เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 119 คืนฝนพรำบนเขาใบตอ
ตอนที่ 119 คืนฝนพรำบนเขาใบตอง
บรรยากาศในเพิงน้ำชาเปลี่ยนเป็นแปลกอยู่บ้าง เมื่อครู่ไม่ได้มองโดยละเอียด ตอนนี้จี้หยวนลืมตาขึ้นเสี้ยวหนึ่งก่อนมองโดยรอบ พบว่าดูจากกลิ่นอายผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริงรวมตนและเจ้าของร้านเพิงน้ำชาแล้ว ทั้งหมดมีหกเจ็ดคน
เดิมคนอื่นยังนับว่ากลิ่นอายปกติ ตอนนี้ล้วนเปลี่ยนไป พูดถึงเลือดลมชายฉกรรจ์ตรงหน้าถือว่าสูงสุด หญิงสาวสองคนด้านข้างรองลงมา
สายตาคนพวกนี้ต่างสังเกตจี้หยวนคนเดียวอยู่รางๆ ใช่ว่าเปรียบเทียบชิงชัย แต่ถือเป็นพวกเดียวกัน
แม้ว่าจี้หยวนจนปัญญา แต่ยังไม่ถึงขั้นกลัวจริงๆ ถึงอย่างไรก็เป็นจอมยุทธ์ทั่วไป คุกคามตนไม่ได้ไม่ว่า ถ้าเขาไม่อยากสร้างปัญหาแล้ววิ่งไปทั้งอย่างนี้ คาดว่าคงไม่มีคนตามเขาทันแน่นอน
ดังนั้นเขาแค่ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มจนหมด มองชายฉกรรจ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าจนปัญญา
“เอ่อ… พี่ชายท่านนี้ ใช้สัตว์แทนการเดินเท้าแพงเกินไป อีกทั้งดูแลยาก เดินเอาดีกว่า แม้เหนื่อยอยู่บ้าง แต่สบายกว่ามาก”
จี้หยวนกล่าวประโยคหนึ่ง หันหน้ามองเด็กชายตัวน้อยวัยเจ็ดแปดขวบที่เคาะถ้วยชาคนนั้นโดยละเอียด แม้ว่าไม่เห็นชัดเจนตั้งแต่พริบตาแรก แต่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกประหลาด เขาข่มความเจ็บปวดลืมตาขึ้นเล็กน้อย พลันพบว่าบนตัวเด็กชายถึงกับมีสิ่งคล้ายหมอกเทาชั้นหนึ่ง
หมอกควันนี้เองที่ขวางความพิเศษยามจี้หยวนเพิ่งพบเด็กคนนี้ตอนแรก เมื่อสายตามองผ่านหมอกไป ท่าทางของเด็กชายตัวน้อยชัดเจนหาใดเปรียบ ยังเจือความฉลาดเฉลียวด้วย
เห็นจี้หยวนมองเด็กข้างกาย หนึ่งในสองหญิงสาวด้านข้างหรี่ตาเอ่ยปาก
“ท่านดูคุ้นหน้านัก คล้ายวันก่อนเคยเจอกันในจังหวัดจวินเทียน ตอนนี้กลับเจอกันนอกเมืองอีก”
หญิงสาวอีกคนกล่าวต่อ
“หรือวันนั้นท่านเห็นพวกเราสองพี่น้องแล้วถูกใจ คิกๆๆๆ…”
จี้หยวนทำหน้าไม่ถูก หญิงสาวสองคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรเขายังไม่เคยเห็นชัดเจน แต่ฟังเสียงแล้วเป็นพวกนางจริงๆ
เดิมยังสงสัยเด็กชายคนนั้นอยู่บ้าง แต่ท่าทางตอนนี้รู้สึกว่าใกล้เกิดความขัดแย้งกัน ยังมีอะไรพูดได้อีก เรื่องแปลกจี้หยวนเห็นมาไม่น้อยแล้ว
จี้หยวนถอนใจพลางยิ้มรับ
