เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 141 ตระกูลเว่ยขอมีบุตรชาย
ตอนที่ 141 ตระกูลเว่ยขอมีบุตรชาย
แม้ศาลหลักเมืองจะโอ่โถง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นศาลหนึ่งในตรอกศาลเจ้า ครองที่ดินจำกัด กระนั้นพื้นที่ของศาลมืดกลับไม่น้อยจริงๆ
ความจริงแล้วภายในศาลมืดนอกจากกรมยี่สิบสี่กรมมีการจัดการและกฎเกณฑ์เป็นของตัวเองแล้ว ยังมีคุกที่แบ่งเขตเอาไว้ รวมถึงมีที่อยู่สำหรับคนตายด้วย
คดีรักมหัศจรรย์เช่นนี้นับว่ามีในศาลมืดน้อยนัก หลังจากเทพหลักเมืองให้คำตัดสิน เจ้าที่และจี้หยวนร่วมกับผู้พิพากษาทั้งสองส่งแม่นางกวางขาวไปยังที่พักชั่วคราวของโจวเนี่ยนเซิง
เรือนหยินไม่ใช่สถานที่พักที่ศาลมืดจัดหาให้ แต่มีตามหลุมศพของผู้ตายและข้าวของที่ครอบครัวเผาให้ คนกระดาษ เงินกระดาษ ขนาดของหลุมศพ และระดับความสมบูรณ์แบบจะส่งผลต่อผู้ตายในศาลมืด อีกทั้งเรือนหยินเชื่อมโยงกับหลุมศพและตำแหน่งตั้งป้ายชื่อในบ้านในระดับที่แน่นอน ได้รับการกราบไหว้จากคนรุ่นหลัง
ตอนนี้ศพของโจวเนี่ยนเซิงยังไม่ถูกฝัง ย่อมไม่มีเรือนหยิน จึงถูกจัดให้อยู่ในโถงของกรมปูนบำเหน็จในศาลมืด
เมื่อสองสามีภรรยาพบหน้า ภาพอันน่าซาบซึ้งทำให้มือปราบผีและเจ้าหน้าที่ไม่น้อยเข้ามามุงดู ก่อนจะให้ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินโทษจากเทพหลักเมือง เป็นอันกำหนดจุดจบของเรื่องนี้แล้ว อาจพูดไม่ได้ว่ามีความสุขถ้วนหน้า แต่อย่างน้อยก็ได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง
จี้หยวนและเจ้าที่ออกจากศาลมืดด้วยกัน ข้างกายมีกวางขาวที่คล้ายกับนอนหลับสนิทตัวหนึ่งลอยอยู่
ตอนนี้มองไปทางตะวันออก ขอบฟ้าพลิกเปลี่ยนเป็นสีขาวท้องปลา ใกล้อรุณรุ่งแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปในศาลมืดราวกับความฝัน
“จะเป็นผีสางเทวดาได้ อย่างไรเสียต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมดาสูงส่ง ข้ากับเทพหลักเมืองจังหวัดจิงจีทำหน้าที่มาเกือบสองร้อยปีก็เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งนี้แหละ!”
เจ้าที่และจี้หยวนเดินอยู่บนถนนจังหวัดจิงจีที่เงียบเชียบและมืดสนิทก่อนเวลาฟ้าสาง ปากพูดวาจาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก
จี้หยวนก็ยิ้มเช่นกัน
“ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงมีคำกล่าวว่า ‘มีคุณธรรมมาก ผีสางเทวดาย่อมยกย่อง’ ไม่ใช่เพราะผีสางเทวดาก็มีคุณธรรมมากเช่นเดียวกันหรือ!”
“ฮ่าๆๆ…ท่านจี้พูดมีเหตุผล”
ผ่านเรื่องนี้มาด้วยกัน ความสัมพันธ์ของจี้หยวนและเจ้าที่แน่นแฟ้นขึ้นมาก โดยเฉพาะตอนที่ทั้งสองคนพูดส่งเสริมกันอยู่ในศาลมืด นับว่ามีไมตรีต่อกัน พูดคุยกันแล้วจึงไม่เหินห่างอีก
พอเดินไปถึงศาลเจ้าที่ ข้างในมีเสียงแผ่วเบาดังมา เห็นทีผู้มีศรัทธาและคนงานในศาลเจ้าเตรียมจะตื่นนอนแล้ว
ในเมืองมีเสียงไก่ขันดังอยู่ทั่วไป
จี้หยวนประสานมือกล่าวขอบคุณเจ้าที่อีกครั้ง
“วันนี้ขอบคุณท่านเจ้าที่ที่ช่วยเหลือ กายเนื้อของกวางขาวนี้ขอฝากท่านเจ้าที่ดูแลแทนข้า ให้ไป๋รั่วกำหนดวันกลับเข้ากายเนื้ออย่างสม่ำเสมอ กายเนื้อของนางจะได้ไม่เน่าเปื่อยเสียหาย”
เจ้าที่ใช้ไม้เท้าหวายเคาะพื้นดินครั้งหนึ่ง กายเนื้อของกวางขาวจมลงสู่พื้นดินและหายไปเอง จากนั้นค่อยคารวะจี้หยวนคืน
“ท่านจี้ไม่ต้องกังวล ข้าไม่มีทางตัดรากฐานมรรคของลูกศิษย์ท่าน สตรีเช่นไป๋รั่วสมควรได้รับมรรค เป็นผู้คุ้มครองมรรคสักช่วงหนึ่งก็เป็นงานที่น่าสนใจดี!”
นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันแล้วก่อนหน้านี้ในศาลมืด จี้หยวนพากวางขาวตัวหนึ่งเดินทางทั่วจังหวัดจิงจีเช่นนี้ไม่สะดวก จะไว้ที่ศาลมืดยิ่งไม่เหมาะสม สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดก็คือจวนของเจ้าที่ อีกทั้งได้รับการดูแลจากเจ้าที่ด้วย
ในสายตาของเจ้าที่ แม้กวางเซียนจะเป็นพาหนะของจี้หยวน แต่ก็นับได้ว่าเป็นลูกศิษย์อยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนเรื่องที่จี้หยวนทำเพื่อกวางขาวนั้นถือเป็นความรับผิดชอบของอาจารย์ จึงใช้คำว่า ‘ลูกศิษย์’ เรียกแทนกวางขาวต่อหน้าจี้หยวน
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จี้หยวนขอตัวลา!”
“ท่านจี้ไปดีมาดี ยินดีต้อนรับท่านมาคุยเล่นกับข้าทุกเมื่อ!”
ทั้งสองคนบอกลากัน ถึงจะไม่เรียกกันว่าสหาย แต่กลับกลายเป็นสหายแล้วจริงๆ พวกเขาจึงอารมณ์ดีไม่น้อย
มองส่งจี้หยวนผู้พกกระบี่เดินจากไปอย่างสง่างาม กระบี่เซียนเล่มนั้นเคลื่อนไหวราวกับหันมามองตนเองอยู่ตลอด เจ้าที่พลันยิ้มให้ครั้งหนึ่ง
“ท่านจี้ผู้นี้พบพาหนะแล้วแท้ๆ แต่กลับยังต้องเดินเท้า เมื่อได้เป็นอาจารย์หรือเจ้านายแล้วยิ่งเหมือนบิดามากกว่า น่าสนใจจริงๆ กวางน้อยอย่างเจ้าช่างวาสนาดีเหลือเกิน!”
ประโยคสุดท้ายเขาบ่นพึมพำกับพื้นดินที่ดูดกวางขาวลงไปเมื่อครู่ จากนั้นเงาร่างของเจ้าที่ก็หายไปจากตรงหน้าศาลเจ้าที่
…
จัดการเรื่องของกวางขาวได้ขนาดนี้แล้วไม่เกิดข้อพิพาทอะไร จี้หยวนรู้สึกว่าถึงขีดจำกัดแล้ว อีกทั้งได้กลายเป็นสหายของเจ้าที่จังหวัดจิงจีก็เป็นความน่ายินดีที่น่าเหลือเชื่อ
ส่วนสิ่งที่จี้หยวนได้รับจริงๆ กลับเป็นหมากขาวอันเป็นตัวแทนของกวางขาว เป็นหมากซึ่งเกิดจากปราณหยินที่เข้มข้นของศาลมืด แต่ยามเปลี่ยนเป็นตัวหมากกลับมีสีขาวเสียอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะความรักของสองสามีภรรยาหรือตัวกวางขาวเอง
ขณะเดินอยู่บนถนนใหญ่ที่มีชื่อว่าสันตินิรันดร์ ความคิดของจี้หยวนล่องลอยกลายเป็นตัวหมาก
ตอนนั้นเขาไม่ได้กำชับแม่นางกวางขาวสักเท่าไร พอเห็นนางพบหน้าและกอดกับสามีแล้ว ก็ตัดสินใจจากมากับเจ้าที่
ทว่าหลังจากจี้หยวนและเจ้าที่ออกจากศาลมืดแล้ว จู่ๆ หมากขาวในมือกลับเปลี่ยนรูปร่าง มองทะลุหมากขาวเข้าไปมองเห็นแม่นางกวางขาวคุกเข่ากลางศาลมืด กล่าวสาบานกับแผ่นป้ายหยกสลักอักษรในมือว่า ‘บุญคุณของเจ้านาย ไป๋รั่วจะไม่ลืมตลอดชีวิต!’
