เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 142 บางคนสดใส บางคนโศกเศร้า
ตอนที่ 142 บางคนสดใส บางคนโศกเศร้า
พี่เลี้ยงจะรับหน้าที่ดูแลลูกแทนหลังจากนี้ ภรรยาเอกของเว่ยอู๋เว่ยย่อมมีหมอตรวจอาการและให้ข้ารับใช้เอาใจใส่ดูแล
เมื่อฟ้าสว่างเต็มที่ จวนตระวูลเว่ยที่แต่เดิมวุ่นวายไปหมดเปลี่ยนเป็นอยู่ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น แม้แต่เรือนบรรพบุรุษตระกูลเว่ยทางนั้นก็จุดประทัดเช่นกัน
ผู้นำตระกูลได้บุตรชายถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างยิ่งยวดในยุคสมัยที่มีแนวคิดปิตาธิปไตยเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพ้องและสมาชิกระดับสูงของครอบครัวรู้ว่ามีความหมายลึกซึ้งอยู่ในนั้น
ยามเช้ามาเยือนแล้ว เว่ยอู๋เว่ยรีบไปพบปู่ที่เรือนบรรพบุรุษ
เรือนบรรพบุรุษเล็กกว่าเรือนในปัจจุบันของเว่ยอู๋เว่ยมาก ท่านปู่ชอบความเงียบสงบ ข้างในนั้นปลูกดอกไม้ต้นไม้ไว้จำนวนมาก มีบ่อปลาด้วย
ข้ารับใช้ข้างๆ ช่วยเขาเทชาอ่อน และเตรียมขนม รวมถึงอาหารหลายชนิดไว้เรียบร้อยแล้ว
ไม่นานนักข้างนอกก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมา ฟังจากน้ำหนักแล้วก็รู้ว่าเว่ยอู๋เว่ยมาแล้ว
“ฮ่าๆ ในที่สุดก็ได้ลูกชายแล้วหรือ”
“เฮอะๆ ผู้อาวุโสรู้แล้ว!”
เว่ยอู๋เว่ยเข้าประตูไปแล้วผ่อนฝีเท้าลงมาก ก่อนจะโบกมือให้ข้ารับใช้ถอยออกไป แล้วปรนนิบัติท่านปู่ดื่มชาด้วยตนเอง
“ไอ้หยา ผู้นำตระกูลอย่างเจ้ามาปรนนิบัติตาแก่อย่างข้าได้อย่างไร ไม่ดีๆ!”
ท่านปู่ล้อเล่นประโยคหนึ่ง เว่ยอู๋เว่ยหน้าหนาทำเป็นไม่ได้ยิน อย่างไรเสียเขามีธุระจริงๆ ถึงมา หากไม่มีธุระก็ไม่เคยมาถึงที่นี่
“ท่านปู่ ไม่ใช่ว่าข้าว่าท่านนะ แต่ท่านทำเรือนบรรพบุรุษนี้จนรกเหมือนอยู่ในป่า ยุงเยอะเกินไปแล้ว”
“เด็กคนนี้นี่ ตอนเด็กๆ เจ้าก็เล่นสนุกอยู่ที่นี่ ตอนนี้รังเกียจที่ยุงเยอะเสียอย่างนั้น?”
เว่ยอู๋เว่ยหัวเราะกลบเกลื่อนสองเสียง แล้วส่งจอกชาให้ท่านปู่อย่างระมัดระวัง ฝ่ายหลังรับไว้ด้วยมือข้างเดียว ทว่าผิวน้ำของจอกน้ำชากลับไม่กระเพื่อมเลยสักนิด
ท่านปู่ไม่เจ็บไม่ป่วย ฝึกวรยุทธ์มาหลายสิบปี ถึงแม้ตอนนี้อายุมากแล้ว ร่างกายก็ยังคงแข็งแรง
เมื่อดื่มชาอ่อนจนชุ่มคอแล้ว ใบหน้าชราที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของท่านปู่พับย่นเหมือนดอกเก๊กฮวยแก่เพราะรอยยิ้ม
“ไม่ใช่เจ้าคิดไปจวนเซียนตั้งแต่ลูกยังไม่ครบขวบปีกระมัง”
“ดูท่านพูดเข้าสิ ทำเช่นนั้นได้ที่ไหน! หากระงับปราณไม่ได้ ลูกสาวข้าพวกนั้นก็ไปได้เหมือนกัน ข้ามาเพื่อให้ท่านช่วยตั้งชื่อลูกต่างหาก!”
