เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 110 รู้จักพอย่อมสุขยั่งยืน
ตอนที่ 110 รู้จักพอย่อมสุขยั่งยืน
“ลูกค้า… ไม่ต้องจ่ายมากขนาดนี้ขอรับ…”
ความจริงพ่อค้าเร่เอ่ยปากตะโกนแล้วนึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อตะโกนแล้วก็ไม่สนอะไรมากความ เสียดายก็เสียดายแต่จิตใจเบิกบานอยู่บ้าง
ทว่าพ่อค้าเร่เห็นคุณชายชุดขาวคนนั้นแค่มองตนอยู่ห่างไปยี่สิบก้าว ไม่ได้กลับมา เขาจำต้องกล่าวกับชายชราซึ่งตั้งแผงขายลูกพลับที่อยู่ด้านข้าง
“อาเฉิน ท่านช่วยข้าเฝ้าแผงสักครู่ ข้าไปตามลูกค้าท่านนั้นหน่อย เดี๋ยวกลับมา!”
“ฮ่าๆ ไปเถอะๆ!”
เมื่อครู่ชายชราคนนี้ยังอิจฉาริษยา ได้กำไรหนึ่งตำลึงกว่าเปล่าๆ ตอนนี้กลับชื่นชมชายหนุ่มคนนี้อยู่บ้าง
เห็นว่าชายชรารับปาก พ่อค้าเร่รีบอ้อมแผงตามจี้หยวนไป
ด้วยเสียงตะโกนเมื่อครู่ ผู้เฝ้ามองซึ่งบ้างยืนนิ่งบ้างเดินเนิบช้าหันกลับมา พากันวิจารณ์ว่าเกิดเรื่องอะไร ทั้งมีคนอื่นซึ่งเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบอธิบายเสียงเบา ผู้เห็นปลายเหตุไม่เห็นสาเหตุพากันคาดเดา
อีกด้านหนึ่งจี้หยวนไม่ก้าวเดิน คล้ายยืนรอพ่อค้าเร่ตามมาเช่นนั้น เมื่อเห็นเขาออกจากแผงตามมาจริง จี้หยวนลืมตาขึ้นเล็กน้อย
พ่อค้าเร่สาวเท้าเดินเร็ว ไม่นานก็มาถึงหน้าจี้หยวน ยื่นเงินในมือออกไป
“ลูกค้า… ขอบอกท่านตามตรง ปิ่นหยกดำนี้แค่แกะสลักหยาบๆ อย่างมากราคาเพียงยี่สิบสามสิบอีแปะ หนึ่งตำลึงกว่า… ข้ารับแล้วลวกมืออยู่บ้าง ท่านมอบให้ห้าสิบอีแปะข้ายังรับไว้… ถ้าท่านชอบจริงก็มอบเหรียญทองแดงให้ข้าเถอะ เงินมากเป็นตำลึงข้าไม่มีเงินทอน!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบภายในคราวเดียว พ่อค้าเร่หายใจคล่องขึ้นมาก แต่พบว่าตนรีบร้อนกล่าวจบ คุณชายชุดขาวตรงหน้ากลับไม่พูดอะไร จ้องมองตนตั้งแต่หัวจรดเท้า
‘หรือข้าพูดเร็วเกินไปจนเขาฟังไม่ชัด’
ยามคิดเช่นนี้สุดท้ายจี้หยวนก็เอ่ยปาก แต่ประเด็นไม่เกี่ยวข้องกับเงินค่าปิ่น
“ขอถามน้องชายว่ามีชื่อแซ่ว่าอะไร”
“หา?”
พ่อค้าเร่อึ้งงันอยู่บ้าง อีกฝ่ายไม่รับเงินคืน แต่ถามชื่อของตนหรือ
“ข้าชื่อหลินเถียน ตั้งแผงอยู่แถวนี้ตลอด ลูกค้าท่านรับเงินคืนไปเถอะ… ปิ่นหยกนี้ข้าไม่ขายแล้วได้หรือไม่”
“ไม่ต้องรีบร้อนๆ ปิ่นหยกนี้ข้าชอบมาก วันนี้ต้องซื้อแน่ แต่ข้ายังมีข้อสงสัยเล็กน้อยอยากถามน้องหลิน หากครั้งนี้สิ่งที่ข้ามอบให้คือตำลึงทอง เจ้ายังตามออกมาคืนข้าหรือไม่”
คำถามนี้ประหลาดจริงๆ แต่ชวนจินตนาการเช่นกัน หลินเถียนสับสนเล็กน้อยก่อนตอบอย่างสัตย์ซื่อ
“ลูกค้าท่านล้อเล่นแล้ว ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยเห็นตำลึงทอง คงตอบไม่ได้ แต่เงินมากขนาดนี้ ไม่แน่ว่าข้ารับเงินแล้วอาจวิ่งหนี ฮ่าๆ…”
จี้หยวนพลันเลิกคิ้ว คราวนี้จึงยื่นมือไปรับเศษเงินในมือพ่อค้าเร่
“ไม่ผิด ข้าถามไม่ดีเอง ไป ดูแผงของเจ้าต่อเถอะ จริงสิ ได้ยินว่าหอเมารัญจวนแห่งจังหวัดจวินเทียนอาหารรสชาติไม่เลว น้องหลินเคยไปหรือไม่”
“หา?”
