เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 127 งานเลี้ยงวันเกิดเจินหลง
ตอนที่ 127 งานเลี้ยงวันเกิดเจินหลง
คำถามของอิงรั่วหลีคล้ายกับไม่ต้องการให้จี้หยวนตอบ เพราะแค่ปฏิกิริยาของกระบี่เครือเขียวก็พอจะอธิบายได้แล้ว
จี้หยวนมองเทพีแม่น้ำ ตอบกลับไปตามมารยาท
“นับว่าเป็นกระบี่เซียนจริงๆ”
จี้หยวนไม่แปลกใจที่ธิดามังกรถามเช่นนี้ น้อยนักที่เผ่าปีศาจจะสนใจวัตถุแปลกปลอม อีกทั้งการบ่มเพาะจิตวิญญาณของภาชนะเซียนยากเกินไป มีจิตวิญญาณและกลายเป็นจิตวิญญาณล้วนเป็นคนละแนวคิด เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งยวดที่จะมีมรรควิชาติดตัวและมีโอกาสสัมผัส ‘มรรค’ ตลอดเวลา ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ต่อให้เป็นธิดามังกรก็เคยเห็นภาชนะเซียนของจริงเพียงไม่กี่ครั้ง
“ท่านอาจี้รู้จักกับท่านพ่อข้าได้อย่างไร หรือเขาดึงดันเชิญท่านมาโดยไม่ถือสาอะไร ภูตเผ่าวารีมากมายเพียงนี้ ด้วยฐานะคนฝึกตนเป็นเซียนอย่างท่านอาแล้ว เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”
ธิดามังกรไม่เหมือนเผ่าปีศาจทั่วไป ในฐานะที่เป็นเทพีแม่น้ำเทียมฟ้า อย่างไรเสียก็มีตำแหน่งเทพกำยานอยู่ เป็นไปได้ว่าเพราะเหตุผลนี้ถึงจัดให้นางนั่งอยู่ข้างๆ จี้หยวน
จี้หยวนฟังธิดามังกรพูด มองเห็นสายตาที่คล้ายกับไม่ได้จงใจมองตนเองเช่นกัน พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ไม่เหมาะสมอยู่บ้างจริงๆ แต่ข้าไม่ได้รังเกียจ เพียงกดดันเท่านั้น ข้ามาที่นี่แล้วรู้สึกว่าแบ่งความสนใจจากท่านพ่อเจ้าที่เป็นเจ้าของวันเกิดไปเกือบครึ่ง กินข้าวแล้วมีคนมากมายจ้องมองเจ้า จะไม่รู้สึกอึดอัดได้หรือ”
คำว่าความสนใจเป็นคำใหม่ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจยาก ‘ท่านจี้’ พูดได้น่าสนใจจริงๆ ทีแรกธิดามังกรอยากแน่ใจว่าเป็นเพราะเหตุนี้ และรู้สึกว่าน่าขันอยู่บ้าง
“ส่วนการรู้จักกันนั้น ข้าบังเอิญได้สนทนากับเขาท่ามกลางสายฝน แบ่งอาหารและพุทราให้หลายลูก”
“เรียบง่ายเช่นนั้นเชียว?”
ธิดามังกรมองจี้หยวนด้วยความประหลาดใจ ฝ่ายหลังก็ยิ้มเช่นกัน
“เรียบง่ายเช่นนั้นแหละ!”