แผ่นป้ายหยกนั้นจี้หยวนให้นางยืม ความจริงแล้วเป็นสิ่งของของมังกรเฒ่า นับเป็นวิชาฝึกปีศาจที่พิเศษ จี้หยวนยืมมาศึกษาอย่างละเอียด ไม่คิดเลยว่าจะมีประโยชน์ขนาดนี้
มังกรเฒ่าอาศัยความคิดและความตั้งใจของตัวเองในการจำลองเคล็ดวิชาฝึกตนของสัตว์เซียนในจวนเซียน แม้ไม่นับว่าเป็นมรรคเซียนของแท้ ทว่ากลับใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง ส่วนจี้หยวนใช้วิชาวัตถุสื่อจิตที่เพิ่งเรียนรู้ใหม่เป็นการเสริมเติมแต่ง
การมองเห็นของจี้หยวนยามเบิกตาทั้งสองข้างแม่นยำมาก อีกทั้งมีประสบการณ์สำแดงหมากถึงสามปี หากให้เขาคิดค้นวิชาฝึกเผ่าปีศาจโดยเริ่มจากศูนย์เป็นความยากลำบากเหลือแสน แต่ปรับรายละเอียดจากพื้นฐานที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ของมังกรเฒ่า เมื่อรวมเข้ากับวิถีของแม่นางกวางขาวที่เปลี่ยนร่างแล้วจึงไม่ได้ยากขนาดนั้น อีกทั้งรวมกับการเคาะใจให้บุตรีมังกรและเนื้อหาจำนวนหนึ่งใน ‘บันทึกสมบัติคุณธรรม’
อาจพูดไม่ได้ว่ามีปราณเซียนเต็มเปี่ยมกว่าวิชาฝึกสัตว์เซียนดั้งเดิมของจวนเซียน แต่อย่างน้อยกล้าพูดว่ามรรควิถีก้าวหน้ามั่นคง เขาเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้แม่นางกวางขาวยืมฝึกฝน นางจะได้ไม่ต้องฝึกวิชาปีศาจนั้นด้วยตัวเอง ทำให้ขัดแย้งกับฐานะกวางเซียนจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่
แน่นอนว่าบริเวณสื่อจิตในหยกก็มีความปรารถนาของจี้หยวนเช่นกัน หวังว่ากวางขาวจะได้มรรค
ส่วนในศาลมืด ความเข้าใจของไป๋ลู่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ท่านจี้ให้ยืมหยกและถ่ายทอดวิชา ทั้งเป็นโอกาสของนางและเป็นบททดสอบ นางหวังว่าตนเองจะผ่านไปได้ ไม่กล้าหวังว่าจะกลายเป็นลูกศิษย์ของท่านจี้อย่างแท้จริง แต่กลับเทิดทูนเขาเป็นเจ้านายด้วยหัวใจ
แม้เผ่าปีศาจส่วนใหญ่จะอิจฉาวาสนาของสัตว์เซียน ทว่ามีความขัดแย้งอย่างมากกับเรื่องนี้ คิดว่าสัตว์เซียนสูญเสียอิสระและกลายเป็นข้าทาสบริวาร ถึงส่วนใหญ่มีสติปัญญาชนิดไม่ได้กินองุ่น กลับเที่ยวบอกว่าองุ่นเปรี้ยว แต่ก็แสดงถึงมุมมองหลักของปีศาจ กระนั้นกวางขาวในตอนนี้ไม่มีทางมีความคิดเช่นนั้นแล้ว
…
จังหวัดเต๋อเซิ่งในรัฐจีเวลานี้ จวนตระกูลเว่ยที่ยิ่งใหญ่กลับร้อนใจกันถ้วนทั่ว
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เหล่าข้ารับใช้ที่เรือนหลังจวนตระกูลโจวต่างก็มีสีหน้ารีบร้อน
ครืน
ท้องฟ้ามืดครึ้มพลันมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ข้ารับใช้ที่กำลังถือถังน้ำร้อนหลายคนตกใจจนเกือบหกล้ม
“เร็วหน่อยๆ ห้องคลอดยังต้องใช้นะ!”
มีคำเร่งเร้าจากพ่อบ้าน ข้ารับใช้รีบยกถังเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เมื่อผ่านประตูลานหลังแล้ว เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดก็ดังมา
“อ๊า…อึก…”
“ฮูหยินออกแรงอีก เพิ่มแรงอีก!!”
