เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 969 ค่าห้องไปเก็บจากเขา + ตอนที่ 970 ไม้ท่อนหนึ่ง
ตอนที่ 969 ค่าห้องไปเก็บจากเขา + ตอนที่ 970 ไม้ท่อนหนึ่ง
ตอนที่ 969 ค่าห้องไปเก็บจากเขา
หลิงหลางวางฝีเท้าลงเบาๆ กลั้นหายใจเดินไปชั้นล่างอย่างเงียบๆ เมื่อมาถึงชั้นล่างและกำลังจะพ้นประตูไปก็โดนเรียกไว้
“คุณชาย คุณชาย” เจ้าของโรงเตี๊ยมเรียกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กลับไม่รู้ว่าน้ำเสียงกุลีกุจอของเขาทำให้หนิงหลางตกใจเสียจนใจเต้นรัว
หนิงหลางตบๆ หน้าอก สงบใจที่ถูกทำให้ตกใจสะดุ้ง แล้วหันกลับไปกดเสียงเบาลงพลางถลึงจ้องเจ้าของโรงเตี๊ยม “จะเสียงดังเพียงนั้นทำไม? แล้วเรียกข้าทำไมด้วย?”
“เหอะๆ คุณชาย กฎของโรงเตี๊ยมเรา ค่าห้องต้องจ่ายก่อนครึ่งวัน ท่านว่า…” เจ้าของโรงเตี๊ยมมาเอ่ยยังข้างกายเขา
หนิงหลางได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “จ่ายก่อนครึ่งวัน? เจ้ากลัวพวกข้าไม่มีเงินให้หรือไร?”
“ไม่ใช่ขอรับๆ เป็นเพราะ…” คำพูดของเจ้าของโรงเตี๊ยมยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็โดนตัดบทเสียแล้ว
“เอาล่ะๆ ห้องครึ่งวันนี้กลับไปเก็บจากคนสวมชุดแดงเป็นพอ ข้ายังมีธุระต้องออกไป อย่าทำให้ข้าเสียเวลา” เขาโบกๆ มือพลางเอ่ย ลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าตนเองเคยบอกเฟิ่งจิ่วกับต้วนเยี่ย ว่าเงินในการเดินทางครั้งนี้ให้เขาจ่ายทั้งหมด
หรือเดิมทีเขาไม่ได้ลืม แต่นิสัยตระหนี่ทำให้เป็นเช่นนี้ ให้หาเงินเขายังชื่นชอบ ให้เขาจ่ายเงินก็ต้องคิดเสียหน่อย
เจ้าของโรงเตี๊ยมได้ยินคำพูดของเขาก็อึ้งไป มองหนุ่มน้อยเจ้าเนื้อออกไปอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไร คิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้แสงทองวาววับ ทั่วร่างล้วนแสดงถึงเงิน ว่าเขามีเงินมาก แต่ใครจะรู้ว่าค่าห้องแม้สักครึ่งยังไม่จ่าย
เขาคิดว่าอาจเพราะเด็กหนุ่มไม่พกเงินติดตัว ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นก็โดนสะบัดทิ้งไป หนุ่มน้อยเช่นนั้นจะไม่มีเงินติดตัวได้เช่นไร? ยามนี้เห็นอสูรน้อยตามออกไปด้วย ยังตกใจในทันที “อสูรน้อยของใครกัน? เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร?”
ทว่าไม่รอเขาได้สติกลับมา หนึ่งคนหนึ่งอสูรก็ไม่เห็นเงาเสียแล้ว เมื่อส่ายหน้าและกำลังคิดจะกลับไปโต๊ะหน้าร้าน เห็นเด็กหนุ่มชุดแดงลงมา ดังนั้นจึงหรี่ตายิ้มเดินเข้าไป “คุณชาย เมื่อครู่คุณชายท่านนั้นบอกว่าค่าห้องมาเก็บจากท่านได้เลย เหอะๆ ระเบียบของโรงเตี๊ยม ตอนเข้าพักต้องจ่างค่าห้องก่อนครึ่งวัน ท่านว่า…” สองมือเขาถูเสียดกัน พร้อมปั้นหน้ายิ้มมองเด็กหนุ่มชุดแดงเบื้องหน้า
เฟิ่งจิ่วได้ยินคำพูดนี้ก็เลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “เขาบอกให้เก็บค่าห้องจากข้าหรือ?”
