เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 101 หลักการสร้างหมาก
ตอนที่ 101 หลักการสร้างหมาก
ยามฝนตกหนักขึ้นทีละน้อย จี้หยวนสวมชุดเขียวร่ายกระบี่ ชุดคลุมยาวแขนกว้างไม่เพียงไม่ส่งผลต่อความแคล่วคล่องของการออกกระบี่ กลับทำให้โดดเด่นอย่างยิ่ง ไม่อ่อนแอหรือแข็งกร้าวเกินไป
คล้ายไม่มีกระบวนท่าหรือท่าร่างตายตัวใดๆ หยาดฝนร่วงหล่นเหมือนถูกเส้นไหมไร้รูปนับไม่ถ้วนชักนำ พลิ้วไหวตามอานุภาพกระบี่ยามหมุนตัว กายจิตประสาน กระบี่หมุนวนตามใจ
ทุกหยาดฝนคือกระบี่ ทุกกระบี่กลายเป็นหยาดฝน
บางทีอาจผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจ หรืออาจผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เมื่อจี้หยวนร่ายกระบี่เสร็จ สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวกลับมายืนมือไพล่หลัง ยามนี้น้ำฝนข้างกายเป็นวงกลมตามการหมุนตัวของจี้หยวน ตรงเท้าเขาเกิดเกลียวคลื่นทรงวงแหวนกว้างหนึ่งจั้ง จากนั้นค่อยหายไปกับน้ำฝนบนพื้นช้าๆ
แม้ว่าหยุดกระบี่แล้ว แต่น้ำฝนร่วงหล่นกลับหลบห่างจากจี้หยวน ตกลงข้างกายไหลไปข้างฝ่าเท้า
จี้หยวนมองคนตระกูลจั่วภายในห้องรับแขก
“นี่คือเจตเทพมังกรเหิน ไม่มีกระบวนท่าหรือแบบแผน สามารถหลอมรวมวิชายุทธ์ทั่วหล้าไว้ภายใน หยั่งรู้ได้หรือไม่ หยั่งรู้ได้เท่าไหร่ก็อยู่ที่พวกเจ้าแล้ว”
พูดจบจี้หยวนเดินมากลางฝน ยามก้าวเข้าโถงรับแขกใหม่อีกครั้ง ใต้ฝ่าเท้ากลับไม่มีรอยน้ำแม้แต่น้อย เสื้อผ้าบนตัวไม่เปียกชื้นเช่นกัน
ในเมื่อครั้งนี้ต้องเป็นผู้สูงส่งมรรคเซียน ย่อมต้องวางท่ามากพอเป็นธรรมดา
คนตระกูลจั่วกับผู้เฒ่าเหยียนเหมือนยังไม่ดึงสติกลับมาจากเซียนร่ายกระบี่อัศจรรย์ยิ่งยวดเมื่อครู่ ยังคงมองไปนอกห้องอย่างเหม่อลอย คล้ายว่าเงามายายังร่ายกระบี่อยู่กลางสายฝน
ครู่ใหญ่จั่วป๋อหรันดึงสติกลับมาเป็นคนแรก จากนั้นพวกจั่วโย่วเทียนกับจั่วโย่วซินค่อยดึงสติกลับมา เด็กสองคนมองฝนอย่างอึ้งงันอยู่บ้าง ส่วนคนตระกูลจั่วไม่มีใครพูดสักคน กระทั่งเด็กสองคนดึงสติกลับมายืนพิงข้างกายมารดา คนตระกูลจั่วกับผู้เฒ่าเหยียนจึงกล้าหายใจเฮือกใหญ่
จี้หยวนกลับนั่งดื่มชาอยู่หน้าโต๊ะ ยังยกกาน้ำชารินให้ตัวเองต่อ รอคนตระกูลจั่วดึงสติกลับมาจนครบ เขาจึงยิ้มไปทางพวกเขา
เห็นผู้เฒ่าเหยียนเผยสีหน้าอักอ่วน จี้หยวนรีบกล่าวทักเขาเล็กน้อย
“ผู้เฒ่าเหยียนไม่ต้องกังวล ท่านไม่เคยช่วงชิงอะไรจากตระกูลจั่ว ข้าไม่ถือสาว่าท่านคอยสังเกตอยู่ข้างๆ ใครเล่าจะมีความเห็น นั่งลงดื่มชาเถอะ!”
