เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 104 วาสนาสืบสวรรค์
ตอนที่ 104 วาสนาสืบสวรรค์
จี้หยวนไม่รีบกลับเข้าเมือง แต่หาป่าเขาร้างผู้คนแห่งหนึ่งนอกชานเมือง ขึ้นต้นไม้ใหญ่กิ่งใบหนาแน่น นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น มองฝักกระบี่เล่มนี้โดยละเอียด
ฝักกระบี่เล่มนี้เป็นสีเขียวอ่อนถ้วนทั่ว น่าจะใช้สารเคลือบอะไรบางอย่าง ไม่ใช่สีสันจากเนื้อไม้ดั้งเดิม แต่แทรกซึมดีจนสดใหม่เป็นธรรมชาติ ไม่มีกลิ่นแปลกอะไร สีสันเข้ากับด้ามกระบี่เครือเขียวมาก
ฝักไม้ไม่มีลายสลักหรือของประดับเกินความจำเป็นแต่อย่างใด แวบแรกเหมือนท่อนไม้แบนสีเขียวสด แต่ลบมุมเกลี้ยงเกลาสัมผัสดี แค่ได้ยินเสียงคมประกายครวญเล็กน้อยจากกระบี่เครือเขียวด้านหลังก็รู้ว่ามันชอบฝักกระบี่เล่มนี้มาก
“อย่าเพิ่งรีบร้อน ฝักกระบี่ยังขาดฤทธิ์เดชอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงยากจะรับพลังเจ้าไหว!”
จี้หยวนชักกระบี่เครือเขียวด้านหลังออกมา ถ่ายทอดปราณวิญญาณเข้าไปพลางยื่นมือชักนำ เถาวัลย์เขียวเส้นเล็กแตกหน่อจากด้ามกระบี่ทั้งโน้มลงมาด้วยตนเอง เถาละเอียดเกาะเกี่ยวบนฝักกระบี่ แล้วหยัดรากพันรอบฝักกระบี่อย่างเนิบช้าทันที วนรอบยาวประมาณหนึ่งนิ้ว
ความเร็วนี้ไม่ว่องไวแต่กลับไม่ช้า หลังจากผ่านไปสองเค่อ บนฝักกระบี่สีเขียวอ่อนมีลายเถาวัลย์เขียวขจีพันรอบสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา บางจุดยังมีร่องรอยของต้นอ่อนอยู่
วู้ม…
กระบี่เครือเขียวส่งเสียงครวญอีกครั้ง
“เกือบแล้วๆ ไม่ต้องรีบร้อน!”
จี้หยวนตบกระบี่เครือเขียวเหมือนปลอบเด็กรีบร้อนอยากได้ของเล่น จากนั้นค่อยทำเรื่องของตนต่อ
มือขวาตั้งนิ้วกระบี่ พลังเหมือนคมกระบี่ละเอียด พุ่งใส่ฝักกระบี่เบาๆ เคลื่อนตามข้อมือและปลายนิ้ว อักษรสลักสองประโยคปรากฏ
วิญญาณก่อเกิดเครือเขียว ซ่อนคมประกายหมื่นจั้ง
ตัวอักษรมีแสงวาบผ่าน ฝักกระบี่สั่นสะเทือนเล็กน้อย กลับเป็นธรรมชาติอีกครั้ง
“ฮู่ว… อย่างน้อยก็เป็นของตน…”
เห็นกระบี่เครือเขียวส่งเสียงครวญอยู่ตรงนั้นไม่หยุด จี้หยวนเองก็ยิ้มแล้ว
“ไปเถอะ!”