“ใช่ขอรับ” เจ้าของโรงเตี๊ยมพยักหน้า
รอยยิ้มตรงริมฝีปากเฟิ่งจิ่วยิ่งลึกขึ้น ก่อนจะหยิบสองเหรียญทองมาโยนให้เขา “พอหรือเปล่า?”
“พอ พอขอรับ” เจ้าของโรงเตี๊ยมใบหน้ายิ้มแย้ม รีบพยักหน้ายิ้มๆ
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ สาวก้าวเดินไปข้างนอก อาศัยพันธสัญญาของอสูรกลืนเมฆาไล่ตามไปด้านหลังอย่างไม่เร่งไม่ช้า
หนิงหลางยามนี้ยังไม่รู้ ออกจากโรงเตี๊ยมไปไม่นานก็ถูกคนเพ่งเล็ง ไม่ใช่อสูรกลืนเมฆาที่แอบตามไปด้านหลัง และไม่ใช่เฟิ่งจิ่ว แต่เป็นผู้ฝึกตนไร้สังกัดสองสามคน
แทบพูดได้ว่าตั้งแต่พวกเขาเข้าไปโรงเตี๊ยมก็ถูกคนเพ่งเล็ง หนุ่มน้อยชุดแดงงดงามชั่วร้าย เด็กหนุ่มหน้าอ่อนท่าทางสูงส่ง ส่วนเจ้าเด็กอ้วนเจ้าเนื้อก็มีกลิ่นอายเงินทอง
แต่งตัวประกายทองวาววับ เหมือนกำลังบอกคนอื่นว่า ‘ข้ามีเงินมากมาย ข้ามีเงินเยอะยิ่ง’ อีกทั้งไม่มีทหารอารักขาติดตามคุ้มกัน อายุยังแค่สิบห้าสิบหก แน่นอนว่ากลายเป็นเป้าหมายที่คนบางพวกเพ่งเล็ง
หนิงหลางเพราะกลัวว่าหลังเฟิ่งจิ่วกับต้วนเยี่ยพบว่าตนเองไม่อยู่จะไล่ตามมา ด้วยเหตุนี้จึงไปยังตรอกที่ทั้งเล็กและไม่มีใคร เมื่อเลี้ยวไปหนึ่งโค้งพลันรู้สึกไม่ค่อยถูกต้องนัก
………………………………………………….
ตอนที่ 970 ไม้ท่อนหนึ่ง
หรือเฟิ่งจิ่วกับต้วนเยี่ยรู้ว่าข้าแอบหนี?
ความคิดนี้ปรากฏ แผ่นหลังเขาแข็งทื่อ แม้แต่แขนขาเดินไปยังกระด้างเล็กน้อย ทว่าหลังจากเดินไปสักระยะ ยังคงไม่ได้ยินเสียงพวกเขา คิดว่าเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้องนัก หากพวกเขาสองคนเห็นตนเองแอบหนีจะต้องตะโกนเรียกไว้แน่ๆ เช่นนั้นไม่ใช่พวกเขาหรือ?
“ใครน่ะ? ทำอะไรลับๆ ล่อๆ…”
“ผัวะ!”