พูดจบแล้วจี้หยวนก็สนใจรับมือกับอาหารชั้นเลิศ การกินอาหารในน้ำถือเป็นประสบการณ์เดียวในชีวิตทั้งสองชาติ ตะเกียบเพิ่งสัมผัสลูกชิ้นลูกหนึ่งที่ลอยอยู่ ฟองอากาศก็ล้อมรอบมันไว้ในทันที
เมื่อคีบขึ้นมาใส่ปาก ฟองอากาศหลุดออกและลอยขึ้นตามกระแสน้ำ มองแล้วเหมือนจี้หยวนพ่นฟองอากาศในน้ำ เคี้ยวตัวลูกชิ้นก็รู้สึกได้ถึงความร้อนและความนุ่มนวลมีรสชาติ บวกกับทิวทัศน์ตรงหน้าแล้ว นับว่าอร่อยและน่าสนุกอยู่ในที
พอเทสุราจากกาก็เป็นเช่นเดียวกัน แม้จะมีปราณวิญญาณจางๆ ห่อหุ้มอยู่ภายในยามตั้งใจชิม แต่จี้หยวนรู้สึกว่าหากพูดถึงรสชาติสุราแล้วละก็ อาจจะไม่ได้เลิศรสเหมือนวสันต์พันวัน กระนั้นก็เข้มข้นกว่าสุราทั่วไปอย่างแน่นอน
ดนตรีในตำหนักบรรเลงด้วยนาฬิกาน้ำ ทำนองฟังสบายๆ เข้ากับการร่ายรำบนเวที การร่ายรำของปีศาจสาวงดงามน่าชม ความงามของการร่ายรำเช่นนี้มีจังหวะเป็นอย่างยิ่ง
ดนตรีบางท่อนมอบความสั่นสะท้านให้จี้หยวน ราวกับตอนที่ตัวเองในชาติก่อนที่ไม่สนใจดนตรีและการเต้นรำแบบโบราณได้เห็น ‘ระบำอวี้เหริน’ บนอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ตอนนั้นจี้หยวนได้รับรู้ว่าการเต้นรำแบบโบราณน่าทึ่งมากขนาดนี้
และเป็นเพราะพลัง ความอ่อนโยน ความงดงาม รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ผสมผสานเข้าด้วยกัน ทุกท่วงท่าล้วนตรงจังหวะ ทำให้งานเลี้ยงไม่ถึงกับน่าเบื่อ นอกจากชื่นชมแล้ว ด้านหน้า ด้านหลัง ซ้ายและขวาต่างก็มีเผ่าน้ำแลกจอกสุราพลางสนทนากัน
ธิดามังกรแนะนำคนที่ก้าวเข้ามาดื่มสุราอวยพรอยู่ข้างๆ จี้หยวนเสียงเบา มีทั้งเทพบ่อน้ำและทะเลสาบภายในอาณาจักรต้าเจิน อีกทั้งมีภูตจากอาณาจักรอื่นด้วย
ระหว่างนั้นมีปลาตัวใหญ่หลายชนิดว่ายน้ำอยู่โดยรอบ ต่างก็ยกอาหารจานใหม่หรือถาดเปล่า
บุตรมังกรอิงเฟิงลงไปปรับบรรยากาศกับเผ่าน้ำที่อยู่เบื้องล่างแทนบิดา ตอนเดินไปถึงโต๊ะของมังกรเจียวแห่งทะเลสาบวารีนภา มีเผ่าวารีสี่ห้าตัวแปลงกายเป็นปีศาจรวมกลุ่มกันดื่มสุราและสนทนากันอยู่แล้ว ครั้นเห็นอิงเฟิงก็รีบกวักมือเรียก
“องค์ชายอิงเฟิงมาพอดี มาๆๆ รีบมาเถอะ!”
มังกรเจียวแห่งทะเลสาบวารีนภาผู้อยู่ในร่างวัยกลางคนมัดมวยผมงดงามดึงอิงเฟิงนั่งลง ปีศาจหลายตนก็นั่งล้อมโต๊ะกันครึ่งหนึ่ง
“ฝ่าบาท พวกข้าไม่กล้าถามประมุขมังกร ท่านรีบพูดกับพวกข้าหน่อยเถอะ คนที่นั่งอยู่ข้างเทพีเป็นใครหรือ”
อิงเฟิงหันไปมองจี้หยวนที่ดื่มสุราและคีบอาหารอยู่ไกลๆ ตามสัญชาตญาณครั้งหนึ่ง คนผู้นี้ราวกับไม่เข้ากับการร้องรำทำเพลงภายในวัง ฝ่ายน้องสาวตนเองพูดจากับเขาบ้างเป็นครั้งคราว
อิงเฟิงมองไปยังบิดาของตัวเอง ซึ่งกำลังพยักหน้าชื่นชมการร่ายรำกลางตำหนัก จากนั้นถึงหันไปพูดกับสหายที่ค่อนข้างสนิทสนมกันหลายคน
“คนผู้นี้มีนามว่าจี้หยวน ไม่แน่ใจว่ากำลังฝึกปราณที่ใด นับว่าเป็นสหายที่บิดาข้าเพิ่งทำความรู้จักใหม่ ทว่าหาตัวจับยาก เพื่อตามหาเขามาร่วมงานเลี้ยง ท่านพ่อตามหาอยู่สามปีเต็มๆ เชียว!”