เว่ยอู๋เว่ยยิ้ม หยิบขนมบนโต๊ะใส่ปากโดยไม่สนใจอะไร
ความจริงแล้วเด็กทั่วไปจนเดินได้แล้วยังคงมีเพียงชื่อเล่น ทว่าตระกูลเว่ยตั้งชื่อให้ตั้งแต่คลอดออกมาแล้วเสมอ
นี่นับเป็นเรื่องใหญ่ ท่านปู่ดื่มชาแล้วครุ่นคิดอย่างตั้งใจ
“น่าเสียดาย หากท่านจี้แห่งอำเภอหนิงอันผู้นั้นยังอยู่ ไปขอให้เขาตั้งชื่อให้คงจะดีเป็นอย่างยิ่ง”
เรื่องของจี้หยวนชายชราตระกูลเว่ยย่อมรู้เช่นกัน แต่คนที่เป็นเหมือนเทพเซียนพรรค์นั้นคนธรรมดาคาดเดาเรื่อยเปื่อยไม่ได้
“เอาอย่างนี้แล้วกัน การเกิดของเด็กคนนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของตระกูลเว่ย เรียกเขาว่าเว่ยหยวนเซิงเป็นอย่างไร”
เว่ยอู๋เว่ยพึมพำอยู่สองรอบ รู้สึกว่าชื่อนี้พิเศษทีเดียว จึงรีบเยินยอท่านปู่สักหนึ่งยก
“ท่านปู่สุดยอดจริงๆ ให้ท่านตั้งชื่อเหมาะสมแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตข้าไม่เคยกลัวอะไร ชื่อนี้ของลูกชายข้าดียิ่งกว่า วาสนาต้องดีเยี่ยมแน่นอน!”
ปู่หัวเราะร่าเพราะคำชมของเว่ยอู๋เว่ย
“ก็เจ้าขี้ขลาดที่สุด อู๋เว่ยเอ๋ย…การตั้งชื่อนี้ให้เจ้าทำข้าเสียดายไม่รู้กี่รอบแล้ว!”
…
ตระกูลเว่ยมีอำนาจและมีเงินมาก ธุรกิจการค้ากระจายอยู่ทั่วทุกสารทิศ ในจังหวัดเต๋อเซิ่งมีตระกูลที่พอจะเทียบเคียงได้น้อยมาก บวกกับผูกไมตรีกับกลุ่มอิทธิพลในยุทธภพและขุนนางในราชสำนักอย่างสุดความสามารถ บุตรของพวกเขาต้องได้สุราอวยพรครบเดือน ระหว่างเตรียมงานเลี้ยง ข้ารับใช้ที่ต้องส่งเทียบเชิญวิ่งออกไปเป็นกอง
ตั้งแต่นายน้อยตระกูลเว่ยเกิดมา ล้วนมีคนจูงม้าของตระกูลเว่ยออกจากคอกไปข้างนอกทุกวัน ผ่านไปสักครู่หนึ่งแล้วถึงวิ่งฝุ่นตลบกลับมา
ตระกูลสูงศักดิ์และกลุ่มอิทธิพลในยุทธภพที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเว่ยได้รับเทียบเชิญปักด้ายทองแล้ว เพื่อไม่ให้ชนกับเทศกาลตรุษจีนที่สำคัญที่สุดในหนึ่งปี ตระกูลเว่ยจึงจงใจจัดงานเลี้ยงครบเดือนของนายน้อยเป็นวันที่ยี่สิบหกเดือนสิบสอง
ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังติดกับวันก่อนปีใหม่ ทั่วไปแล้วนอกจากจังหวัดเต๋อเซิ่งและบริเวณใกล้เคียง ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงอื่นอาจจะส่งตัวแทนสองคนมาเข้าร่วมด้วยเท่านั้น
ยิ่งใกล้เวลามากเท่าไร กลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิยิ่งเข้มข้นขึ้น ขณะที่จังหวัดเต๋อเซิ่งเจอหิมะตกหนักติดต่อกันสองครั้งจนทุกที่ขาวโพลนไปหมด ก็ทำให้ภายในและภายนอกจวนตระกูลเว่ยที่ประดับโคมหลากสียิ่งสดใสสวยงามอย่างเห็นได้ชัด
สำนักเขาแสงคล้อยนับว่ามีชื่อเสียงในยุทธภพ เป็นกลุ่มอิทธิพลยุทธภพที่จังหวัดเต๋อเซิ่งรองรับว่าโดดเด่น ย่อมมีความสัมพันธ์กับตระกูลเว่ยในระดับดีเยี่ยม อีกทั้งอยู่ห่างออกไปไม่มาก ไม่จำเป็นต้องออกเดินทางล่วงหน้านานเกินไป จึงเพิ่งย่างก้าวเข้าจังหวัดในเช้าวันที่ยี่สิบหกเดือนสิบสอง
