เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 100 ตระกูลจั่วกล้าหาญ
ตอนที่ 100 ตระกูลจั่วกล้าหาญ
จนกระทั่งจี้หยวนจากไปได้ครู่หนึ่งแล้ว ในที่สุดทุกคนในร้านตระกูลเหยียนแห่งนี้ก็รักษาความเคร่งขรึมแบบเมื่อกี้นี้ไม่ไหวอีก ไม่ว่าสายเลือดตระกูลจั่วหรือคนตระกูลเหยียนคนอื่น ต่างก็กระซิบกระซาบคุยกันด้วยความตื่นเต้น
“พวกข้าได้พบเซียนแล้ว!”
“มีเซียนอยู่จริงๆ เซียนกระบี่จั่ว ไม่ใช่ จอมยุทธ์จั่วหลีไม่ได้ฝักใฝ่ในมาร!”
“อวี้เหนียง พวกท่านคิดจะเลือกทางใด”
“ให้ท่านเซียนชี้แนะเถอะ เผื่อจะมีจั่วหลีเพิ่มอีกสักคน!”
“มิน่าคนรุ่นหลังตระกูลจั่วฝึกตำรากระบี่แล้วถึงไม่ประสบผลสำเร็จเท่าไหร่ ที่แท้บรรพบุรุษเคยได้รับคำชี้แนะจากเซียน ถึงได้ไร้เทียนทานเช่นนั้น!”
“อาป๋อหรัน พวกท่านจะเลือกทางใดหรือ!”
“โย่วเทียน โย่วซิน พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
เกิดการถกเถียงกันขึ้นแล้ว ต่างคนต่างก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่
“อะแฮ่ม…แค่กๆ…”
นายช่างชราในห้องโถงกระแอมหนักๆ หลายเสียง สงบเสียงเซ็งแซ่ทั้งหมดได้
“เรื่องนี้ให้ตระกูลจั่วตัดสินใจ คนที่ไม่เกี่ยวข้องรอก่อน หรือไม่ก็ไปทำงานของตัวเองเสีย แยกย้ายเถอะ!”
เขามีอำนาจมากอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่เขาเอ่ยปาก ทุกคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ล้วนเปลี่ยนเป็นพูดเสียงเบา พากันแยกย้ายออกไป ระเบียบภายในครอบครัวและสัญญาลับหลายต่อหลายปียังคงอยู่ ไม่จำเป็นต้องกำชับอีกให้มากความ ไม่มีใครพูดเรื่องร้านตระกูลเหยียนกับคนนอกแน่นอน
“อาเหยียน นี่พวกเรา…”
จั่วป๋อหรันเพิ่งเอ่ยปาก ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกชายชรายกมือห้าม ฝ่ายชายชราดื่มน้ำชาของตัวเองรวดเดียวจนหมดแล้วถึงกล่าว
“ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าตัดสินใจกันเอง ข้าไม่มีทางเข้าไปแทรก!”
ทันทีที่พูดจบ ชายชราเดินไปยังตำแหน่งที่จี้หยวนเคยนั่ง ยกจอกชาที่ดื่มจนหมดแล้วขึ้นมา
“อืม ปู่เหยียน เรื่องเก็บโต๊ะให้พวกข้าทำดีกว่า!”
