เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 109 การซื้อขายประหลาด
ตอนที่ 109 การซื้อขายประหลาด
ระหว่างทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดจวินเทียน จี้หยวนนึกถึงเรื่องหนึ่ง ทำไมเมื่อก่อนตอนเพิ่งมาถึงโลกใบนี้ยังไม่เห็นมหาเคราะห์ฟ้าดิน แต่ต้องรอถึงช่วงก่อนแปรหมาก
ยามจี้หยวนคิดไม่ตกเขาตั้งสมมติฐานหนึ่งขึ้นมา จากนั้นจึงพบว่าหากเกิดเรื่องนี้ตอนเพิ่งมาถึงโลกใบนี้ เราคนแซ่จี้คงมีแต่ต้องตายตก
ช่วงก่อนหน้านี้เป็นช่วงที่จี้หยวนคิดว่าพลังปราณสุกงอมตามครรลองพอดี ตอนรู้ตัวว่าสมบูรณ์แบบ กายใจประสานเป็นธรรมชาติ ทั้งมีกระบี่เครือเขียวติดตัว
บางทีอาจถึงจุดซึ่งสามารถรองรับได้พอดี ด้วยวิชาอัศจรรย์บางอย่างอาจทำให้จี้หยวนมองเห็นเคราะห์ ทำให้เขารู้เรื่องมากมายซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ
ความจริงพิสูจน์ว่าล่อแหลมเป็นอย่างยิ่ง
ที่จริงจี้หยวนพอจับเค้าเรื่องนี้ได้นานแล้ว ประสบการณ์เกี่ยวกับกระดานหมากตัวหมากทั้งสองชาติทำให้เตรียมใจมาบ้างเช่นกัน แต่ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นไปได้ว่าต้องมีตัวหมากครบจึงควบรวมเป็นจุดเปลี่ยน คิดไม่ถึงว่าจะพิจารณาจากความสามารถของตน
ส่วนผู้เก่งกาจซึ่งตั้งกระดานหมากเป็นใคร เหตุใดกระดานหมากบนเขาหัวโคถึงวางอยู่โดดเดี่ยวเช่นนั้น พวกเขาเป็นหรือตาย ทั้งเหตุใดต้องให้เขาคนแซ่จี้วางหมาก ไม่ใช่สิ่งที่จี้หยวนในตอนนี้สามารถรู้แน่ชัด
…
เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ของขายบนถนนจังหวัดจวินเทียนหลากหลายยิ่งกว่าเดิม
ด้วยฤดูกาลตอนนี้ผลไม้ภายในจังหวัดค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ จี้หยวนยังไม่ก้าวเข้าสู่จังหวัดจวินเทียน เสียงเร่ขายของคึกคักภายในดังออกมาแล้ว
ได้กลิ่นผลไม้ได้ยินเสียงเร่ขายของเกือบทุกช่วง ทับทิม ส้ม ลูกพลับ มีมากมายนานัปการ
แน่นอนว่าครั้งนี้จี้หยวนซึ่งเคยมีประสบการณ์รอบหนึ่งไม่มีทางปรากฏตัวพร้อมเสื้อผ้าขาดวิ่นมอมแมม แต่สำแดงวิชาบังตาพรางสายตา เข้าเมืองแล้วพุ่งตรงไปร้านเสื้อผ้า
วิชาซึ่งเขาคนแซ่จี้สำแดงเป็นนับนิ้วดูแล้วถือว่ามีแค่ไม่กี่อย่าง ล้วนถูกเขาเผยออกมาเกือบหมดแล้ว การยกระดับสภาวะจิตเจตเทพจากการแปรหมากครานี้ยิ่งทำให้การใช้วิชามีประสิทธิภาพมากขึ้น
จี้หยวนหาร้านเสื้อผ้าซึ่งได้มาตรฐานแห่งหนึ่งตามเสียงในเมืองก่อนก้าวเข้าไป ภายในร้านมีหญิงสาวสองคนดูเสื้อผ้าอยู่พอดี จี้หยวนยังไม่เข้าร้านก็ได้กลิ่นเครื่องประทินโฉมรางๆ คาดว่าคงไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป ถึงอย่างไรหญิงสาวทั่วไปใครจะใช้ของแบบนี้เป็นปกติเล่า
“ลูกค้าท่านนี้กำลังหาผ้าทอหรือเสื้อผ้า ต้องการสั่งตัดชุดหรือซื้อแบบสำเร็จ ข้าดูจากรูปร่างของท่าน เสื้อผ้ามากมายภายในร้านล้วนเหมาะสม!”