จำนวนผู้มาเยือนไม่น้อย เป็นเจ้าสำนักสามที่คนในยุทธภพเรียกว่าคุณชายหน้าหล่อ เขาพาผู้อาวุโสมาด้วยสองคน ซึ่งก็คือลั่วเทียนเฉิงผู้อายุสิบเก้าปี และลั่วหนิงซวงที่มีหมั้นหมายแล้วเมื่อปีก่อน
รถม้าสองคันเข้าสู่จังหวัด เจ้าสำนักสามนั่งอยู่ในรถคันหน้าเพียงลำพัง ส่วนลั่วหนิงซวงและลั่วเทียนเฉิงนั่งอยู่ในรถคันหลัง
ยามเปิดม่านรถข้างๆ ออก ลั่วหนิงซวงมองบ้านเรือนรอบข้างที่เหมือนถูกห่อหุ้มด้วยเงินพร้อมเผยรอยยิ้ม
“พี่รอง กลุ่มคนที่ไปจัดการเสือกับท่านในปีนั้น ตอนนี้มีหลายคนที่สร้างชื่อเสียงในยุทธภพได้ไม่น้อยเลยใช่หรือไม่ มือกระบี่เยี่ยนเฟยผู้นั้นเป็นที่เล่าลือว่าเก่งกาจทีเดียว อีกทั้งลู่เฉิงเฟิงผู้นั้นด้วย เขามีฉายาว่าท่านชายน้อยแห่งหอเมฆาเช่นกัน พวกเขาสองคนล้วนเป็นคนจังหวัดเต๋อเซิ่ง ครั้งนี้จะมางานเลี้ยงด้วยหรือไม่ ตระกูลเว่ยก็ส่งเทียบเชิญให้ตระกูลของพวกเขาด้วยกระมัง”
ท่ามกลางเก้าคนในตอนนั้นมีคนที่ไม่ใช่คนจังหวัดเต๋อเซิ่งจำนวนหนึ่งซึ่งไม่น่ามาร่วมงานได้ แต่ขอเพียงเป็นกลุ่มอิทธิพลยุทธภพที่มีไมตรีกับตระกูลเว่ย จะมากจะน้อยก็มีเกียรติมาร่วมงาน
ลั่วเทียนเฉิงถามด้วยความอยากรู้ แต่ลั่วหนิงซวงเพียงส่ายหน้าครั้งหนึ่ง
“นั่นข้าไม่รู้หรอก แต่อีกสองวันก็ปีใหม่แล้ว อย่างมากส่งลูกหลานที่ไม่มีความสำคัญสักคนหรือพ่อบ้านมาอวยพร คนที่เจ้าอยากเจอเหล่านั้นน่าจะไม่มา”
ระหว่างทั้งสองคนคุยกัน รถม้าค่อยๆ เข้าใกล้จวนตระกูลเว่ย ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ รถม้านอกตระกูลเว่ยยังไม่มาก พ่อบ้านตระกูลเว่ยที่ออกมาต้อนรับเจ้าสำนักสามทักทายรอบหนึ่ง ก่อนที่พี่สาวและน้องชายตระกูลลั่วจะลงจากรถเอง
“ตระกูลตู้แห่งจังหวัดเทียนเยวี่ย มาอวยพรนายน้อยตระกูลเว่ยครบเดือน!”
เสียงที่ทำให้ลั่วหนิงซวงรู้สึกคุ้นหูอยู่บ้างดังขึ้นข้างๆ มีพ่อบ้านตระกูลเว่ยมาต้อนรับเช่นกัน
ลั่วหนิงซวงเดินไปดู แทบจะจำคนผู้นั้นไม่ได้ แต่แขนเสื้อว่างเปล่าเพราะแขนขาดทำให้นางนึกได้ว่าคนที่ทักทายพ่อบ้านตระกูลเว่ยอยู่เป็นใคร
“ตู้เหิง? แขนของเจ้า…”
แม้มือขวาของตู้เหิงในตอนนั้นจะยังคงอยู่ ทว่าวันนี้ในแขนเสื้อกลับว่างเปล่า
นักดาบตู้เหิงมีหนวดอยู่ครึ่งใบหน้า ดาบยาวตะแคงอยู่ข้างหลัง สวมเสื้อสีฟ้า เมื่อได้ยินเสียงลั่วหนิงซวงแล้วถึงหันไป
“เจ้าคือ…ศิษย์น้องลั่ว?”
บนใบหน้าตู้เหิงปรากฏรอยยิ้ม กระนั้นไม่ได้คิดทักทายอะไรมาก พยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วก็เข้าจวนตระกูลเว่ยไปพร้อมกับข้ารับใช้สองคนที่มาด้วยกัน
“เด็กตระกูลตู้ผู้นี้ยังไม่ละทิ้งวรยุทธ์!”