ชายวัยสามสิบปีคนนั้นพูดขึ้น ทว่าชายชราถลึงตาใส่
“ข้าจะนำไปเซ่นไหว้สักหน่อย ของที่เซียนเคยดื่ม เด็กอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
ชายชราถือจอกชาเดินไปทางศาลบรรพบุรุษอย่างระวัดระวังโดยไม่สนใจเช่นกันว่าคนอื่นคิดอย่างไร ทิ้งให้คนตระกูลจั่วกลุ่มหนึ่งต้องมองหน้ากัน
เสียงตีเหล็กนอกห้องโถงดังขึ้นสลับกัน คนตระกูลจั่วรวมตัวกันอยู่ตรงนี้ สามีของจั่วอวี้เหนียงก็ไม่ได้เข้าร่วมเช่นกัน
เมื่อเผชิญกับปัญหาที่ไม่ว่าเลือกทางใดแล้วล้วนเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนตระกูลจั่วทั้งหมด ใครล้วนรู้ว่าต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เวลาคล้ายกับผ่านไปเร็วมาก จนกระทั่งตกกลางคืนก็ยังไม่มีข้อสรุป
ภายในห้องโถงของบ้านจั่วป๋อหรัน ทุกคนในตระกูลจั่วนั่งล้อมรอบอยู่ด้วยกัน บนโต๊ะแปดเซียนตัวหนึ่งตั้งตะเกียงเอาไว้ ผู้อาวุโสนั่งที่หน้าโต๊ะ เด็กสองคนกับย่านั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้เอนตัวใหญ่อย่างเงียบๆ
“มาๆๆ บะหมี่เสร็จแล้ว ตั้งแต่กลางวันจนถึงตอนนี้ทุกคนไม่ได้กินอะไรเลย แม้แต่เด็กสองคนนี้ก็กินไปแค่ขนม มากินอะไรกันสักหน่อยเถอะ!”
จั่วอวี้เหนียงและสะใภ้สองคนยกถาดไม้สามใบเดินออกมา บนถาดเป็นบะหมี่หลายชามพร้อมควันฉุย ใส่เผือก ผัก และเติมน้ำมันลงหม้อพร้อมกับบะหมี่ เป็นฝีมือของสะใภ้ใหญ่
“พี่ใหญ่ พี่รอง วางมือก่อนเถอะ!”
“อืม!”
“ได้!”
บะหมี่ชามแล้วชามเล่าถูกวางลงบนโต๊ะ เด็กเล็กสองคนตื่นเต็มตาในทันที กระโดดลงจากอกย่าทั้งซ้ายและขวาด้วยความตื่นเต้น
“บะหมี่!”
“ดียิ่งนัก บะหมี่น้ำมันของท่านแม่ ฮ่าๆๆ!”
เด็กสองคนเบียดไปถึงข้างกายมารดา เห็นปู่ไม่ได้คัดค้านอะไรจึงนั่งข้างๆ กันบนเก้าอี้ตัวยาว เริ่มกินอย่างเบิกบานใจโดยมีจั่วโย่วเทียนคอยช่วยยกชามใบใหญ่และถือตะเกียบ เด็กอายุสามขวบยังจับตะเกียบไม่มั่นคง จึงสูดเส้นเข้าปากเพียงอย่างเดียว น้ำแกงกระเด็นไปทั่วทีป ทว่าวันนี้พ่อแม่ไม่ได้ตำหนิพวกเขา
สำหรับเด็กทั้งสองคน พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่าการเลือกครั้งนี้สำคัญเพียงใด รู้สึกเหมือนกับตอนที่ทุกคนรวมตัวปรึกษาเรื่องงานแต่งงานของอาหญิงก่อนจะแต่งออกไปเมื่อปีที่แล้ว
“ทุกคนกินกันก่อนเถอะ อย่าปล่อยให้บะหมี่เย็น!”
นอกจากเด็กสองคน จั่วอวี้เหนียงไม่เห็นใครขยับตะเกียบ จึงกล่าวเตือนขึ้นมาคำหนึ่ง
“เฮ้อ…ต่อให้กินไม่ลงก็กินสักสองคำเถอะ!”