“ขอบคุณที่ให้ข้าชมท่านร่ายกระบี่”
ผู้เฒ่าเหยียนปั้นหน้าประสานมือก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ของตน รีบยกถ้วยชาขึ้นดื่มเพื่อปลอบขวัญอึกหนึ่ง ความจริงเขารู้ความสำคัญของเซียนร่ายกระบี่ยิ่งกว่าคนตระกูลจั่ว
แม้ว่าร้านตระกูลเหยียนผนึกเตาหลอมกระบี่พิเศษใบนั้นมานานแล้ว แต่ชาตินี้ผู้เฒ่าเหยียนยังถือว่าหลอมกระบี่มาครึ่งชีวิต แน่นอนว่าย่อมมีความเห็นส่วนตัวต่อวิชากระบี่
ได้แต่ทอดถอนใจว่า ‘เจตกระบี่เซียนอัศจรรย์ ปุถุชนยากเสาะหา!’
แม้ว่าตอนนี้คนตระกูลจั่วดึงสติกลับมา แต่ยังดื่มด่ำกับภาพกลางสายฝนเมื่อครู่ จำการเคลื่อนไหวของจี้หยวนไม่ได้โดยสิ้นเชิง แต่กลับไม่ขัดขวางการสัมผัสความรู้สึกนั้น
หลังจากนั้นครู่หนึ่งคนตระกูลจั่วยืนกลางห้องรับแขก โค้งตัวเก้าสิบองศาเพื่อคารวะพร้อมกันภายใต้การนำของจั่วป๋อหรัน แม้แต่เด็กสองคนยังคารวะด้วยการช่วยเหลือของบิดามารดา
“บุญคุณของท่าน ตระกูลจั่วไม่มีวันลืม พวกเราตระกูลจั่วจังหวัดจวินเทียน ขอบูชาท่านเซียนชั่วกาล!”
เสียงจั่วป๋อหรันยังเปี่ยมพลังยิ่ง ทั้งจริงจังและเคร่งขรึม
คำพูดนี้จี้หยวนฟังแล้วกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เขาไม่มีความคิดให้ผู้คนตั้งศาลกราบไหว้บูชา
“เอาเถิด สำหรับพวกเจ้าเรื่องนี้ถือว่าจบสิ้น แต่สำหรับข้ายังไม่สิ้นสุด ก็ไม่รู้ว่าเทพหลักเมืองจังหวัดจวินเทียนนี้พูดด้วยง่ายหรือไม่!”
จี้หยวนส่ายหัวยิ้มน้อยๆ ในเมื่อพูดแล้วย่อมต้องไปทำตามสัญญา
ความจริงน่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงอย่างไรตระกูลจั่วก็มีประกาศิตบัญชาของเขาอยู่ จิตวิญญาณย่อมผ่องแผ้ว ยิ่งยากจะเป็นพวกชั่วร้ายอะไร สั่งสมคุณธรรมความดีมากหน่อย เดิมก็มีความไปได้ไม่น้อยว่าหลังตายจะถูกเลือกเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลมืดหลักเมือง
จี้หยวนแค่ไปเยี่ยมเยียนตามมารยาท ถึงขั้นไม่ต้องพบเทพหลักเมือง ขอแค่เจอหนึ่งในผู้พิพากษา กล่าวถึงความสัมพันธ์กับตระกูลจั่ว ศาลมืดหลักเมืองจังหวัดจวินเทียนมีโอกาสสูงว่าจะเห็นแก่หน้าจี้หยวน
ไม่ได้ขัดหลักการบอกให้พวกเขาเลือกคนชั่วร้าย ถ้าเป็นผีดีเหมือนกัน มีผู้ฝึกเซียนอย่างจี้หยวนรับรอง มีหรือจะไม่ถือโอกาสแสดงน้ำใจ เมื่อไม่ขัดหลักการศาลมืดย่อมเห็นแก่ความสัมพันธ์ได้
นี่ไม่ใช่การคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าของจี้หยวน แต่คัมภีร์นอกรีตเคยเขียนไว้ชัดเจน ทั้งเป็นประสบการณ์จากการคุยเรื่องระบบกับเทพหลักเมืองหลายครั้ง แน่นอนว่ามีเจ้ากรมศาลมืดหรือเทพหลักเมืองเจ้าอารมณ์ด้วย ถ้าเจอถือว่าจี้หยวนโชคร้าย
แต่เรื่องนี้จี้หยวนยังไม่ไปคิด เขาหรี่ตาเล็กน้อย มองตัวอักษรบนโต๊ะพลางกล่าวกับคนตระกูลจั่ว
“เอาเถิด มารับประกาศิตเถอะ”
ในฐานะที่จั่วป๋อหรันเป็นเจ้าตระกูล เขาก้าวมาข้างหน้าอย่างจริงจัง สองมือยื่นไปหน้าโต๊ะด้วยต้องการรับประกาศิต แต่ก่อนหน้านั้นจี้หยวนกลับยื่นมือกดลงมา
“ข้าคนแซ่จี้เคยพูดแล้ว หากตระกูลจั่วแค่อยากใช้ชีวิตสงบสุขก็ย่อมได้ แม้ว่าประกาศิตจะดีแต่ใช่ว่าสารพัดประโยชน์ โชคเคราะห์ไร้ประตู มีเพียงมนุษย์เรียกหา อนาคตอยากก้าวสู่ยุทธภพจริง ทางที่ดีต้องยึดมั่นคุณธรรม มิฉะนั้นประกาศิตจะวิ่งหนีไปเอง!”