“ได้ บนโลกนี้ยังมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้จริง ไม่ว่าแม่นางทั้งสองเชื่อหรือไม่ เรื่องวุ่นวายข้าน้อยไม่อยากยุ่ง ในเมื่อเพิงน้ำชาแห่งนี้ไม่ต้อนรับข้าน้อย ข้าน้อยคงต้องจากไป…”
จี้หยวนยังไม่ถึงขั้นอยากสร้างความตึงเครียดกับคนกลุ่มนี้เพราะความเข้าใจผิด ไม่จำเป็น ทั้งรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่ายด้วย
เมื่อดื่มชาในมือเสร็จ จี้หยวนลุกขึ้นท่ามกลางสายตาชายฉกรรจ์ซึ่งจ้องตนเขม็ง กล่าวขออภัยกับเจ้าของร้านหนุ่มที่เตรียมมารับรองตน
“น้องชายไม่ต้องรับรอง ข้าน้อยไม่พักอยู่ที่นี่แล้ว”
จี้หยวนพูดจบแล้วถือห่อผ้าพาดไหล่ หยิบร่มกันฝนขึ้นมา มองเด็กอายุราวเจ็ดแปดปีคนนั้นอีกเล็กน้อย เลื่อนเก้าอี้ยาวก้าวออกจากเพิงน้ำชา มุ่งหน้าเลียบทางหลวงไปทางตะวันตกต่อ ไม่มีความอาวรณ์สักนิด
ภายในเพิงน้ำชา ชายฉกรรจ์กับหญิงสาวสองคนต่างมองเงาหลังจี้หยวนยามจากไป ตัวเกร็งเล็กน้อย เตรียมตัวรับมือยามอีกฝ่ายหันกลับมาหาเรื่องกะทันหัน
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ในสายตาเงาหลังจี้หยวนเลือนรางแล้ว แต่ยังไม่เห็นเขามีความคิดหันกลับมา
พูดตามตรงว่าระยะห่างไกลเช่นนี้ ลงมือหรือไม่ล้วนไม่มีความหมาย ไกลเกินไปแล้ว
“หรือคนผู้นี้เป็นแค่คนผ่านทางจริงๆ”
ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยความสงสัยประโยคหนึ่ง มองหญิงสาวสองคนข้างกาย หญิงสาวคนหนึ่งในนั้นขมวดคิ้วตอบ
“แต่พวกเราเคยเจอเขาจริงๆ ไม่มีทางจำผิด วันนั้นภายในร้านเสื้อผ้าของจังหวัดจวินเทียน เขาเองก็… เรียบง่ายสบายๆ…”
หญิงสาวอีกคนกล่าวเช่นกัน
“เห็นชัดว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา เหมือนอย่างที่โม่ถงกล่าว จังหวัดจวินเทียนอยู่ห่างจากที่นี่ไม่น้อย สองวันก่อนพวกเราเพิ่งเจอเขาในเมือง คนผู้หนึ่งเดินเท้ามาวันนี้จะถึงที่นี่ได้อย่างไร นอกเสียจากว่าระหว่างทางขี่ม้านั่งรถมา มิฉะนั้นไม่เหนื่อยแย่หรือ”
“อืม เมื่อครู่ข้าหยั่งเชิงประโยคหนึ่ง เขาคล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แต่เสียงกลับจนปัญญาอยู่บ้าง”
ขณะกล่าวชายฉกรรจ์โม่ถงจ้องเส้นทางห่างไกลตลอด นานเข้าเงาร่างของจี้หยวนจางลงแล้ว
ในที่สุดตอนนี้เด็กที่เคาะก้นถ้วยชามาตลอดคนนั้นก็หยุดทำเสียงเอะอะดังเป๊งๆๆ มองทิศทางซึ่งจี้หยวนจากไปเช่นกัน
กล่าวเสียงเบากับหญิงสาวด้านข้าง “ข้าอยากกินหมูชุบแป้งทอด”
“มีแค่ขนมเปี๊ยะกับเนื้อแห้ง อยากกินไหม!”
“ไม่กิน! ถึงหิวตายก็ไม่กิน!”
