เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 13 จอมยุทธ์น้อยๆ
ตอนที่ 13 จอมยุทธ์น้อยๆ
ฝนวันนี้เทียบกับเมื่อวานแล้วสั้นกว่ามาก ตกไม่นานก็หยุด แต่อากาศกลับหนาวอยู่บ้างเพราะฝนรอบนี้
จี้หยวนผู้สัมผัสถึงความหนาวเย็นคลำหาเสื้อผ้าที่พ่อค้าเร่เหลือไว้มาสวม จากนั้นค่อยสวมชุดฟางอีกชั้น
จากบทสนทนาของพ่อค้าเร่เมื่อวานนี้ ทำให้รู้ว่าตอนนี้น่าจะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศหนาวหน่อยถือเป็นเรื่องปกติ แต่ฝนสองรอบซึ่งจี้หยวนเจอล้วนไม่ตกแบบฝนฤดูหนาว
วันนี้ยามตื่นขึ้นมาก็สายมากแล้ว ตอนนี้ฝนหยุดประมาณช่วงใกล้พลบค่ำ กลางป่าเขาฟ้ามืดเร็วมาก กอปรกับตอนนี้ทางลื่น ต่อให้จี้หยวนมีความกล้าลงเขาก็ไม่อำนวยแล้ว
คืนนี้ไม่มีพ่อค้าเร่ก็ไม่มีกองไฟสร้างความอุ่น
“เฮ้อ…”
จี้หยวนถอนใจอยู่บ้าง มองโชคชะตาบนหนทางข้างหน้าของตนในแง่ร้าย ปัจจุบันได้แต่ฝากความหวังว่าพรุ่งนี้จะฟ้าโปร่งหมื่นลี้ สร้างความได้เปรียบให้การมองเห็นน่าเศร้านี้บ้าง
เป็นอย่างที่จี้หยวนคาดจริงๆ ในภูเขาฟ้ามืดเร็วมาก ไม่นานก็ดูอึมครึม ใกล้ค่ำแล้วเขาขลาดกลัวอยู่บ้าง ไม่กล้านั่งหน้าโต๊ะบูชาเหมือนกลางวัน ขยับมาอยู่ด้านหลังรูปปั้นเทพเหมือนเดิม
จิ้งจอกแดงที่เดิมหลบฝนในอารามไม่รู้ว่าจากไปเมื่อไหร่
ความรู้สึกของจี้หยวนตอนนี้ว้าวุ่นกว่าวันก่อนเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็อยู่คนเดียวแล้ว เมื่อคืนเพิ่งหลอกภูตเสือร้ายไป น่าจะไม่ถึงขั้นตอบสนองกลับมาในวันเดียวกระมัง
ขณะงีบหลับ จี้หยวนถูกเสียงเอะอะระลอกใหม่รบกวนเวลานอน ฟ้ายังไม่มืด บนทางเขาที่ห่างไกลมีเสียงคนบางส่วนดังมา
จี้หยวนกระปรี้กระเปร่าทันที ลุกขึ้นนั่งบนกองหญ้าหลังรูปปั้นเทพภูเขา เงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหว
‘คงไม่กระมัง บังเอิญเช่นนี้เชียว อารามร้างนี้ไม่ใช่ศูนย์กลางคมนาคมอะไร จะมีคนมาทุกวันด้วยหรือ ไม่ใช่ผีชางกระมัง ไม่หรอกๆๆ มีเสียงฝีเท้า อย่าทำตัวเองขวัญเสียสิ!’
บนทางเขาซึ่งห่างไกล กลุ่มคนเก้าคนกำลังเดินบนทางเขา ฝีเท้าส่วนใหญ่ค่อนข้างว่องไว
ภายในนั้นมีทั้งชายหญิง ส่วนใหญ่ดูหนุ่มสาว ทั้งในมือคนส่วนมากล้วนถืออาวุธ มีดาบกระบี่เป็นหลัก ทั้งมีคนถือกระบองยาวปลายหุ้มเหล็ก ตรงกลางยังมีสองคนแบกกระสอบใบใหญ่ ไม่รู้ว่าข้างในบรรจุอะไร
แต่ภายนอกคนพวกนี้ดูน่าอนาถอยู่บ้าง ด้วยไม่ได้พกเครื่องกันฝน ต่อให้หาสถานที่หลบฝนทันเวลาก็ถูกฝนสาดจนตัวเปียกแล้ว
ผู้เดินอยู่ข้างหน้าชื่อเยี่ยนเฟย เป็นชายหนุ่มถือกระบี่ประดับพู่คนหนึ่ง สูงหนึ่งหมี่แปดสิบร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวชี้ส่องประกายดูหลักแหลม
เขามองมาข้างหน้า ชี้ออกไปไกลพลางกล่าวกับพวกพ้อง
“ข้างหน้าคืออารามเทพภูเขา พวกเรารีบไปพักที่นั่น ผิงไฟสั่งสมพลังกัน!”
“ได้ ทุกคนเดินเร็วหน่อย ทางเขาหลังฝนตกเดินแล้วเปลืองแรงนัก!”
หญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดรัดรูปคลุมข้อมือข้อเท้าทั้งพาดผ้าคลุมไหล่ ตอนนี้กลับเปียกชุ่มจนเสื้อแนบตัว เดินไปไม่กี่ก้าวก็สะบัดโคลนติดรองเท้าอย่างแรงคราหนึ่ง
“พวกเราถึงกับไม่มีใครคิดจะพกเครื่องกันฝน ช่างน่าขันเกินไปแล้ว”
หญิงสาวเร่งฝีเท้าพลางกล่าวเย้ยตัวเองอย่างหงุดหงิด
ชายฉกรรจ์แบกกระบองยาวหุ้มเหล็กคนนั้นหัวเราะ
“หึๆ ศิษย์น้องลั่ว อากาศบนเขานี้แปรปรวน ก่อนขึ้นเขาดวงตะวันยังอยู่สูงชัดๆ ใครจะคาดคิดเล่า”
“หัวเราะอะไร เจ้าก็ตัวเปียกเป็นไก่ตกน้ำแกงไม่ใช่หรือ!”
“พอแล้ว อย่าทะเลาะกันเลย พวกเราไม่ได้มาเล่นสนุก ทุกคนเข้าอารามเตรียมความเรียบร้อย!”
แม้ว่าพื้นดินเปื้อนโคลน ยามคนพวกนี้เดินแล้วโคลงเคลงอยู่บ้าง แต่จี้หยวนจำต้องยอมรับว่าฝีเท้าของพวกเขาถือว่าเร็วมาก ไม่นานก็เดินมาถึงหน้าอารามเทพภูเขา
อารามร้างหลังเล็กซอมซ่อ ป่าเขาโดยรอบแทรกสลับต้นไม้แห้งเหี่ยว ถูกหินผาเงาไม้บดบังเส้นแสง กอปรกับยามนี้เป็นเวลาพลบค่ำ ทำให้บริเวณนี้ดูมืดครึ้มน่ากลัว
กา… กา…
เสียงอีกาดังบนต้นไม้แห้งเหี่ยวหลังอารามเทพภูเขา ดูเหมาะกับสถานการณ์ยิ่ง
ฝีเท้าซึ่งเดิมว่องไวของทั้งเก้าคนล้วนชะลอลงโดยไม่รู้ตัว แม้แต่เสียงพูดยังเบาลงไม่น้อย
แม้ว่าอารามเทพภูเขาจะซอมซ่อ แต่นอกจากขาดประตูทางเข้าแล้ว ยังนับว่าสามารถกันลมกันฝนได้ เยี่ยนเฟยเดินมาถึงข้างชายคาอาราม กวาดมองเข้าไปแล้วเห็นกองถ่านและฟืนซึ่งยังเผาไม่หมดที่พวกพ่อค้าเร่เหลือไว้หลังก่อไฟก่อนหน้านี้ เขาเป่าปากโล่งอกอยู่ในใจเล็กน้อย
“คนเมืองสุ่ยเซียนกล่าวไม่ผิด ที่นี่น่าจะมีคนมาพักบ่อยจริงๆ แต่ทุกคนยังต้องระวังตัวหน่อย”
ภายในอารามจี้หยวนรู้สึกแปลกกับการตอบสนองของคนกลุ่มนี้อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ยามบ่นระหว่างทางยังส่งเสียงดังมาก ตอนนี้กลับระวังตัวขึ้นมา
แต่เขาหัวเราะไม่ออกจริงๆ ตอนไม่มีคนเขาเฝ้ารอคนมา พอคนมาจริงเขากลับกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกเหี้ยมโหดป่าเถื่อน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีความสามารถป้องกันตัวอะไร
คนส่วนหนึ่งเดินวนนอกอารามเทพภูเขาแล้วจึงเข้ามาข้างใน
เยี่ยนเฟยเดินเข้ามาในอารามก่อน คนอื่นตามหลังเขามาติดๆ
พวกเขาเหลือบมองกองไฟและฟืนแห้งหลายครั้ง ย่องเข้าใกล้รูปปั้นเทพภูเขาช้าๆ ทยอยมองยอดรูปปั้นเทพภูเขาและบางมุม แต่แน่นอนว่าจุดสนใจหลักคือด้านหลังรูปปั้นเทพภูเขา
ผู้พบจี้หยวนก่อนยังเป็นเยี่ยนเฟย ถึงอย่างไรก็อยู่ข้างหน้าสุด เขาเดินมาถึงข้างกองไฟเดิมแล้วสำรวจ จากนั้นค่อยเงยหน้ามองด้านหลังรูปปั้นเทพภูเขาแล้วเห็นจี้หยวนที่นั่งพิงอยู่ตรงนั้น
“ขอทานคนหนึ่งหรือ”
คนอื่นล้วนเดินมาเช่นกัน พอจะเห็นท่าทางจี้หยวนชัดเจน
“เฮ้ย เจ้าขอทาน ที่นี่มีเจ้าคนเดียวหรือ”
ชายถือกระบองยาวคนนั้นตวาดจี้หยวนประโยคหนึ่ง เสียงตะโกนแหกปากนี้ทำเอาจี้หยวนคันหูไปหมด ยื่นนิ้วก้อยเกาหูซ้ายตามจิตใต้สำนึก