เขาหันกลับไปตะโกนลั่นทันที ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ตอบโต้กลับมาไม่ใช่เสียงของใคร แต่เป็นไม้ท่อนหนึ่งตีรับหน้าอย่างรุนแรง ความเร็วอันว่องไวทำให้เขาหลบไม่ทัน ถึงขั้นว่าแม้แต่คนที่ลอบโจมตีตนเองเป็นใครยังไม่เห็นก็สลบไปแล้ว
ตรงหัวมุมอสูรกลืนเมฆากำลังจะพุ่งออกไป ก็โดนเฟิ่งจิ่วที่ตามมาด้านหลังกดไว้ เธออุ้มอสูรกลืนเมฆาไว้ในอ้อมแขนและถอยหลังไปเล็กน้อย หลังจากเห็นผู้ฝึกตนสองสามคนนั้นมองซ้ายขวา ก็แบกหนิงหลางไป
เธอเห็นเช่นนี้ก็ยกริมฝีปาก ตามหลังคนพวกนั้นไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
เจ้าเด็กอ้วนฉลาดก็ฉลาด เสียดายยังไม่เจนโลกและระวังตัวไม่พอ พละกำลังระดับสร้างรากฐานขั้นเริ่มต้นเจอพวกผู้ฝึกตนไร้สังกัดที่วรยุทธ์สูงกว่าตนเอง เขาไม่สามารถต่อต้านได้โดยสิ้นเชิง โอ้ ไม่สิ ควรพูดว่าแม้แต่โอกาสต่อต้านหรือตอบโต้ยังไม่มีเลย ถูกคนใช้ท่อนไม้ตีก็สลบไปทันควัน
เธอตามคนพวกนั้นมาถึงชุมชนยากไร้ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่พวกผู้ฝึกตนไร้สังกัดผู้ยากจนและเสียแขนขาดขา รวมถึงคนชั่วช้าที่สุดพักอาศัยกัน ริมถนนและบริเวณตรอกมีผู้ชายรวมกลุ่มสามถึงห้าคนนั่งย่อบนพื้น บางคนในมือถือไหเหล้าดื่ม บางคนล้อมวงนั่งเล่นพนันด้วยกัน
เมื่อเธอที่สวมชุดแดงเดินเข้ามา สายตาคนพวกนั้นก็หยุดลงบนร่างเธอตลอด ติดตามอย่างใกล้ชิด พินิจมองพลางสอดส่อง
ชาวบ้านยากจนเหลือเพียงพวกคนแก่กับเด็ก พวกผู้หญิงสาวๆ อยู่ในสถานที่เช่นนี้ไม่ได้ เพราะวุ่นวายเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงพูดได้ว่าแทบจะไม่เห็นผู้หญิงเลยสักคน แน่นอนว่านอกจากพวกผู้ฝึกตนหญิงร่างอ้วนที่ร่างกายอ้วนท้วนหน้าตาน่าเกลียด
เพราะความยากไร้ของชุมชนนี้ สถานที่ในนี้จึงดูสกปรกไปบ้าง บนถนนและตรงตรอกเห็นขยะได้ทุกที่ บ้านเรือนทรุดโทรมมีความรู้สึกหลวมโพรกจางๆ ราวกับขอแค่ออกแรงผลักก็จะพังทลายโครมคราม ดูแล้วอันตรายอย่างยิ่ง
เธออุ้มอสูรกลืนเมฆาเดินไป จิตใจนิ่งหยุดยังพวกคนที่แบกหนิงหลางตรงหน้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่กลัวว่าจะหาพวกเขาไม่พบ ฝีเท้าเธอไม่ได้เร็ว มองไปรอบข้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเมื่อเห็นเด็กสี่ห้าขวบสองคนที่เท้าเปล่าเนื้อตัวมอมแมมเล่นกันตรงด้านใต้กำแพงอันตราย เธอยิ่งขมวดคิ้ว
โลกก็ไม่ยุติธรรมเช่นนี้ บางคนพักตำหนักวังหรูหรา บางคนแม้แต่ที่อาศัยยังไม่มี บางคนกินอาหารอันโอชะ บางคนกลับท้องหิวและผอมจนเห็นกระดูก
“พวกเจ้าสองคน มานี่ซิ” เธอหยุดฝีเท้าลงเผยรอยยิ้มพลางกวักมือ ให้สัญญาณเด็กสองคนนั้นเข้ามา
เด็กทั้งสองแม้อายุแต่สี่ห้าขวบกลับมีความระวังตัว พวกเขามองสัตว์เลี้ยงน่ารักในอ้อมแขนเฟิ่งจิ่ว ในดวงตามีทั้งความอิจฉาและสงสัยกลับไม่กล้าเข้าไป แต่ร่างกายเอนพิงกำแพง นิ้วมือขุดไปบนกำแพงดิน พร้อมมองไปทางเฟิ่งจิ่วอย่างเงียบๆ บ่อยครั้ง
เฟิ่งจิ่วเห็นท่าทางก็หยิบขนมกล่องเล็กจากห้วงมิติ แล้วนำออกมาหนึ่งชิ้น “ดูสิ ข้ามีขนมอบด้วย! เข้ามาข้าจะให้พวกเจ้า”
เด็กทั้งสองคนมองขนมอบสีขาวเนียน กลืนน้ำลายทั้งในดวงตามีความกระหาย สุดท้ายยังคงต้านทานสิ่งล่อใจจากขนมอบแสนประณีตไม่ไหว ก้าวเท้าเปล่าเดินไปทางเฟิ่งจิ่ว
………………………………………………….