ปีศาจทั้งหลายมองหน้า ด้วยไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
“ประมุขมังกรตามหาเขาด้วยตนเองถึงสามปีถึงจะพบหรือ”
มังกรเจียวทะเลสาบสารีนภานามว่าเกาเทียนหมิงมองจี้หยวนพลางถาม
“ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่าคนผู้นี้ฝึกมรรควิถีลึกซึ้งเพียงใดแล้ว”
อิงเฟิงมองหกเจ็ดใบหน้าที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะดื่มสุราจอกหนึ่งจนหมดในคราวเดียว
“บิดาข้าให้ข้ากับน้องสาวเรียกเขาว่า ‘ท่านอาจี้’ พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
คราวนี้หลายคนที่นั่งอยู่ด้วยพูดไม่ออกแล้วจริงๆ จึงมองจี้หยวนที่อยู่ทางนั้นครั้งหนึ่ง แม้ยังคงรู้สึกว่าเหมือนสุภาพบุรุษทั่วไป แต่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่อาจหยั่งคาด
วันนี้อิงเฟิงอาจจะดื่มมากเกินไปอยู่บ้าง กวักมือทำท่าทางอยากกระซิบให้ทุกคนฟังเสียอย่างนั้น
“พวกเจ้ารวบรวมความสนใจ ตั้งมั่นจิตวิญญาณให้แจ่มชัด จากนั้นมองข้างหลังของคนผู้นั้นอย่างละเอียดเถอะ!”
เมื่อได้ยินบุตรมังกรพูดเช่นนี้ ภูตเผ่าวารีหลายตัวตัดสินใจตั้งใจสังเกตไปทางข้างหลังของจี้หยวนอีกครั้ง เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้ว มีเงาดำที่เดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏลอยอยู่ มองดูอีกหลายอึดใจกลับปรากฏกระบี่ยาวในฝักสีเขียวเล่มหนึ่ง
ที่น่าแปลกคือด้ามกระบี่ยาวคล้ายกับมีเครือพันไว้ สีเขียวมรกต
ประเด็นอยู่ที่กระบี่เล่มนี้เชื่อมต่อกับจี้หยวนโดยไม่มีพลังหรือปราณวิญญาณใด กลับขยับขึ้นเองเป็นครั้งคราวอยู่เรื่อยๆ คล้ายกับกำลังสังเกตงานฉลองที่แปลกพิสดารนี้เช่นกัน
“นี่คือ…กระบี่เซียน?”