วู้ม…
กระบี่เครือเขียวส่งเสียงครวญ พุ่งตัวเข้าฝักดังฟุ่บ จากนั้นก็ไม่ส่งเสียงเหมือนหลับใหล
จี้หยวนยิ้มอีกครั้ง ใช้ผ้าเขียวห่อกระบี่เครือเขียวพาดหลัง แสดงออกว่าภายในเวลาอันสั้นไม่มีเรื่องใด เริ่มใคร่ครวญปัญหาด้านการฝึกปราณของตน
ต่างจากผู้ฝึกเซียนซึ่งมรรควิถีไม่ลึกล้ำคนอื่น จี้หยวนถึงขั้นไม่ต้องหลับตาก็เห็นเขตแดน กลางภูผาธาราฟ้าดินกว้างใหญ่ บนยอดเขาสูงเตาโอสถแผ่พลัง
จุดตันเถียนหนึ่งหมู่หมอกควันไพศาล ม้วนตลบเปี่ยมพลัง
ตอนนี้เมื่อเกณฑ์ประเมินมรรคเซียนของจี้หยวนก้าวหน้าควบคู่พร้อมกับ ‘คุณธรรม’ ‘หลักการ’ ‘จิตใจ’ มรรควิถีนับวันยิ่งเติบโตรวดเร็ว เขตพลังห้องโอสถไม่ใช่จุดตันเถียนหนึ่งหมู่อีก บางทีใช้คำว่าหนึ่งหมู่สามเฟิน[1]มาบรรยายคงเหมาะกว่า
แม้ว่าเขตแดนยังเล็ก รับเตาโอสถของจี้หยวนไม่ไหว แต่ในเตาซ่อนฟ้าดิน เพลิงสมาธิลุกโชนไม่หยุด ภายในบรรจุปราณโอสถแผ่ซ่าน แปลงเป็นพลังเสริมได้ตลอดเวลา
เรื่องแปลกยิ่งคือห้องโอสถกลางอากาศนี้ กลยุทธ์เจิดจรัสบรรยายว่าเป็นห้องสว่างกลางความมืดมิด บนเขตแดนเตาโอสถตั้งอยู่ตรงสะพานทอง
แต่สำหรับจี้หยวนรอบพื้นที่หนึ่งหมู่สามเฟินของห้องโอสถกลับไม่มืด เป็นเขตแดนภูผาธารารางเลือน พลังพวยพุ่งตรงจุดตันเถียนซ่อนจุดตันเถียนเหมือนหมอกควัน ไม่รู้ว่าภูผาธาราซ่อนอยู่นอกจุดตันเถียน หรือจุดตันเถียนซ่อนอยู่กลางภูผาธารากันแน่
จี้หยวนคิดเองว่าความเร็วด้านการฝึกปราณคงไม่ช้า บางทีผู้ฝึกเซียนซึ่งนั่งอยู่ตรงแดนอริยะจวนเซียนพวกนั้นก็ไม่แน่ว่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเขาคนแซ่จี้
ความต้องการปราณโอสถของตัวหมากเหมือนมีขีดจำกัดของตนเช่นกัน บ้างซึมซับมากบ้างแทบไม่มี การควบรวมว่างเปล่าน้อย สรุปคือภายใต้สถานการณ์ปกติไม่ส่งผลต่อการฝึกปราณของจี้หยวน
การใช้วิชาฝึกปราณพื้นฐานอย่างแบบฝึกล้อมหยกบรรลุถึงจุดสมบูรณ์ แม้ว่ายังไม่มีวิชาการฝึกเฉพาะ แต่อวัยวะภายในห้าธาตุก่อเกิดปราณห้าธาตุแล้ว สิ่งที่เรียกว่าวิชาฝึกเฉพาะแค่ยึดตามเอกลักษณ์ของตนแล้วเลือกหนทางฝึกปราณที่เหมาะกว่า เช่นจุดไท่ไป๋ธาตุทองหรือน้ำกุ่ยหยินแท้
จริงอยู่ว่าระดับสูง แต่ใช่ว่าจะไม่ตาย สิ่งที่จี้หยวนปลอบใจตัวเองคือตอนนี้เราคนแซ่จี้พัฒนารอบด้าน
นอกจากการฝึกวิชาและกลิ่นอายไม่ตกหล่นแล้ว จี้หยวนยังฝึกวิชากำหนดปราณใช้ปราณวิญญาณบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงกายใจต่อเนื่อง พยายามกินหมอกดื่มน้ำค้างตรงเวลาทุกวัน
จี้หยวนหยั่งรู้สถานการณ์ภายในกาย พลางหยิบกลยุทธ์เจิดจรัสติดตัวมายืนยันสิ่งที่ตนเรียนรู้อีกครั้ง ถือโอกาสพลิกอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับการฝึกปราณไปมา
ตามคำกล่าวของกลยุทธ์เจิดจรัส นอกจากพลังแกร่งกล้าหรือไม่แล้ว การฝึกปราณยังมีเครื่องหมายสำคัญสองอย่าง มีประโยชน์ต่อการพิจารณาความตื้นลึกด้านมรรควิถีของผู้ฝึกเซียน นั่นคือห้าปราณรวมศูนย์และสามเลิศรวมเป็นหนึ่ง