คนเฝ้าร้านมีหลงจู๊คนเดียว เห็นจี้หยวนสวมชุดสุภาพเรียบร้อยเข้ามาก็ทักทายทันที แม้ว่าไม่เห็นเสื้อผ้ามอมแมมของจี้หยวน แต่กลับเหลือบเห็น ‘ปิ่น’ ประหลาดเหนือศีรษะ ไม่ว่าดูอย่างไรก็เหมือนกิ่งไม้คดเคี้ยว เผยแววตาพิกลอยู่บ้างทันที
หญิงสาวด้านข้างเหมือนเพิ่งเห็นของถูกใจ ส่งเสียงร้องเรียกหลงจู๊
“หลงจู๊ๆ ผ้าแพรสีดอกท้อนี้ดีจริง หนึ่งพับราคาเท่าไหร่ ถ้าตัดชุดคิดอย่างไร”
เมื่อเอ่ยปากไม่ใช่แค่สองสามฉื่อแต่เป็นหนึ่งพับ หลงจู๊เบิกบานทันที
“แหะๆ แม่นางทั้งสองตาแหลมจริงๆ แพรชมพูพวกนี้ส่งมาจากรัฐหวั่นซึ่งอยู่ห่างไกล ถักทอจากใยไหม พวกท่านลองสัมผัสดู เรียบเนียนนัก ถ้าตัดชุดต้องใส่สบายและงดงามแน่!”
“ปัดโธ่ ข้าถามเจ้าว่าคิดราคาเท่าไหร่!”
หญิงสาวคนหนึ่งในนั้นกล่าวอย่างรำคาญ
“อะแฮ่ม ถึงอย่างไรก็เป็นผ้าแพรชั้นยอดที่ส่งมาจากรัฐหวั่น แน่นอนว่าราคาต้องแพงหน่อย หนึ่งพับ… สิบตำลึงเงิน!”
สิบตำลึง?
หญิงสาวสองคนยังไม่เอ่ยวาจา จี้หยวนกลับตกตะลึงอยู่บ้าง แพรไหมราคาเทียบเท่าทองคำจริงดังว่า ผ้าหนึ่งพับตัดเสื้อแค่สองสามชุด แต่กลับเท่าค่าใช้จ่ายชาวบ้านหนึ่งถึงสองปี มิน่าคนทั่วไปถึงจับจ่ายไม่ได้
“ได้ เอาผ้าพับนี้แหละ ห่อให้ข้าด้วย ส่วนชุดพวกเราจะหาคนมาตัดเอง!”
“อ้อ ได้ๆ ห่อให้เดี๋ยวนี้ขอรับ!”