อิงเฟิงพยักหน้ากล่าว
“แทบไม่มีเจตกระบี่รั่วไหลและเร้นจิตวิญญาณด้วยตนเอง ก่อนเริ่มงานฉลอง ท่านพ่อบอกกับข้าเป็นการส่วนตัวว่าเมื่อกระบี่เล่มนี้ออกจากฝักแล้วจะต้องสั่นสะเทือนฟ้าดินอย่างแน่นอน”
พอพูดถึงตรงนี้ แขกหนึ่งเดียวที่ไม่ใช่เผ่าวารีมีฝึกมรรควิถีอะไร ราวกับไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความแล้ว
ค่อนข้างสนิทชิดเชื้อกับประมุขมังกรได้ อีกทั้งถูกเชิญมาร่วมงานฉลอง ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกปราณขนานแท้ที่ไม่ดูถูกเผ่าวารี นี่ทำให้เผ่าปีศาจหลายตนที่นั่งอยู่เกิดความคิดอย่างอื่น
เห็นหลายคนในนั้นตาเป็นประกาย บุตรมังกรอิงเฟิงราวกับเข้าใจแล้วว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ฮ่าๆๆ…ทุกท่านอยากขอ ‘คำชี้แนะจากเซียน’ กระมัง”
‘คำชี้แนะจากเซียน’ ที่ว่า หมายถึงยามปีศาจ ผี เทพ หรือผู้ฝึกปราณพบเซียนจริงแท้ มีโอกาส ‘ถามถึงมรรค’ และได้รับชื่อรองจากคำชี้แนะ หากสำเร็จได้ การฝึกปราณในวันข้างหน้าจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งยวด
ความจริงแล้วยิ่งเป็นผู้วิเศษ ก็ยิ่งเป็นขอบเขตของ ‘การพูดจาดี’ คำชี้แนะจากเจตนาดีไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือไม่ได้พบเจอต่างหาก
การแปลงกายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของปีศาจ หากพูดให้ถูกต้องเป็นเพียงจุดเริ่มต้น นับว่ามีรากฐานของการฝึกปราณที่ดียิ่งขึ้น แต่กลับไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้จะราบรื่น
ดังนั้นแม้เป็นปีศาจที่มีมรรควิธีระดับสูง มีโอกาสและไม่มีอุปสรรคก็หวังให้ได้สอบถามสักครั้ง ทว่ามรรควิถีของปีศาจสูงต่ำแตกต่างกัน ‘เซียน’ ในสายตาย่อมมีระดับแบ่งแยกอยู่แล้ว ‘เซียน’ ในสายตาของปีศาจที่ยังไม่มีจิตวิญญาณ สำหรับปีศาจส่วนหนึ่งแล้วอาจจะมีฝีมือย่ำแย่ก็เป็นได้
อิงเฟิงเห็นพวกเขาไม่พูดจา จึงพูดอย่างคร่ำเคร่งอยู่บ้างว่า
“แนะนำพวกท่านให้เลิกคิดเสียดีกว่า จากนี้พวกท่านมีวาสนาได้พบหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของพวกท่าน อย่างไรเสียตอนนี้ก็เป็นงานฉลองวันครบรอบของบิดาข้า มันไม่ค่อยเหมาะสมนัก…”
“ฮ่าๆ ฝ่าบาทพูดถูกต้อง!”
“จริงด้วยๆ องค์ชายอิงเฟิงพูดถูกแล้ว!”
“ข้าจะบุ่มบ่ามเช่นนั้นได้อย่างไร ฮ่าๆๆ…”
“ดื่มๆๆๆ!”
“ดูร่ายรำด้วย การร่ายรำครั้งนี้น่าทึ่งนัก!”