เสียงจี้หยวนแฝงแววหัวเราะ แต่ทุกคนภายในห้องไม่มีใครกล้าคิดว่าคำพูดที่ทำให้พวกเขากดดันประโยคนี้เป็นการพูดล้อเล่น
“ตระกูลจั่วย่อมทำตาม ไม่กล้าลืมคำสอนของท่าน!”
“ไม่มีทางลืมคำสอนของท่าน!”
คนตระกูลจั่วด้านหลังรีบคารวะแสดงความแน่วแน่หลังจากจั่วป๋อหรันกล่าวจบ
จี้หยวนย้ายมือออก จั่วป๋อหรันซึ่งหน้าผากเห็นเหงื่อเล็กน้อยรับประกาศิตด้วยสองมือ ภายในแขนเสื้อข้างขวามีหมากลวงตัวหนึ่งวาบผ่าน ทำให้จี้หยวนแอบกล่าวในใจอย่างอดไม่ได้ ‘จริงดังคาด!’
มองจั่วป๋อหรันรับเทียบอักษรถอยกลับไปกลางห้องอย่างระวัง คนตระกูลจั่วทั้งหมดพากันเข้ามาชื่นชม จี้หยวนพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มองผู้เฒ่าเหยียนซึ่งลูบเคราอยู่ด้านข้าง
“ท่านเหยียน ฝักกระบี่ของข้าเล่า”
“หา?”
ผู้เฒ่าเหยียนมองจี้หยวนแปลกๆ จากนั้นจึงมองกระบี่เครือเขียวที่วางข้างโต๊ะ หน้าผากเห็นเหงื่อทันที เรื่องทำฝักกระบี่ไม่ได้ล้อเล่นหรอกหรือ
“ฮ่าๆๆๆ… ท่านเหยียนอย่ารีบร้อน อีกสองสามวันข้าคนแซ่จี้ค่อยมาซื้อแล้วกัน ฝักกระบี่เรียบง่ายหนึ่งฝัก ร้านตระกูลเหยียนคงใช้เวลาไม่เท่าไหร่กระมัง”
“ใช้เวลาไม่เท่าไหร่ๆ! ต้องทำให้ท่านพอใจแน่!”
ผู้เฒ่าเหยียนรีบรับปาก ต่อจากนั้นค่อยก้มหน้าใคร่ครวญว่าเตรียมฝักกระบี่แบบไหนใช้เนื้อไม้ชนิดใด เขาถึงขั้นตัดสินใจระดมคนตระกูลเหยียนทำฝักกระบี่สิบกว่ายี่สิบแบบ เพื่อให้ท่านเซียนเลือกเอง!
เมื่อผู้เฒ่าเหยียนเงยหน้าคิดบอกเรื่องนี้กับจี้หยวน แต่กลับพบว่าจี้หยวนซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหายไปแล้ว เหลือเพียงถ้วยชาซึ่งดื่มชาจนหมดถ้วยหนึ่ง ส่วนคนตระกูลจั่วยังชื่นชมเทียบอักษรอย่างอยากรู้อยากเห็น เวลานี้ยังไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
…
จี้หยวนเดินจากมากลางสายฝน นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้วิชาเลี่ยงวารีเดินกลางสายฝน แต่ยังถือโอกาสยืมร่มมาจากร้านตระกูลเหยียนด้วย
ใช่ว่าจี้หยวนรีบจากมาเพื่อไปพบเทพปฐพีแห่งศาลหลักเมืองจังหวัดจวินเทียน เขาแค่ไม่อยากพลาดทิวทัศน์งามของจังหวัดจวินเทียน
รอเมื่อเข้าใกล้เมืองจี้หยวนจึงกางร่ม เข้าเมืองด้วยลักษณะท่าทางเหมือนคนทั่วไป เดินเล่นไปโดยรอบ แยกแยะภาพจังหวัดจวินเทียนในใจ
เดินเล่นอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจี้หยวนมาถึงตรอกศาลเจ้าจังหวัดจวินเทียน เมืองส่วนใหญ่ตั้งชื่อตรอกที่มีศาลหลักเมืองอยู่ว่าตรอกศาลเจ้า เป็นตรอกสำคัญในการจัดงานศาลเจ้าและงานเซ่นไหว้ จังหวัดจวินเทียนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ก่อนหน้านี้ยามรับปากตระกูลจั่วเขายังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตอนคิดเองก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาเช่นกัน แต่เมื่ออยู่ภายใต้สายตาเทพหลักเมืองเข้าจริง จี้หยวนกระวนกระวายอยู่บ้าง