พ่อค้าเร่ได้ยินดังนั้นแล้วมึนงงยิ่งกว่าเดิม
…
เวลาเที่ยงวัน พ่อค้าเร่หลินเถียนไม่รู้ว่าตนเป็นอะไร ตามคุณชายชุดขาวแซ่จี้คนนั้นมาถึงหอเมารัญจวนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้
ตอนนี้หลินเถียนกับจี้หยวนนั่งประจันหน้าอยู่บนชั้นสามของหอเมารัญจวน มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างทั้งซ้ายขวาอย่างสำรวมระวัง
“ท่านจี้ ท่านเปลืองเงินเกินไปแล้ว ข้าแค่มอบปิ่นหยกเนื้อหยาบให้ท่าน… ได้ยินว่าที่นี่แพงจะตาย!”
เห็นท่าทางหลินเถียนซึ่งไม่กล้าพูดเสียงดัง จี้หยวนเบิกบานแล้ว
“ต่อให้แพงแค่ไหนจะเทียบเท่าค่าอาหารสามปีได้หรือ”
จี้หยวนกล่าววาจาซึ่งทำให้พ่อค้าเร่ฟังแล้วประหลาดใจอีกครั้ง เวลาแบบนี้เขาไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
“น้ำแกงหัวปลากับไก่ต้มสับมาแล้ว… ผัดผักกาดขาวกับเนื้อห่อนึ่งมาแล้ว…”
เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมลากเสียงยาวบอกชื่ออาหาร มือหนึ่งถือมาหนึ่งถาด ประคองสองถาดซอยเท้าถึงโต๊ะริมหน้าต่างของพวกจี้หยวน การทรงตัวนี้ถือว่าฝึกฝนจนชำนาญ
หลินเถียนกับจี้หยวนไม่รอให้เสี่ยวเอ้อร์บอกก็รีบช่วยเขาวางถาดลง ยกอาหารทั้งหมดหกจานออกมา
“นี่คือน้ำแกงหัวปลา นี่คือไก่ต้มสับ นี่คือซีอิ๊วกับน้ำส้มสายชู นี่คือผัดผักกาดขาว เนื้อห่อนึ่งกับผัดสามสหาย นี่คือน้ำแกงดอกพุดตาน ควรดื่มตอนร้อน นี่คือน้ำส้มเชื่อม จริงสิ ลูกพลับจานนี้คือผลไม้หลังอาหาร ลูกค้า อาหารของท่านมาครบแล้ว มีอะไรโปรดเรียกหา!”
เสี่ยวเอ้อร์มือเท้าแคล่วคล่องพูดจาไม่ช้า แนะนำอาหารอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง
“ดี ขอบคุณเสี่ยวเอ้อร์!”
จี้หยวนประสานมือกล่าวขอบคุณเสี่ยวเอ้อร์ หลินเถียนที่อยู่ด้านข้างประสานมือตามอย่างเก้กัง
“อ้อๆ เชิญทานขอรับๆ!”
เห็นเสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าจากไป จี้หยวนบอกหลินเถียนซึ่งน้ำลายแทบหกนานแล้วว่าเชิญขยับตะเกียบ ทั้งยังคีบไก่ต้มสับจุ่มน้ำจิ้มกินก่อน
หลินเถียนเห็นท่านจี้เริ่มกิน มีหรือจะควบคุมตัวเองอยู่ เขาเริ่มกินเช่นกัน อาหารของหอสุราใหญ่เช่นนี้ตลอดปียังกินไม่ได้สักครั้ง
หลังจากดื่มกินจนอิ่มหนำสำราญ หลินเถียนกินอิ่มจนเรอแล้ว จี้หยวนดื่มน้ำแกงหัวปลาต่ออีกหน่อยก่อนหยุดพัก มองหลินเถียนซึ่งผึ่งพุงอยู่พลางเอ่ยถาม
“น้องหลิน ปิ่นหยกนี้ข้าชอบจริงๆ เกรงว่าข้าวหนึ่งมื้อยังไม่พอ…”
“อย่าๆๆ คุณชายข้ากลัวท่านแล้ว ท่านเป็นญาติผู้รุ่งเรืองสักฝ่ายของพวกเราตระกูลหลินใช่หรือไม่… ท่านกินลูกพลับก่อนเถอะ ลูกพลับนี้หวานนัก!”