อย่างแรกเป็นเครื่องหมายว่าปราณห้าธาตุภายในกายเชื่อมต่อสำเร็จ มีความสัมพันธ์อย่างมากกับจำนวนดวงดาวชีพจรและปราการฝึกปราณบนโลกใบเล็กซึ่งเกี่ยวกับความตื้นลึกของพลังปราณส่วนบุคคล ใช่ว่าทุกคนจะเจอลักษณ์ประหลาดเช่นนี้
กลยุทธ์เจิดจรัสเคยบอกว่าไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้ฝึกเซียนมักคิดว่าขอแค่หนึ่งในห้าปราณรวมศูนย์ก็กล้าพูดจาสวยหรูอย่างเปิดเผยว่าอยู่ ‘ระดับรวมศูนย์’ ถือว่าน่าขันอยู่บ้าง
อย่างหลังสามเลิศรวมเป็นหนึ่งก็คือสัญลักษณ์ของมรรคอัศจรรย์ ‘เซียนแท้’ ความหมายคือผู้ฝึกเซียนไม่เพียงแต่รวมสารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณเป็นหนึ่ง ระหว่างไตรภาคฟ้าดินมนุษย์ก็รวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์เพื่อผ่านด่านเร้น ผู้สูงส่งซึ่งยังไม่แจ้งมรรคไม่อาจบรรลุ แม้ว่าผู้สูงส่งเช่นนี้มีพลังลึกล้ำยากหยั่งถึง แต่ยังไม่ค่อยมีข้อยกเว้น
นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘มรรค’ การบรรยายเกี่ยวกับความเข้าใจด้านวิชาอภินิหารตั้งแต่สภาวะจิตถึงการฝึกปราณเป็นต้น ทั้งมีวิชาอัศจรรย์นานัปการอย่างด่านเคาะใจ บำเพ็ญธรรม หาความสงบ พยายามเข้าใกล้มหามรรคจากทุกทิศทางทุกแง่มุม
เรื่องการฝึกปราณเรียกว่ามีมหามรรคนับพันเคล็ดวิชานับหมื่นจริงๆ สำนักเซียน จวนเซียน ถ้ำเซียน ภูเขาเซียน เกาะเซียน ทุกสำนักต่างมีความเข้าใจของตน มองนัยเร้นลับของตนว่าล้ำเลิศ ยากรวบยอดเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง
ถึงขั้นต่อให้ยึดตามหลักการภายนอกยังมี ‘การประลองมรรค’ ยามพบปะกันมากมาย ไม่มีใครยอมใคร กลยุทธ์เจิดจรัสยังรวบยอดประเด็นนี้แค่ประโยคเดียว… น่ากลุ้มยิ่งนัก
สิ่งที่ควรกล่าวถึงคือหากเป็นผู้สูงส่งมรรคเซียนอย่างแท้จริง ย่อมมีความเข้าใจต่อมรรคอย่างลึกซึ้ง มักจะเข้าใจความลับของกฎเกณฑ์แห่งสรรพสิ่งอย่างปรุโปร่ง ทั้งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ภูตผีปีศาจมากมายมุ่งหวังปรารถนา ‘การถกมรรค’
จี้หยวนเริ่มอ่านโดยละเอียด เวลาล่วงมาเกือบเที่ยงวัน คิดเองว่าตอนนี้ความคิดปลอดโปร่งและฝึกปราณถึงขั้นนี้ถือว่ากระจ่างแล้ว เขากระโดดลงจากต้นไม้อย่างวางใจ เตรียมตัวเข้าเมืองหาสถานที่กินข้าว
ยามก้าวเข้าเมืองเหมือนข้อพิสูจน์ก่อนหน้านี้ประจักษ์ในใจ ทั้งเหมือนสภาวะจิตยกระดับขึ้นชั้นหนึ่ง พลังบนตัวจี้หยวนมีความรู้สึกเหมือนประสานเข้ากับปราณวิญญาณฟ้าดินของโลกภายนอก
ยามจี้หยวนขับเคลื่อนความคิดเข้าเขตแดนภูผาธารา ตัวเขาในเขตแดนราวเปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด แต่กายเนื้อบนโลกภายนอกคล้ายสอดประสานกับฟ้าดิน ฝีเท้าฉับไวอย่างน่าอัศจรรย์
มีความรู้สึกเหมือนความคิดปลอดโปร่งฝึกเซียนขั้นต้นสำเร็จ
เวลานี้เห็นหมากห้าตัวในเขตแดนอยู่รางๆ คล้ายดาราประดับฟ้า รู้สึกเหมือนหมากดำแผ่ไอสังหารหมากขาวเริ่มวิวัฒน์ ปรากฏขึ้นในใจจี้หยวนเป็นครั้งแรก
‘หืม?’