ใบหน้าหลงจู๊เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม่นางสองคนนี้ถึงขั้นไม่แม้แต่จะต่อรองราคา วันนี้ได้กำไรแล้วจริงๆ ขณะพับผ้าแพรเขาเห็นจี้หยวนเลียนแบบท่าทางเมื่อครู่ของแม่นางทั้งสอง ยื่นมือจับแพรไหมนานัปการขึ้นมาสัมผัสโดยละเอียด
“ลูกค้าท่านนี้ อ๊ะ ลูกค้า เอ่อ… ร้านข้าค้าขายด้วยทุนเล็กน้อย ทางนี้คือผ้าแพรไหม คือว่า…”
หลงจู๊พยายามแสดงออกถึงความกังวลของตนโดยอ้อม
จี้หยวนเก็บมือกลับมาพลางยิ้มไปทางเขา
“อ้อ ข้าน้อยแค่ลองสัมผัสแพรไหมในปัจจุบันว่าต่างกันอย่างไร หลงจู๊ ช่วยข้าน้อยเลือกเสื้อสักสองชุด ไม่สิ เลือกเสื้อมาสักสามชุดเป็นอย่างไร”
เพื่อเลี่ยงปัญหา ขณะกล่าวจี้หยวนหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากอก ทำให้หลงจู๊ยิ่งเผยสีหน้ายินดีทันที
“ได้ๆๆ ลูกค้ารอสักครู่ ข้าห่อผ้าแพรให้แม่นางสองท่านนี้ก่อน!”
คราวนี้หญิงสาวสองคนแอบสังเกตเห็นจี้หยวน ถึงอย่างไรภายในร้านก็มีกันแค่สี่คน
สายตาผู้มาเยือนไม่เคยจ้องมองพวกนาง หรือมองเห็นแต่แค่กวาดสายตาผ่าน
พวกนางไม่ขุ่นเคืองเพราะความงามถูกมองข้าม แต่แปลกใจว่าสายตาของผู้มาเยือนคล้ายมองไม่ชัด เมื่อครู่ยามลูบผ้าก็อาศัยแค่การสัมผัสทางมือ ดวงตาไม่มองผ้าแม้แต่น้อย
การแต่งกายไม่เท่าไหร่ มวยผมรุ่มร่ามแต่ไม่รู้สึกรังเกียจ ใช้กิ่งไม้แทนปิ่นพูดตามหลักการคือน่าจะตลก แต่เห็นแล้วกลับหัวเราะไม่ออก
จี้หยวนเข้าร้านมาก็กวาดตามองหญิงสาวสองคนเล็กน้อย ท่าทางไม่ถึงขั้นร่ำรวย แต่เลือดลมเปี่ยมท้น ได้ยินเสียงลมหายใจของทั้งสองทอดยาว แปดส่วนคงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ไม่อยากสนใจมากนัก
“แม่นางทั้งสอง แพรดอกท้อห่อเสร็จแล้ว ส่วนเงิน…”
“เอ้า เหลือไม่ต้องทอน!”
“โอ้ ขอรับ!”
หลงจู๊รีบหยิบเครื่องชั่งอันเล็กมาชั่งน้ำหนักหน้าโต๊ะ หลังจากแน่ใจเขาค่อยมอบแพรไหมให้พวกนาง มองส่งหญิงสาวสองคนจากไปแล้วต้อนรับจี้หยวนทันที
“ลูกค้ารอนานแล้ว ท่านต้องการแบบไหน ชุดคลุมยาวแบบบัณฑิต เสื้อยาวสาบคู่ ชุดรัดรูปพอดีตัวหรือชุดธรรมดา ร้านของข้ามีแบบสำเร็จทั้งสิ้น!”