เมื่อได้ยินว่าจี้หยวนเริ่มอีกแล้ว หลินเถียนรู้สึกหวาดหวั่นจริงๆ
“ฮ่าๆๆ… ตอนนี้ข้าไม่อยากกินลูกพลับ… น้องหลิน ข้าคนแซ่จี้ขอพูดคุยกับเจ้าอีกสองสามประโยค”
“อืม ลูกพลับนี้หวานจริง… แจ๊บ… คุณชายว่ามาเถิด!”
จี้หยวนวางมือข้างหนึ่งบนโต๊ะ สองนิ้วเคาะเป็นจังหวะ มองนอกหน้าต่างพลางเงี่ยหูฟังเสียงเซ็งแซ่ภายในเมือง
“ถ้าให้น้องหลินเลือกอย่างหนึ่ง เจ้าจะเลือกทวนกระแสร่ำรวยมั่งคั่ง หรือพออยู่พอกินใช้ชีวิตอย่างสงบ”
จี้หยวนพูดจบแล้วเบิกตาหันกลับมามองหลินเถียน แม้ว่าดวงตาสำแดงวิชาบังตา แต่กลับทำให้หลินเถียนหยุดมือและปาก
เสียงเซ็งแซ่โดยรอบคล้ายเบาลงไม่น้อย หลินเถียนไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้ แต่กลับทำให้เขาวางลูกพลับครึ่งหนึ่งลงพลางใช้มือเช็ดปากอย่างอดไม่ได้ รู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับช่วงสำคัญในชีวิตอยู่รางๆ
“ท่านจี้ ข้าไม่มีความรู้หรือปณิธานอะไร แค่อยากแต่งภรรยามีลูกสักสองคน ผ่านชีวิตนี้ไปอย่างสงบ เลี้ยงดูบิดามารดาจนแก่เฒ่า มีคนเฝ้าดูแลข้าจนแก่ตาย… เท่านี้ก็พอใจมากแล้ว!”
จี้หยวนได้ยินแล้วถอนใจ หลับตาลงเล็กน้อย
“คนเราเปลี่ยนกันได้… ยิ่งมีมากยิ่งมุ่งหวังมาก แน่นอนว่าหากรู้จักพอย่อมสุขยั่งยืน เอาเถิด น้องหลิน เจ้าเสียงดัง รบกวนตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาคิดเงินตรงนี้หน่อย”
“ได้เลย!”
หลินเถียนหยิบลูกพลับอีกครึ่งขึ้นมา วิ่งตึงตังถึงปากทางบันไดชั้นสามแล้วตะโกนลงไป
“เสี่ยวเอ้อร์… คิดเงินโต๊ะริมหน้าต่างฝั่งตะวันออกชั้นสาม…”
“มาแล้ว…”
เสี่ยวเอ้อร์ชั้นล่างเหมือนลากเสียงตามหลินเถียน ต่างฝ่ายต่างตะโกนอย่างนุ่มนวล
เห็นหลินเถียนจากไป มือขวาจี้หยวนแตะน้ำเชื่อมในถ้วยเล็กน้อย เขียนอักษร ‘สมปรารถนา’ ลงบนโต๊ะ จากนั้นนิ้วกลางเคาะโต๊ะคราหนึ่ง ตัวอักษรจากรอยน้ำเชื่อมนี้ลอยอยู่กลางอากาศตามปลายนิ้ว
นิ้วกลางประสานนิ้วโป้งดีดออกไป
ฟุ่บ…
อักษรสมปรารถนาลอยไปตรงปากทางบันไดอย่างรวดเร็ว ยามนี้หลินเถียนบังเอิญหันหลังกลับมา
เผียะ…อักษรสมปรารถนาประทับลงกลางหว่างคิ้วแล้ว
หลินเถียนรู้สึกเพียงหน้าผากเย็นวาบ ยื่นมือสัมผัสแล้วไม่แตะโดนอะไร เงยหน้ามองฝ้าเพดานตามจิตใต้สำนึกก่อนกลับมาอยู่ข้างโต๊ะ
‘ลูกพลับนั่นอร่อยกว่าที่ผู้อาวุโสเฉินขาย ต้องกินอีกสองสามลูก’
จี้หยวนยิ้มมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง บังเอิญได้ยินพวกบัณฑิตตรงชั้นล่างพูดคุยเรื่องการสอบขุนนางระดับเมืองเอกอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ถึงช่วงประกาศรายชื่อบนกระดานหอมหมื่นลี้[1]แล้ว…”
ยามสะบัดมือหมากขาวปรากฏในแขนเสื้อ เทียบกับสามปีก่อน ความเด่นชัดของมันด้อยกว่าปีศาจเสือเจ้าภูเขาลู่ซึ่งมีมรรควิถีเกือบสองร้อยปีเพียงเล็กน้อย
[1] กระดานหอมหมื่นลี้ หมายถึง กระดานประกาศรายชื่อผู้สอบขุนนางระดับเมืองเอกผ่าน มักประกาศช่วงดอกหอมหมื่นลี้เบ่งบาน