจะสั่งการว่า “เรียกคนมาแบกคุณชายขึ้นรถม้า”
“ขอรับ” พ่อบ้านขานรับ เรียกทหารอารักขาสองคนเข้ามาแบกคนออกไปขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้ข้างนอก
อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วกับต้วนเยี่ยเดินออกมา เห็นพวกเขาประคองเจ้าอ้วนที่หมดสติขึ้นรถม้าพอดี ครั้นเห็นภาพเช่นนี้มุมปากต้วนเยี่ยกระตุก เหลือบมองเฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วพูดจริงทำจริง ลักพาคนไปจริงๆ ยามนี้เขาสงสัยอย่างแรงกล้าว่า หากตอนแรกเขาไม่ตกลงตามเฟิ่งจิ่วไป จะถูกทำให้สลบและส่งขึ้นรถม้าเช่นนี้ด้วยหรือไม่?
คิดดูแล้ว ความจริงก็มีความเป็นไปได้
“คุณชายเฟิ่ง ทั้งหมดเตรียมพร้อมเรียบร้อย” เจ้าเมืองหนิงพูด มองรถม้าแวบหนึ่งและถอนหายใจ คารวะเฟิ่งจิ่วพลางบอกว่า “ลูกชายผู้ไม่เอาไหนคนนี้ ต้องรบกวนคุณชายเฟิ่งแล้ว”
“ท่านเจ้าเมืองโปรดวางใจเถอะ” เธอพยักหน้าเล็กน้อย แล้วขึ้นรถม้าไปพร้อมต้วนเยี่ย สิ่งที่แตกต่างไปคือรถม้าคันนี้ไม่มีคนคุมรถ ได้แต่ให้ต้วนเยี่ยที่เปลี่ยนมาสวมชุดหรูหรารับหน้าที่นี้
เนื่องจากออกไปเงียบๆ ทางประตูหลัง รถม้าคันไม่สะดุดตาเร่งออกจากเมืองอย่างเงียบเชียบในยามที่ประตูเมืองปิด กลุ่มอำนาจอื่นๆ ในเมืองจึงไม่ทันสังเกตว่าพวกเขาออกไปแล้ว ถึงอย่างไรใครก็นึกไม่ถึงว่าวันนี้พวกเขาเพิ่งไปจวนตระกูลเหอมา ช่วงเย็นก็จากไปแล้ว หนำซ้ำยังไปทางประตูหลัง
บนทางภูเขามืดมิด รถม้าคันหนึ่งอาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องสลัวๆ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปหาเป้าหมายคนถัดไป…
………………………………………………….