“อืม ข้าขอชุดเขียวหนึ่งชุด ชุดขาวหนึ่งชุด ชุดเทาหนึ่งชุด ทั้งหมดขอเป็นชุดคลุมยาวแขนกว้าง จริงสิ ขอเสื้อกับกางเกงชั้นในด้วย”
“ได้เลย ตั้งแต่ภายในถึงภายนอกหนึ่งชุด เข้าใจแล้วๆ ข้าขอวัดตัวท่านก่อน”
หลงจู๊หยิบบรรทัดไม้บนโต๊ะออกมา ช่วยจี้หยวนวัดตัวสองสามครั้งก็เสร็จ แค่รู้สึกไปเองว่าเสื้อผ้าบนตัวลูกค้าคนนี้ผิวสัมผัสแปลกอยู่บ้าง แต่ไม่ได้คิดมากความ
คล้ายบรรเทาความเลินเล่อจากคำพูดของตนก่อนหน้านี้ ยามเลือกเสื้อผ้าให้จี้หยวนเขายังชวนคุยด้วย
“ลูกค้าหญิงสองคนเมื่อครู่แปลกประหลาดจริง เห็นชัดว่าไม่น่าเกลียด แต่กลับแต่งหน้าตนเสียเละเทะ ไม่รู้ว่าแต่งหน้าไม่เป็นจริงหรือตั้งใจทำเช่นนั้น”
“หึๆ… น่าจะแต่งไม่เป็นกระมัง ทำไมเมื่อครู่หลงจู๊ไม่เตือนพวกนางเล่า”
จี้หยวนได้ยินแล้วกล่าวหยอกล้อ ถึงอย่างไรเขาก็มองเห็นไม่ถนัด
หลงจู๊มองออกไปข้างนอก
“ได้อย่างไรเล่า ลูกค้าหญิงร่ำรวยไม่อาจหาเรื่องที่สุด โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตา หากข้ากล่าวเช่นนั้น พวกนางจะเอ่ยชมหรือด่าทอเล่า”
“ฮ่าๆๆ… มีเหตุผลๆ หลงจู๊เป็นคนฉลาด!”
จี้หยวนเบิกบานแล้ว กวาดความกดดันก่อนหน้านี้ไปเล็กน้อย รู้สึกเหมือนได้ยินบทสนทนาเมื่อชาติก่อนอย่างหาได้ยาก
“แหะๆ ใช่หรือไม่เล่า มา ลูกค้าท่านลองสวมชุดพวกนี้ ต้องพอดีตัวแน่!”
ยามสนทนาหลงจู๊เลือกชุดคลุมแทนจี้หยวนเสร็จแล้ว…
ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อกว่าจี้หยวนค่อยออกมาจากร้านเสื้อผ้า เปลี่ยนเป็นชุดขาวใหม่เอี่ยมทั้งตัวแล้ว เขายังถือห่อผ้าจากร้านออกมาด้วย ภายในบรรจุเสื้อผ้าอีกสองชุด เบ็ดเสร็จจ่ายไปทั้งหมดหกร้อยอีแปะ ต่างจากแพรดอกท้อพับนั้นราวฟ้ากับเหว
ส่วนเสื้อผ้าเก่าขาดซึ่งยังถืออยู่ในมือ จี้หยวนประกบมือบิด เสื้อเก่าคร่ำคร่าพวกนี้กลายเป็นผงละเอียดกลางฝ่ามือก่อนลอยลงร่องระบายน้ำริมถนน
ทิศทางซึ่งจี้หยวนก้าวเดินไปตอนนี้ เป็นตำแหน่งซึ่งมุ่งหน้าสู่ถนนที่ชิงกระดานหมากมาเมื่อตอนนั้น หากไม่จำเป็นพ่อค้าไม่ค่อยชอบเปลี่ยนสถานที่ขายของ มีโอกาสสูงว่าพ่อค้าเร่นั่นยังอยู่จุดเดิม
จากการพูดคุยกับหลงจู๊ร้านเสื้อผ้าเมื่อครู่ เขาถามอย่างอ้อมค้อมจนรู้ว่าเป็นช่วงหยวนเต๋อปีสิบห้าแล้ว ไม่ต่างจากการคาดเดาซึ่งเดิมจี้หยวนรู้สึกอยู่กลายๆ
ระหว่างทางยังซื้อรองเท้ามาเปลี่ยน เดินต่อไปไม่ถึงสองเค่อ จี้หยวนอาศัยความรู้สึกจนเจอถนนสายนั้น ได้ยินเสียงของพ่อค้าเร่คนนั้นดังคาด
“หยกประดับ หยกประดับมาใหม่จ้า กำไลหยก หยกประดับ แหวนหยก ล้วนเป็นหยกชั้นดี…”
พ่อค้าเร่ตะโกนคึกคัก แต่หยุดพักด้วยเห็นว่าคนตรงแผงไม่มาก ยามคอแห้งเขาหยิบกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมาดื่มน้ำ พบว่าหน้าแผงมีคุณชายชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่แล้ว
พ่อค้าเร่กระปรี้กระเปร่ารีบทักทาย
“ลูกค้าท่านนี้ ท่านต้องเป็นคนมีความรู้แน่ ซื้อหยกสักชิ้นหรือไม่ขอรับ บัณฑิตมักกล่าวว่าวิญญูชนชื่นชอบหยกวิญญูชนประหนึ่งหยกไม่ใช่หรือ ท่านดูสิ หยกประดับพวกนี้ของข้าเขียวนัก!”