โดยทั่วไปเทพหลักเมืองประจำจังหวัดร้ายกาจกว่าเทพหลักเมืองอำเภอมาก บริวารศาลหลักเมืองก็เยอะกว่าไม่น้อย ตัวจังหวัดขนาดจังหวัดจวินเทียนคาดว่าต้องมียี่สิบสี่กรม
จี้หยวนไม่ได้มามือเปล่า เขาเลือกซื้อขนมผลไม้เชื่อมหนึ่งกล่องจากร้านค้าตรงตรอกศาลเจ้าโดยเฉพาะ ทั้งสั่งสุราซึ่งถือว่าผ่านเกณฑ์มาสองกาก่อนรีบมุ่งหน้าไปศาลหลักเมือง
เนื่องจากเป็นวันฝนตก คนมาศาลหลักเมืองไม่มากนัก แผงขายธูปเทียนสองสามแห่งย้ายแผงรถเข็นมาอยู่ในระเบียงศาล เมื่อเห็นจี้หยวนก้าวเข้าซุ้มประตูศาลมา มีคนเร่ขายอย่างกระตือรือร้นทันที
“โอ้ คุณชายท่านนี้ มากราบเทพหลักเมืองต้องจุดธูปหน่อยกระมัง ข้ามีธูปหอมชั้นยอดอยู่ สามดอกสองอีแปะ!”
ธูป? ไม่กล้าซื้อๆ!
จี้หยวนส่ายหัวปฏิเสธ เดินเลียบระเบียงศาลผ่านตำหนักศาลเจ้าสองสามแห่ง
เมื่อมาถึงเรือนหลัก เขาไม่จุดธูปขอพรเหมือนผู้มากราบไหว้คนอื่น แต่นำขนมของเซ่นไหว้ตรงชั้นบนกล่องอาหารออกมา หลังจากบอกคนเฝ้าศาลแล้วค่อยตั้งโต๊ะบูชา ทั้งวางสุรากานั้นลงด้วย
จากนั้นจี้หยวนแค่ประสานมือไปทางรูปปั้นเทพหลักเมือง ถอยออกจากเรือนหลักมุ่งหน้าไปยังเรือนข้าง
ภายในเรือนข้างนี้มีรูปปั้นเทพมากมายนั่งอยู่ เบื้องหน้ารูปปั้นเทพมีป้ายระบุว่าเป็นเจ้ากรมสังกัดไหน แต่จี้หยวนไม่ต้องอ่านอักษร อาศัยเพียงความรู้สึกตามหาไปทีละองค์ สุดท้ายมาหยุดตรงหน้ารูปปั้นเทพของผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋น
หากพูดว่าเจ้ากรมคนไหนของศาลมืดหลักเมืองสุภาพและพูดด้วยง่ายที่สุด ภายใต้สถานการณ์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋น
ผู้มากราบไหว้เรือนข้างนี้น้อยกว่ามาก วันฝนตกเช่นนี้ยิ่งไม่มีสักคน ฟังแล้วว่าบริเวณใกล้เคียงไม่มีใคร
จี้หยวนรีบนำอาหารของเซ่นไหว้ที่เหลือในกล่องออกมาทีละอย่าง วางบนโต๊ะบูชาหน้ารูปปั้นเทพ จากนั้นค่อยวางจอกสุราสองใบลง นำกาสุราออกมารินทั้งสองจอก
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น จี้หยวนจึงหันหน้าเข้าหารูปปั้นผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นพลางตั้งท่าประสานมือ โคจรพลังเสริมความกังวานด้วยอักษรบัญชา กดเสียงต่ำเอ่ยปากกล่าว
“ขอเชิญผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นกรมสอบสวนของเทพหลักเมืองจังหวัดจวินเทียนปรากฏตัว!”
ภายในศาลมืด ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นซึ่งกำลังอ่านเอกสารพลันได้ยินเสียงมรรคดังเป็นระลอก เข้าหูชัดเจนหาใดเปรียบ แต่ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊กับเหล่าเจ้าหน้าที่วิญญาณคนอื่นที่อยู่ด้านข้างกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย เขารู้ว่ามีผู้สูงส่งมาเชิญทันที