จั่วป๋อหรันเอ่ยปากแล้ว คนอื่นในบ้านถึงจะขยับตะเกียบ บางคนกินอย่างไม่รับรสชาติอีกต่างหาก
ความจริงแล้วหลังจากผ่านไปทั้งวัน การถกเกียงเกี่ยวกับทางเลือกได้ข้อสรุปแล้ว การโต้แย้งหลักๆ อยู่ระหว่างพ่อลูก
จั่วป๋อหรันและภรรยาเลือกทางเลือกแรก ทิ้งประกาศิตเซียน ปกป้องตระกูล ดูแลลูกหลานให้ปลอดภัย มีบรรพบุรุษคุ้มครอง ส่วนโย่วเทียนและโย่วซินสองพี่น้องกลับอยากเลือกทางเลือกที่สองมากกว่า มีเซียนส่งทอดวิชา มีจั่วหลีผู้ไร้เทียมทานคนที่สองและสามต่อไป เรื่องเช่นตระกูลรุ่งโรจน์ย่อมกลายเป็นความจริง
จั่วอวี้เหนียงไม่พูดอะไร สะใภ้สองคนแม้จะแต่งเข้าตระกูลจั่วและนับเป็นคนตระกูลจั่ว ทว่าทั้งไม่มีความเห็นและไม่กล้าเอ่ยปาก
เมื่อกินบะหมี่ไปได้พอประมาณแล้ว ราวกับมีเรี่ยวแรงปรึกษากันอีกครั้ง จั่วป๋อหรันจึงพูดขึ้น
“โย่วเทียน โย่วซิน วันนี้ข้าพูดคำนี้หลายรอบมากแล้ว แต่ก็ยังต้องเตือนอีกสักรอบ ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในใต้หล้าจริง อาจจะทวงความยุติธรรมให้ตระกูลจั่วได้ แล้วหลังจากนั้นเล่า ครอบครองความรุ่งโรจน์ครึ่งชีวิตของบรรพบุรุษพวกเจ้า แล้วจะฉายจุดจบหลังจากนั้นของตระกูลจั่วอีกครั้งหรือไม่ และเกรงว่าครั้งนี้จะรักษาตระกูลเหยียนเอาไว้ไม่ได้ อาจจะลากตระกูลเหยียนให้จบสิ้นไปด้วยกัน!”
“ท่านพ่อ พลาดไปครั้งหนึ่ง ฉลาดขึ้นอีกหนึ่งขั้น ตระกูลจั่วของพวกเราเจอความยากลำบากมากมายขนาดนั้น จะตกต่ำสิ้นท่าอีกครั้งได้อย่างไร ข้าและโย่วซิน รวมถึงจั่วอวี้เหนียงล้วนเป็นผู้มีฝีมือ เด็กสองคนก็มีวาสนาได้พบเซียน ทีแรกมีแค่บรรพบุรุษ ตอนนี้พวกเราล้วนมีโอกาสทั้งสิ้น! ตระกูลเหยียนช่วยพวกเรามานานนัก ต่อไปพวกข้าก็จะมีโอกาสตอบแทนทุกคนเช่นกัน!”
จั่วโย่วซินรีบเอ่ยต่อ
“ใช่แล้วท่านพ่อ ท่านเป็นคนบอกพวกข้าเองว่าในปีนั้นตระกูลจั่วของพวกเรารุ่งเรืองเพียงใด ข้ากับท่านพี่ล้วนไม่เคยเห็น แต่กลับรับรู้ความโกรธเคืองได้ตั้งแต่เด็ก ท่านต้องไม่พอใจเช่นกันแน่ๆ พวกเราถูกคนรังแกมานานมาก แม้แต่ตระกูลล้วนไม่มีแล้ว หรือคิดจะเป็นตระกูลเหยียนไม่เป็นตระกูลจั่วไปตลอด บรรพบุรุษที่อยู่ในปรโลกรู้เข้าจะมองลูกหลานอย่างพวกเราอย่างไร”
คำสุดท้ายของจั่วโย่วเทียนมีอานุถาพต่อจั่วป๋อหรันร้ายแรงมาก จั่วอวี้เหนียงที่อยู่ข้างๆ ทนไม่ไหว เตะพี่รองอยู่ใต้โต๊ะครั้งหนึ่ง
การถกเถียงหยุดลงอีกครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งสว่างได้ไม่เท่าไหร่ ร้านตระกูลเหยียนมีคนตื่นเช้า มองไปทางบ้านของจั่วป๋อหรัน พบว่าหน้าต่างห้องโถงยังคงมีแสงส่องออกมาเช่นเดิม
“พวกอาป๋อหรันไม่ได้นอนทั้งคืน…”
“หากเป็นข้าก็คงนอนไม่หลับเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี”