ถึงแม้ว่าจี้หยวนมองรูปร่างโดยละเอียดของเครื่องหยกพวกนี้ไม่ชัด แต่ของจำพวกหยกไม่ธรรมดานัก หยกดีย่อมมีกลิ่นอาย เหมือนหยกชิ้นนั้นที่เว่ยอู๋เว่ยมอบให้ แต่หยกบนแผงพวกนี้ อย่าว่าแต่กลิ่นอายเลย เขายื่นมือสัมผัสใช้ปราณวิญญาณสำรวจก็รู้ว่าไม่เพียงขาดฝีมือ เนื้อหยกยังด้อยคุณภาพด้วย
จี้หยวนมองข้ามหยกสีเขียวพวกนั้น เลือกปิ่นสีเขม่าพลางเอ่ยถามพ่อค้าเร่
“ปิ่นนี้ราคาเท่าไหร่”
พ่อค้าเร่มองสักพัก บนแผงของเขาปิ่นหยกเนื้อหยาบนี้ถือว่าคุณภาพแย่ที่สุด เขามองท่าทางจี้หยวน ลังเลครู่หนึ่งก่อนบอกราคา
“สามสิบอีแปะขอรับ!”
“หึๆ… ปิ่นหยกหนึ่งแค่สามสิบอีแปะหรือ ข้าว่าไม่พอ ไม่พอ ข้าคิดว่ามัน… มีค่าหนึ่งตำลึง!”
จี้หยวนกล่าวกับตัวเอง หยิบกิ่งไม้เหนือศีรษะทิ้ง เสียบปิ่นหยกบนมวยผม จากนั้นค่อยล้วงเศษเงินกำหนึ่งออกมาจากอก มีแต่มากกว่าหนึ่งตำลึงไม่น้อยกว่าหนึ่งตำลึง
“เอ้า ปิ่นหยกนี้คู่ควรกับราคานี้! ไม่ต้องทอน หึๆๆ… ไม่เลวๆ ปิ่นหยกนี้ไม่เลวจริงๆ…”
พ่อค้าเร่ยื่นมือรับเศษเงินที่จี้หยวนส่งมาอย่างอึ้งงัน มองคุณชายสวมชุดขาวแขนกว้างคนนี้กล่าวกับตัวเองอย่างมึนงงอยู่บ้าง จากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
‘คนผู้นี้จะจากไปเช่นนี้หรือ’
เมื่อจี้หยวนเดินจากไปเกือบยี่สิบก้าว พ่อค้าเร่เหมือนเพิ่งดึงสติกลับมาพลางมองเงินในมือ
‘นี่เท่ากับกำไรสองสามเดือนกระมัง…’
หลังจากพ่อค้าเร่ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายเขากัดฟันกรอด
“เฮ้ย… ลูกค้าท่านนั้น… ลูกค้า… ปิ่นหยกนั่นไม่มีค่ามากขนาดนี้… ไม่ต้องขอรับ!”
จี้หยวนหยุดชะงัก บนหน้าเจือรอยยิ้ม หันกลับมามองพ่อค้าเร่คนนั้นอย่างมีนัยลึกซึ้ง