เด็กชายกล่าวอย่างดื้อรั้น เริ่มเคาะเสียงดังอีกครั้ง หญิงสาวด้านข้างเห็นแล้วกลอกตาใส่ ถึงอย่างไรถ้าหิวจริงคงกินเอง
…
คืนฝนพรำสามวันต่อมา บนเขาใบตองเขตเชื่อมต่อจังหวัดจวินเทียนกับจังหวัดซีหนิง จี้หยวนกำลังกางร่มเดินอยู่บนทางเขา
เขาใบตองได้ชื่อมาเพราะยามทอดมองบนยอดเขาสูงลักษณะภูเขาคล้ายใบตอง ขนาดทิวเขาไม่นับว่าใหญ่เกินไปนัก ยังสู้เขาคทาซึ่งเจอเด็กสองคนของเขาล้อมหยกตอนนั้นไม่ได้ ทอดยาวระหว่างสองจังหวัดสามสิบกว่าลี้ รัศมีที่ครอบครองมีแค่สิบกว่าลี้เท่านั้น
คุณชายจี้มีความเคยชินอย่างหนึ่ง เมื่อฝนตกเขามักชอบเดินช้าลง ด้วยวันฝนตกเขาสามารถ ‘เห็น’ ภูเขาแม่น้ำทิวทัศน์งามอย่างชัดเจน ‘สัมผัส’ สรรพสิ่งบนพื้นดินตามเสียงฝน
ตอนนี้ก็เช่นกัน ตั้งแต่ก่อนค่ำฝนตกไม่หยุดตลอด จี้หยวนก้าวเดินเนิบช้ามานาน ‘ได้ยิน’ ว่าข้างหน้ามีเรือนอยู่หลังหนึ่ง
เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ได้กลิ่นจันทน์หอมรางๆ มองการตกแต่งภายใน เป็นอารามเทพภูเขาแห่งหนึ่งดังคาด
กางร่มเข้าชายคา เก็บร่มสะบัดน้ำ จี้หยวนผู้เปิดประตูอารามสำรวจอารามเล็กนี้ด้วยหน้าตาผ่อนคลาย
อารามเทพภูเขานี้กว้างลึกแค่สองสามจั้ง ถึงแม้เห็นชัดว่าทรุดโทรมและไม่มีคนเฝ้าศาลอาศัยอยู่ถาวร แต่น่าจะไม่ถือว่าเป็นอารามร้าง ถึงอย่างไรโต๊ะบูชาก็นับว่าเป็นระเบียบ ยังมีของเซ่นไหว้หลงเหลืออยู่ คล้ายช่วงเทศกาลหรือมีธุระชาวบ้านริมเขาจะมาเซ่นไหว้ แน่นอนว่าส่วนใหญ่มักไม่มีคน
เมื่อมองรูปปั้นเทพภูเขาโดยละเอียด รูปสลักต่างจากคนทั่วไป แม้ว่าสวมชุดคลุม แต่กระดูกใบหน้าค่อนข้างปูดโปน บนหน้าผากมีตุ่มนูนสองข้าง ช่างแกะสลักยังวาดลายเมฆขดสองสามวงบนตุ่มทั้งสองด้วย ทำให้จี้หยวนเดาไม่ถูกว่าสองจุดนี้สื่อถึงเขาประหลาดหรือตุ่มพอง
บนรูปปั้นเทพภูเขาไม่มีร่องรอยแสงเทพของรูปจำลองร่างทอง แต่มีกลิ่นกำยานวนเวียนอยู่จริงๆ เพียงแต่อ่อนกำลังผิดปกติ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่เทพ เชื่อมโยงกับรูปลักษณ์ซึ่งไม่เหมือนคนทั่วไป น่าจะเป็นภูตที่ก่อเกิดจากฟ้าดินคิดอาศัยแรงปรารถนากำยานมาช่วยเร่งเชื่อมต่อกับปราณพิภพปราณภูเขาจนบรรลุถึงตำแหน่งเทพภูเขา
โดยธรรมชาติเทพตัวน้อยจำพวกภูตอาศัยอยู่ในอารามไม่ได้ แค่ยามรับรู้ว่ามีชาวบ้านเซ่นไหว้ถึงจะกลับมารับกำยานชิมของเซ่นไหว้
จี้หยวนลืมตาขึ้น ไม่กี่พริบตาก็มองออกว่ารูปปั้น ‘เทพภูเขา’ ที่เรียกกันนี้มรรควิถียังห่างไกลอยู่มาก แม้ว่าเขาใบตองจะเล็ก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเขาลูกหนึ่ง ทั้งมีรัศมีสิบกว่าลี้ ไม่ใช่ที่ดินคฤหาสน์เล็กตามชนบท
อาศัยกำยานบางเบาของอารามเล็กนี้ รวบรวมกับคงสภาพผ่านเดือนปี ยังต้องฝึกตนโดยไม่เกียจคร้าน กอปรกับร่างเป็นภูต อีกร้อยปีถ้าผ่านเคราะห์จึงประสบผลสำเร็จตามสมควร แต่เป็นแค่ผลสำเร็จระดับหนึ่ง อืม หากไม่ระวังชะตาขาดระหว่างทางทุกอย่างก็สูญเปล่า
“การฝึกปราณยากนัก!”