…
งานฉลองครบรอบผ่านไปเนิ่นนาน จี้หยวนผ่อนคลายลงแล้ว นับว่าไม่มีใครกล้ากระโดดออกมาถามว่า ‘มนุษย์ผู้นี้มีสิทธิ์อะไรมานั่งตรงนี้’ อำนาจของเจินหลงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย
ทว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้วกลับยังไม่ได้พบมารดามังกร ทำให้จี้หยวนรู้สึกแปลกใจเล็กๆ แต่เรื่องพรรค์นี้คนในครอบครัวไม่พูด เขาจะไปถามย่อมไม่ได้
นอกจากชื่นชมการร่ายรำและกินอาหาร ความจริงแล้วความสนใจส่วนใหญ่ของจี้หยวนอยู่ที่ตัวคนผู้หนึ่งตรงมุมตำหนักหลัก เขานั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมสีหน้าอ้างว้าง ร่ำสุราเพียงลำพัง ทั้งไม่กินอาหารและไม่พูดจากับคนข้างๆ ถึงมีคนพูดจากับเขาก็ไม่เห็นเขามีปฏิกิริยาตอบสนองสักเท่าไร อย่างมากก็แค่ตอบความคำเดียวเท่านั้น
ดูแล้วไม่ใช่เพราะเขาโดดเดี่ยว จี้หยวนรู้จักคนคนนี้ เขาก็คือไป๋ฉี เทพแม่น้ำวสันต์
มรรควิถีของมังกรเจียวที่ผู้นี้ถือเป็นอันดับหนึ่งหรือสองรองจากเจินหลงในตำหนักนี้ เหตุการณ์อันน่าหดหู่อันเกิดจากการแปลงกายล้มเหลวในงานเลี้ยงวันฉลองครบรอบของเจินหลงน่าจะชัดเจนมาก เขาจึงปิดกั้นตัวเองไปโดยปริยาย
เมื่อรวมเนื้อหาของ ‘คัมภีร์นอกรีต’ เข้ากับภาพที่เจอในจังหวัดชุนฮุ่ยก่อนหน้านี้ จี้หยวนมีการประเมินต่อมังกรเจียวเฒ่าเช่นกัน
หน้าที่ของธิดามังกรข้างๆ ในวันนี้ก็คือดูแลจี้หยวน ย่อมมองตามสายตาของ ‘ท่านอาจี้’ ผู้ที่ตัวเองต้องคอยจับตาดูเป็นพิเศษไปยังที่นั่งของมังกรเจียวขาว
“ท่านจี้รู้จักเทพแม่น้ำวสันต์หรือ”
ธิดามังกรถามเช่นนี้ จี้หยวนคิดดูแล้วก็พบว่าแม่น้ำวสันต์นับเป็นแม่น้ำใหญ่ ศาลเทพแม่น้ำที่มีรูปปั้นก็ไม่น้อย จะบอกว่ารู้จักเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร จึงพยักหน้ารับอย่างไม่รู้สึกเป็นกังวล
“แปลงกายเป็นเรื่องอันตราย มังกรเจียวขาวผู้นี้เป็นความล้มเหลวของคนรุ่นก่อนสำหรับมังกรเจียวเช่นข้า หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาจริงๆ ข้าต้องทรมานยิ่งกว่าตายเป็นแน่…”
ธิดามังกรแสดงความรู้สึกออกมาตามมรรควิถีที่ล้ำลึก ถึงขนาดมีความรู้สึกกลัวที่จะแปลงกายเป็นมังกรด้วย
จี้หยวนเบิกตากว้าง มองเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านพลังปราณของธิดามังกร จิตใจไม่ค่อยสู้ดี ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี ย่อมต้องการคำพูดให้กำลังใจสักหน่อย
“ฮ่าๆ ทุกคนล้วนรู้ว่าการแปลงกายเป็นมังกรเป็นเรื่องอันตราย กระนั้นทุกคนต่างก็กระหายจะเป็นเจินหลง ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน มนุษย์ฝึกตนเป็นเซียนก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีหัวใจกล้าหาญพุ่งไปข้างหน้าท่ามกลางอุปสรรค นับประสากับความกระหายในร่างของเจินหลง…”
จี้หยวนพูดพลางมองไปทางมังกรเจียวขาว
“มังกรเจียวขาวผู้นี้มีพลังใจเต็มเปี่ยม ทว่าใช้วิธีผิด ในมุมมองของข้าคนแซ่จี้ตอนนี้ไม่มียาใดรักษาได้แล้ว หากเทพีใจไม่สู้ แล้วจะคู่ควรเป็นบุตรีของเจินหลงได้อย่างไร”
ธิดามังกรอิงรั่วหลีมองจี้หยวนด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะประทับใจหลักการในคำพูดของเขา แต่เป็นเพราะ ‘ท่านอาจี้’ ผู้นี้คล้ายกับคิดว่ามังกรเจียวขาวผู้นั้นยังมีโอกาส