ลมหายใจของคนกลุ่มนี้ทั้งมีพลังและยาวกว่าพ่อค้าเร่พวกนั้น สัญชาตญาณบอกจี้หยวนว่าคนพวกนี้น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา เขาเองไม่กล้าบีบคนกลุ่มนี้ซึ่งหน้านัก ทำตัวเชื่องเชื่อถามอะไรตอบอย่างนั้นดีกว่า
“ใช่แล้ว ก่อนพวกเจ้ามาก็มีข้าคนเดียว”
เดิมจี้หยวนอยากล้อสักประโยคว่า ‘หรือพวกเจ้าไม่ใช่คน’ แต่พอนึกถึงว่านี่ไม่ใช่การคุยผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้งไม่ใช่โลกที่ตนคุ้นเคย พูดตามใจปากระวังถูกต่อย
ศิษย์น้องลั่วในคนกลุ่มนั้นมองสภาพน่าอนาถเสื้อผ้าเก่าขาดเกินทนของจี้หยวนแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ในภูเขานี้มีเสือร้ายกินคน เจ้าถึงกับกล้ามาบนเขาคนเดียวหรือ”
แม้ว่าคำถามนี้อาจมีปัจจัยสำคัญจากความสงสัย แต่จี้หยวนยังหวังว่าพวกเขาจะพาตนลงเขาด้วย อย่างน้อยก็ต้องลองดูหน่อย จึงตอบอย่างสิ้นหวังแบบจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง
“ช่วยไม่ได้ ดวงตาข้าใช้การไม่ได้นัก คนพาข้ามาจากไปแล้ว ต่อให้รู้ว่าบนเขามีเสือ ไม่มีใครช่วยก็ยากลงเขาคนเดียว”
ความเห็นใจ ต้องได้รับความเห็นใจแน่!
เวลานี้ชายหนุ่มดวงตาเรียวชี้คนนั้นแสดงสัญญาณมือบอกทุกคน ชี้จี้หยวนจากนั้นค่อยชี้ดวงตาตัวเอง ทุกคนมองดวงตาทั้งสองของขอทานคนนี้อย่างละเอียดตามจิตใต้สำนึก พบว่าดวงตาที่เปิดอยู่ของขอทานคนนี้แม้จะโปร่งแสง แต่ดวงตากลับเป็นสีเทาอ่อน
มีคนกดคอต่ำเอ่ยเสียงเบา “เป็นคนตาบอด…”
แน่นอนว่าเสียงแผ่วเบานี้หนีไม่พ้นหูจี้หยวน จี้หยวนคิดมองโลกแง่ดี พูดเสียงเบาด้วยห่วงความรู้สึกตน ดูท่าว่าอย่างน้อยคนผู้นี้คงไม่ถือว่าจิตใจเลวร้ายเกินไป
ความคาดหวังว่าจะได้จากไปของจี้หยวนจึงเพิ่มขึ้นมาหน่อย
กลางฝูงชนชายร่างกำยำถือกระบองยาวคนนั้นมองศิษย์น้องลั่วและคนอื่นเล็กน้อย จากนั้นเขาค่อยกล่าว
“เจอพวกเราถือว่าเจ้าโชคดี รอพวกเราจัดการเสือกินคนตัวนั้นแล้วจะพาเจ้าลงเขาไปด้วยกัน!”
จี้หยวนซึ่งเดิมเพิ่งรู้สึกยินดี พอฟังประโยคหลังแล้วใจพลันกระตุก
คิดฆ่าเสือ เสือตัวไหน คงไม่ใช่เจ้าภูเขาลู่กระมัง
“เอ่อ พวกเจ้าขึ้นเขามาทำอะไรหรือ”
จี้หยวนถามพวกเขาประโยคหนึ่งอย่างกระวนกระวายอยู่บ้าง
ผู้ตอบยังเป็นชายถือกระบองที่เสียงดังเป็นพิเศษคนนั้น
“ฮ่าๆๆๆๆ… พวกเราได้ยินว่าภูเขาแถบนี้มีเสือร้ายกินคนอาละวาด ทางการไม่อาจกำจัดมันได้นานแล้ว พวกเรามาพร้อมความยึดมั่นที่ต้องการผดุงคุณธรรมเต็มเปี่ยม รับภารกิจจากกระดานที่ว่าการอำเภอหนิงอัน มุ่งหน้ามาเมืองสุ่ยเซียนเพื่อกำจัดภัยให้ปวงชน!”
“เป็นเช่นนั้น!”
“ไม่ผิด!”
ชายหญิงโดยรอบพยักหน้ากล่าวเสริม แสดงความผดุงคุณธรรมต่อหน้าจี้หยวนอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
จี้หยวนอึ้งงันพักหนึ่ง ความคิดที่กระโดดออกมาจากสมองตามจิตใต้สำนึกก็คือ ‘คนกลุ่มนี้มาหาที่ตาย!’