จี้หยวนซึ่งกำลังก้าวไปข้างหน้ารู้สึกแปลกใจสงสัยทีละน้อย พอเดินไปร่างกายกลับเหมือนก้าวอยู่ในน้ำ รู้สึกถึงแรงต้านมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนท้ายจี้หยวนจึงพบว่าตนก้าวไม่ออกแล้ว
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน ผิดปกติอยู่บ้างแล้ว!’
จี้หยวนคิดจะถอยออกจากเขตแดนห้วงนิมิต ผลคือทำไม่ได้ ทั้งตัวยืนนิ่งอยู่บนถนนจังหวัดจวินเทียน
ชาวบ้านซึ่งเดินผ่านข้างกาย บนตัวมีพลังขับเคลื่อนสีแดงสีเหลืองหลากสีมากมายพุ่งทะยานออกมา ในสายตาจี้หยวนถือว่าชัดเจนระดับใด
‘ลอยไปไหนกัน’
จี้หยวนคิดเงยหน้ามองตามจิตใต้สำนึก ขยับคอแหงนมองขอบฟ้าอย่างยากลำบาก
ฟุ่บๆๆๆ…
แสงสีตรงหน้าเหมือนวาววามอยู่กลางสีขาวดำ แปรเปลี่ยนระหว่างภาพลวงกับความจริงอย่างต่อเนื่อง ร่างกายตนคล้ายสูงใหญ่ไร้ขอบเขตท่ามกลางความจริงและภาพมายา
ภูผาธาราห่างไกลเพียงใด ฟ้าดินกว้างใหญ่เพียงใด สายตาเหมือนไม่เห็นจุดสิ้นสุด พลังขับเคลื่อนเรือนพันเรือนหมื่นอบอวลไร้ขอบเขต
สีขาว ดำ เขียว แดง เหลืองทยอยปรากฏ ในใจรู้แจ้งทันที ปราณวิญญาณเซียน ปราณปีศาจทรงพลัง ปราณมารแผ่ซ่าน ปราณหยิน ปราณเทพกำยาน ปราณมรรคมนุษย์ ปราณห้าธาตุ…
ยามจี้หยวนคิดว่าร่างกายขยายใหญ่ต่อเนื่อง โลกตรงหน้าแตกต่างไปมากแล้ว!
ความตกตะลึง สั่นสะท้าน หวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูก… ทุกความรู้สึกตัดสลับ จี้หยวนเห็นปราณทรงพลังกว้างใหญ่ของฟ้าดิน กำลังรับการชักนำจากพลังขับเคลื่อนไร้สิ้นสุดของสรรพชีวิตบนโลก
มรรคเซียน มรรคผี มรรคเทพ มรรคมาร มรรคปีศาจ มรรคมนุษย์ มรรควิญญาณ… พลังขับเคลื่อนไร้สิ้นสุดนี้ผสานกัน กลายเป็นเชือกพลังขับเคลื่อนบ้างหนาบ้างบางนับไม่ถ้วน พุ่งตัวแน่นหนาเหนืออากาศกลางฟ้าดินกว้างใหญ่
เมื่อความปรารถนาและความขัดแย้งของเชือกพลังขับเคลื่อนหลายสายลอยล่อง เมื่อจิตมุ่งมรรคกับบาปมารร้ายปะทะกัน เมื่อราชวงศ์หมุนสลับอิทธิพลยิ่งใหญ่เปลี่ยนผัน ศึกเซียนมารหายนะชั่วร้ายทุกครั้ง พิบัติฟ้าภูผาธาราการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาทุกครา… ทั้งหมดล้วนกลายเป็นต้นน้ำ แหวกอากาศกว้างใหญ่ไพศาลกลางฟ้าดิน
จี้หยวนเหมือนเห็นรอยแยกซึ่งภายในซ่อนสีแดงเข้มกับหมอกม่วงผสานมากมายปรากฏกลางฟ้าดิน…
ความรู้แจ้งท่ามกลางการรับรู้เลือนรางผุดขึ้นในใจจี้หยวน
ฟ้าแผ่ไอสังหาร ดาวเคลื่อนดาราคล้อย ดินแผ่ไอสังหาร งูมังกรผงาด คนแผ่ไอสังหาร ฟ้าดินแปรปรวน ฟ้ามนุษย์อยู่ร่วม หมื่นแปรเปลี่ยนเป็นรากฐาน บ้างหมื่นปี บ้างหลายพันปี บ้างสั้นกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่กลางฟ้าดินใกล้มาเยือน!