คนอื่นสงสัยอยู่ข้างนอก ส่วนคนตระกูลจั่วที่อยู่ในเรือนก็มีความรู้สึกนั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง เซียนเพียงบอกว่าจะมาในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่ได้บอกว่าจะมาตอนเช้าหรือตอนเย็น
นอกจากเด็กสองคนแล้ว ทุกคนไม่ได้นอนเลยทั้งคืน แต่กลับไม่มีใครหมดเรี่ยวแรง ยิ่งฟ้าสว่างยิ่งขึ้น แต่ละคนก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นตาม
วันนี้เป็นวันเมฆเยอะ หลังจากเลยช่วงเที่ยงวันไปเล็กน้อย ท้องฟ้าถึงเริ่มมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นรางๆ
เมื่อพ้นเที่ยงวันแล้ว จี้หยวนถึงไปยังร้านตระกูลเหยียนอีกครั้ง และเป็นไปตามที่คาดไว้ คนทางนั้นกำลังรอเขาด้วยความตึงเครียด แม้กระทั่งเตรียมสุราและอาหารที่ห้องโถงไว้เต็มโต๊ะ ขอเพียงเซียนยินดีก็เริ่มงานเลี้ยงได้ทันที
ยังคงเป็นโถงรับแขกเมื่อวาน ทว่าคนมุงดูแทบจะไม่มี น่าจะเป็นเพราะผู้เฒ่าเหยียนมีคำสั่งลงมาแล้ว จึงมีแค่คนตระกูลจั่วจำนวนหนึ่งที่อยู่ในโถงรับแขก รวมถึงจี้หยวนและชายชราตระกูลเหยียนสองคนที่เป็นคนนอก
คนตระกูลจั่วยืนเรียงแถวอยู่ในห้องโถง ส่วนจี้หยวนและผู้เฒ่าเหยียนนั่งอยู่ข้างใน บนโต๊ะข้างๆ เก้าอี้ไม่เพียงมีจอกชา ยังมีพู่กันและจานฝนหมึกเตรียมพร้อมไว้ด้วย
จี้หยวนมองคนตระกูลจั่วทั้งเด็กและชรา ทุกคนมีเส้นเลือดฝอยขึ้นตาอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับสดใสไม่น้อยทีเดียว
“เอาล่ะ คนรุ่นหลังตระกูลจั่วทุกท่านตัดสินใจแล้วหรือยัง”
จั่วป๋อหรันก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วโค้งตัวให้จี้หยวน
“เรียนท่านจี้ ยังไม่ได้ตัดสินใจขอรับ”
“ป๋อหรัน พวกเจ้า!”
ผู้เฒ่าเหยียนข้างๆ ได้ยินแล้วโมโหขึ้นมาทันที จั่วป๋อหรันจึงรีบเอ่ย
“อาเหยียนอย่าโมโหไป ไม่นานก็จะตัดสินใจได้…”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ จั่วป๋อหรันหันไปหาจี้หยวน ถามอย่างนอบน้อม
“ท่านจี้ ไม่ทราบว่าถามท่านสักหนึ่งคำถามได้หรือไม่ ขอท่านช่วยพวกข้าตัดสินใจ”
“ถามเถอะ”
จี้หยวนมีสีหน้าเรียบเฉย หากพวกเขาอยากพิจารณาอีกสักสองสามวันก็ใช่ว่าไม่ได้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่อย่างยิ่งยวดสำหรับตระกูลจั่ว
“ข้าน้อยอยากถามว่าวิชายุทธ์ติดตัวท่านทวดในตอนนั้น เป็นเพราะท่านชี้แนะให้ หรือเป็นเพราะความสามารถของท่านทวดเอง”
จี้หยวนฟังแล้วไม่มีสีหน้าผิดแปลก ตอบอย่างสงบนิ่งอย่างยิ่ง
“จั่วหลีมีพรสวรรค์ทางด้านวิชายุทธ์ ย่อมต้องเป็นเพราะความสามารถของเขาอยู่แล้ว!”
พอได้ยินคำตอบนี้ จั่วป๋อหรันมองลูกชายสองคนครั้งหนึ่ง จากนั้นเคยประสานมือเอ่ยกับจี้หยวน
“ในอนาคต ตราบใดที่คนตระกูลจั่วไม่ลืมว่าตัวเองควรจะใช้ตระกูล ‘จั่ว’ ตระกูลของตระกูลจั่ว ก็ต้องมีสักวันที่จะทวงกลับมาได้! ท่านจี้ พวกข้าเลือกทางแรกขอรับ!”