จี้หยวนทอดถอนใจประโยคหนึ่ง ปิดประตูอารามขอขมารูปปั้นเทพ ดึงเบาะรองนั่งไปตรงมุมเพื่อนั่งพัก
หยิบคัมภีร์นอกรีตออกมาจากอก อ่าน ‘นิยายสมจริง’ กลางคืนฝนพรำนี้มีรสชาติอีกแบบ
ภายในอารามเทพภูเขามีอ่างเหล็กใบหนึ่ง น่าจะเป็นของที่นำมาใช้เผากระดาษ ด้านข้างยังมีถ่านฟืน คล้ายอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านผู้มากราบไหว้พักผ่อนชั่วคราว แต่จี้หยวนไม่ต้องใช้ไฟก็ไม่รู้สึกหนาว แน่นอนว่าไม่ต้องก่อไฟ
อ่านตำราราวครึ่งชั่วยาม เปลี่ยนเป็นกลยุทธ์เจิดจรัส อ่านถึงการคาดเดาและความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาคุมเทพพอดี พูดว่าวิชาคุมเทพที่แท้จริงอาจมีจุดร่วมกับประกาศิตผู้สูงส่ง เห็นชัดว่าผู้แต่งไม่รู้จักวิชาคุมเทพ
จี้หยวนมองรูปปั้นเทพภูเขากลางอารามตามจิตใต้สำนึก เศษบทความคุมเทพที่ฉิวเฟิงแห่งเขาล้อมหยกมอบให้ก่อนหน้านี้ เขาค้นคว้าจนปรุโปร่งนานแล้ว
ฉิวเฟิงหยั่งรู้เศษบทความมาสิบกว่าปี มีบันทึกใจความมากมาย ความสมบูรณ์มากจริงๆ แต่กลับขาดแกนเทพสำคัญ ดังนั้นนอกจากช่วยรวมจิตฝึกปราณแล้ว อย่างอื่นล้วนไม่มีความหมายนัก
ทว่าความจริงตั้งแต่เราคนแซ่จี้พอมีวาสนาได้รับอภินิหารอัศจรรย์สารพัดประโยชน์อย่างวิชา ‘บัญชา’ เท่ากับมีความสามารถด้านวิชาคุมเทพระดับหนึ่ง ถึงอย่างไรบัญชาที่แท้จริงย่อมเหนือกว่าประกาศิตผู้สูงส่ง
แต่ทฤษฎีส่วนทฤษฎี สุดท้ายความเป็นไปได้สูงแค่ไหนก็ไม่เคยผ่านการพิสูจน์จริง
แน่นอนว่าจี้หยวนแค่อ่าน แต่ไม่เคยคิดลองทำจริง เขาไม่มีธุระอะไร เทพตัวน้อยในศาลเจ้าก็เป็นเทพ ไม่อาจใช้มรรควิถีรังแกเทพตามสะดวก
ขณะคิดเรื่องนี้จี้หยวนพลันใจกระตุกวูบ ได้ยินเสียงขยับไม่ธรรมดาบางอย่าง
ผ่านไปไม่นานประตูอารามถูกเปิดออกจากข้างนอกดังปัง… เงาร่างเปียกชุ่มเจ็ดคนพุ่งเข้ามาในอาราม รีบกวาดมองภายในอารามรอบหนึ่ง แต่กลับไม่เห็นจี้หยวนซึ่งแฝงตัวเป็นธรรมชาติอยู่ภายใต้เงามืดยามรัตติกาลตรงมุมกำแพง
“ฮู่… ฮู่… น่าจะไม่ตามมากระมัง”
“น่าจะไม่… นายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังหมดสติอยู่เลย!”
“โม่ถง บาดแผลเจ้าเป็นอย่างไร”
“ไม่เป็นไร!”
จี้หยวนมองเหล่าชายหญิงสภาพอนาถตัวเปียกชุ่มตรงนั้น มีกลิ่นคาวเลือดลอยมา ไม่ว่าจำนวนคนหรือสภาพล้วนด้อยลงไม่น้อย เป็นกลุ่มคนซึ่งเจอกันในเพิงน้ำชาก่อนหน้านี้