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้สุดท้ายมักปรากฏพลังขับเคลื่อนจากสรรพสิ่งซึ่งเปี่ยมแน่นไร้สิ้นสุดกลางฟ้าดิน ถึงตอนั้นภูผาธาราแหลกละเอียดฟ้าถล่มดินทลาย เผชิญเคราะห์ร้ายถึงขีดสุดแล้วประสบเคราะห์ดีหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องไม่อาจระบุ
สิ่งที่แน่ใจได้คือเมื่อฟ้าดินแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ ภูผาธาราหมื่นลี้ก็ดี สิ่งมีชีวิตไร้สิ้นสุดก็ช่าง ผู้ล้มหายตายจากต้องมีนับไม่ถ้วนแน่
ระหว่างความเป็นตายน่ากลัวยิ่ง ยามเห็นการเปลี่ยนแปลงมรรคสวรรค์สามารถทำให้ผู้คนตื่นตระหนกจนตายทั้งเป็นได้ พลังชีวิตจี้หยวนแทบหมดสิ้นแล้ว ทั้งตัวไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่กอดความหวาดกลัวไร้สิ้นสุดจ้องมองฟ้าดินกว้างใหญ่เช่นนั้น ในใจเงียบสงัดทีละน้อย
แต่ชั่วพริบตายามจี้หยวนคิดว่าตนต้องตาย พลังขับเคลื่อนซ่อนเร้นอีกอย่างปรากฏกลางฟ้าดิน
บนท้องฟ้าซึ่งเขตแดนกับความจริงสอดประสาน ดาราห้าดวงสว่างไสว เป็นหมากห้าตัวนั่นเอง!
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไร้สิ้นสุด จี้หยวนรู้สึกเหมือนเส้นมายาไร้รูปไร้แก่นมากมายชักนำพลังขับเคลื่อนนับหมื่นพัน แบกรับอานุภาพฟ้าดินยากบรรยายทั่วหล้า ปราณโลกาสวรรค์ตัดผ่านอยู่ภายใน…
จี้หยวนรู้ว่านี่คืออะไรทันที นี่คือกระดานหมากซึ่งมีเส้นตรงเส้นขวางแต่ไม่จำกัดเขตแดน!
ตูม…
ในใจคลื่นซัดสาดไร้สิ้นสุด ความรู้สึกว้าวุ่นใหม่อีกครั้ง…
“อ๊าก…!”
บนถนนของจังหวัดจวินเทียน จี้หยวนซึ่งเดิมยืนตัวแข็งซวนเซได้สติกลับมา ภายใต้ความเจ็บปวดสาหัสเขาอดใช้มือขวาปิดตาไม่ได้ เลือดแดงสดหลายสายไหลออกมาระหว่างนิ้ว
เสียงร้องของจี้หยวนดึงดูดความสนใจของคนผ่านทางทันที
“อ๊าก คนผู้นี้เป็นอะไร”
“ดวงตาเขาเลือดออกเยอะเชียว!”
“ต้องรีบหาหมอแล้วกระมัง”
“นั่นน่ะสิ…”
“คุณชายท่านนี้ ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
“ต้องการให้พาท่านไปหาหมอหรือไม่”
ชาวบ้านไม่น้อยที่เห็นเหตุการณ์โดยรอบตกตะลึงอยู่บ้าง บ้างแสดงความห่วงใย พากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่รอบตัวจี้หยวน
“มะ ไม่ต้อง ขอบคุณ! เฮือก…”
จี้หยวนลมหายใจปั่นป่วน ความเจ็บปวดสาหัสทำให้เขากุมตาขวาไม่ผ่อนมือ มือซ้ายควานไปโดยรอบ เดินโซซัดโซเซไปข้างหน้า
[1] เฟิน คือ หน่วยมาตรวัดพื้นที่ของจีน (60 เฟิน = 1 หมู่)