จี้หยวนยิ้มแล้ว ขณะเดียวกันก็มองคนตระกูลจั่ว ชายหนุ่มสองคนที่แต่เดิมไม่พอใจอยู่บ้าง เมื่อบิดาพูดประโยคนี้ออกมาก็ไม่ลังเลอีก มีสีหน้าเช่นเดียวกับจั่วอวี้เหนียง
“ไม่เลว…ความกล้าหาญกลับมาแล้ว!”
คำชมนี้ของจี้หยวนคล้ายกับแปลกประหลาด แต่กลับคล้ายมีความนัยลึกซึ้ง
จี้หยวนลุกขึ้นยืน หยิบพู่กันจากบนโต๊ะ แตะน้ำหมึกเล็กน้อย จากนั้นเขียนประกาศิตบนกระดาษ ด้วยใช้พลังอย่างสุดความสามารถ ผมยาวจึงลอยคว้างกลางอากาศเล็กน้อย
‘สงบสุขแข็งแรง มารทั้งหลายไม่มาผจญ ฉลาดและห้าวหาญ ความเหนื่อยยากไม่มาเยือน! มอบโชคชะตานี้ให้คนรุ่นหลังตระกูลจั่ว!’
ตัวอักษรน้อยใหญ่บนกระดาษแทบจะเขียนเสร็จในพู่กันเดียว ระหว่างเขียนพู่กันน้ำหมึกไม่พอ กระนั้นมีน้ำหมึกหลายหยดลอยออกจากแท่นฝนหมึกมาเติมตัวพู่กันเอง ผู้ที่มองเห็นต่างก็ตื่นเต้นยกใหญ่
เมื่อประกาศิตเสร็จสิ้น ทุกคนล้วนเห็นแสงสว่างฉายวาบบนกระดาษ จี้หยวนตาเวียนศีรษะเล็กน้อย เกือบจะยืนไม่มั่นคง ปรับลมหายใจอยู่ครั้งหนึ่งถึงจะหมุนกายกลับมา มองคนทั้งหมดที่กำลังยืดคอรอดู
“ประกาศิตนี้มอบให้คนรุ่นหลังตระกูลจั่ว คนอื่นแย่งชิงไปก็ไร้ประโยชน์ หากสายเลือดตระกูลจั่วขาดสะบั้น ประกาศิตถึงจะเสื่อมสลาย!”
ครืน…
บนฟ้ามีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น มองดูคล้ายมีเมฆดำรวมกลุ่ม ฝนกำลังจะตก
จี้หยวนที่อารมณ์ดีมากกลับไม่ได้หยุดการมอบของขวัญในวันนี้
“ฮ่าๆๆ…คนตระกูลจั่ว ดูให้ดีเชียว!”
จี้หยวนวางพู่กันลง เหยียบควันสีเขียวไปยังข้างนอกห้องโถง โบกมือครั้งหนึ่ง กระบี่เครือเขียวลอยมาตกลงที่มือของเขา
“อย่ากะพริบตา!”
ยิ้มพลางพูด ทั้งตัวจี้หยวนกลายเป็นมังกรคะนองเริงระบำ ร่ายรำกระบี่ตรงหน้าห้องโถง
เงาร่างเดี๋ยวลวงตา เดี๋ยวปรากฏ อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น กระบี่เครือเขียวราวมรกตทอประกายกระบี่เหมือนน้ำไหลจากฝ่ามือของจี้หยวน
ซ่า…
ฝนเม็ดละเอียดตกลงจากท้องฟ้า เม็ดฝนที่ตกลงมาเวียนวนทั้งด้านหน้าและหลังของจี้หยวนราวกับมังกร หมุนไปตามประกายกระบี่
มังกรคะนองประทานฝนทำให้เกิดมังกรน้ำที่ขยับเขยื้อนได้ ก่อนจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าในแนวตะแคง…
คนตระกูลจั่วในห้องโถงและผู้เฒ่าเหยียนเพียงตัวแข็งทื่อมองเซียนร่ายรำกระบี่กลางสายฝนเขม็ง ไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง ยากนักที่จะปกปิดความตื่นเต้นและตื้นตันไว้ได้!