“ไม่ได้…ข้าไม่มีแรงแล้ว…อ๊า…”
“ฮูหยิน! ได้โปรดฮูหยิน ท่านออกแรงอีกนิด…”
เสียงหมอตำแยในห้องคลอดเจือความตระหนก บุรุษตระกูลเว่ยหลายคนเงียบเชียบอยู่นอกห้อง เว่ยอู๋เว่ยกำหมัดแน่นพลางเดินเวียนไปมาทั้งซ้ายขวา ก่อนจะปล่อยหมัดใส่ต้นไม้กลางลานดังตึงเพราะทนไม่ไหว ทำเอาบนลำต้นหลงเหลือรอยกำปั้นลึก จากนั้นกลับไปรอคอยด้วยความร้อนใจตรงทางเดินข้างนอกห้องอีกครั้ง
ประตูห้องคลอดเปิดออก สาวใช้นางหนึ่งยกน้ำเลือดใส่กะละมังออกมาเทในลานพร้อมใบหน้าซีดขาว แล้วยกถังน้ำร้อนที่ถูกส่งมาใหม่กลับเข้าไปในห้อง
เห็นน้ำสีเลือดกะละมังนี้แล้ว เว่ยอู๋เว่ยยิ่งหน้าดำคร่ำเคร่งกว่าเดิม
ไม่มีเสียงร้องเจ็บปวดของสตรีดังมาจากในห้องครู่หนึ่งแล้ว…
ตอนนี้ประตูห้องคลอดเปิดออกอีกครั้ง หมอตำแยอายุประมาณห้าสิบหกสิบปีคนหนึ่งเดินหน้าซีดออกมา พบกับสายตากระสับกระส่ายของเว่ยอู๋เว่ย
“นายท่านเว่ย…ฮูหยินหมดสติไปแล้ว…ท่านต้องการเก็บแม่หรือลูกไว้”
หมอตำแยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฝ่ายเว่ยอู๋เว่ยถลึงตาน่ากลัว
“เจ้าว่าอะไรนะ!?”
“นะ นายท่านเว่ย…ท่านอย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลย…หากยังไม่ตัดสินใจจะไม่ทันกาลแล้วนะเจ้าคะ…”
มืออวบข้างหนึ่งของเว่ยอู๋เว่ยยกหมอตำแยขึ้น ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนผีร้าย เขาตะโกนขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าผ่า
“เก็บไว้ทั้งคู่ หากใครเป็นอะไรข้าจะฝังเจ้าลงไปด้วย ได้ยินหรือไม่ เก็บไว้ทั้งคู่!”
หมอตำแยตกใจกลัวจนตัวแข็งทื่อ พูดไม่ออก
“นี่! นางคนไม่มีประโยชน์ เข้าไปกับข้า!”
เว่ยอู๋เว่ยไม่สนอะไรมากแล้ว ลากตัวหมอตำแยเข้าไปในห้องคลอดโดยตรง
“นายท่าน! เข้าห้องคลอดไม่ได้นะขอรับ!”
“นายท่าน!”
ผู้คุ้มกันสองคนขวางอยู่ข้างหน้า ทว่าเว่ยอู๋เว่ยพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจพวกเขา
“ไสหัวไป ตอนนี้ยังจะสนใจว่าเป็นห้องอัปมงคลหรือไม่อีกหรือ ข้าจะไปเป็นกำลังใจให้ฮูหยิน!”
ผู้อาวุโสสองคนข้างเว่ยอู๋เว่ยอ้าปากแต่พูดโน้มน้าวไม่ออก จึงปล่อยให้เขาเข้าห้องคลอดไป
ซ่า…
หนึ่งเค่อให้หลัง ฝนห่าใหญ่เทลงมาแล้ว ภายในห้องคลอดมีเสียงร้องอุแว้ๆ ดังมาเช่นกัน
เว่ยอู๋เว่ยอยู่เคียงข้างภรรยา ตัวเปียกโชกและถอนใจโล่งอกไม่ต่างกัน หมอตำแยผู้ทำคลอดยิ่งกราบไหว้ทางประตูห้อง สาวใช้ข้างๆ ก็โล่งออกเหมือนกัน
“ยินดีกับนายท่านเว่ย ฮูหยินให้กำเนิดบุตรชายเจ้าค่ะ!”
“คนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!”
เว่ยอู๋เว่ยถอนหายใจเล็กน้อย บวกกับเดิมทีอยู่ร่วมกับภรรยาและอนุมาได้สามปี เขามีบุตรีทั้งหมดหกคน คราวนี้ในที่สุดภรรยาเอกให้เกิดเนิดบุตรชายได้แล้ว ทว่าต้องเห็นภรรยาเดินไปถึงประตูแห่งความตายครั้งหนึ่ง กลับรู้สึกว่าจะให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรีก็ไม่สำคัญทั้งนั้น