เจ้าสำนักสามลั่วเฟิงยืนอยู่ข้างๆ ลั่วหนิงซวงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มองตู้เหิงเดินเข้าไปในจวน พ่อบ้านชราแห่งตระกูลเว่ยถอนใจตอบเช่นกัน
“ชาตินี้ของตู้เหิงกลายเป็นคนพิการไปเสียแล้ว เมื่อครู่ไม่ได้ฮึกเหิมอะไร”
ลั่วเฟิงมองลั่วหนิงซวงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มว่า
“จะไปพูดเรื่องในอดีตกับเขาหรือ”
ลั่วหนิงซวงลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า
“ช่างเถอะ ดูเขาไม่อยากพูดกับข้าเท่าไร”
มีรถม้ารวมตัวเข้ามาจากข้างนอกมากขึ้นเรื่อยๆ คนตระกูลลั่วเข้าไปในจวนตระกูลเว่ยแล้วเช่นกัน ส่วนรถม้าย่อมมีข้ารับใช้ตระกูลเว่ยจูงไป
เมื่อใกล้เที่ยงวัน โต๊ะด้านในและด้านนอกลานจวนตระกูลเว่ยถูกจับจองจนเต็ม พ่อครัวที่เชิญมาจากร้านอาหารชื่อดังในเมืองลงมือทำอาหาร กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล
เว่ยอู๋เว่ยละมุนละม่อมไปทั่วทุกด้าน ดูแลแขกทุกคนจนถึงที่นั่ง แม้แต่ตู้เหิงก็ยังไปทักทายด้วยตัวเอง
ระหว่างนั้นมีลู่เฉิงเฟิง ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนายน้อยแห่งหอเมฆาเดินทางมาอวยพรโดยเฉพาะ ทำให้ดาวรุ่งยุทธภพผู้นี้ได้รับคำชมไม่น้อย งานเลี้ยงยังไม่เริ่มต้นก็สนทนากับคนอื่นไปทั่วทั้งงาน ยิ่งไม่ลืมดื่มสุราทำความเคารพลั่วเฟิง อีกทั้งคุยเรื่องเก่าๆ กับลั่วหนิงซวงด้วย
หลังจากคุยกับตระกูลลั่วแล้วรู้ว่าตู้เหิงอยู่ที่นี่เช่นกัน ลู่เฉิงเฟิงตั้งใจตามหาท่ามกลางกลุ่มคนอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นพบตู้เหิงร่ำสุราเพียงลำพังในทางเดินของสวนดอกไม้แห่งหนึ่งนอกวงล้อมโต๊ะงานเลี้ยง
ลู่เฉิงเฟิงยังคงน่าเข้าหา ใช้คำพูด ‘ในที่สุดก็พบเจ้า’ เป็นการเริ่มประโยค แล้วสนทนากับตู้เหิงผู้อึดอัดใจอยู่บ้างด้วยความกระตือรือร้นอย่างหาใดเปรียบ
เมื่อความห่างเหินในตอนแรกหายไป ทั้งสองคนนับว่าค้นพบความรู้สึกเข้ากันได้แล้ว คนหนึ่งใช้จอก คนหนึ่งใช้กาสุราร่วมสนทนาและร่ำสุราอยู่ในทางเดินสวนดอกไม้
“ที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องตัดใจ ท่านจี้ในตอนนั้นบอกแล้วว่าหากเจ้าทนไหว อนาคตข้างหน้าจะไม่มีขีดจำกัด…ในเมื่อหมดโอกาสกับวรยุทธ์ หาทางอื่นก็อาจจะมีความสำเร็จได้ ดังคำกล่าวที่ว่าการกระทำนำไปสู่ชัยชนะอย่างไรเล่า!”
ตู้เหิงเพิ่งอยากพูดว่าตอนนี้ตนเองเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ ทว่าได้ยินประโยคหลังของลู่เฉิงเฟิงแล้วก็กัดฟัน กลืนคำพูดของตัวเองลงท้องไป
“ขอบคุณพี่ลู่ที่อวยพร!”
ตู้เหิงใช้มือซ้ายหยิกต้นขาไม่ให้ตัวเองเสียกิริยา หลายปีมานี้เขาลิ้มรสทั้งความสุขและความทุกข์มาหลายหนนัก แล้วจะกลั้นโทสะต่อหน้าสหายเก่าแก่ไม่ได้เลยหรืออย่างไร
ตอนแรกเป็นตู้เหิงคอยตอบคำถาม ต่อมากลับเป็นลู่เฉิงเฟิงเล่าเรื่องของตัวเอง มีชื่อเสียงในยุทธภพได้อย่างไร และค่อยๆ ก้าวหน้าในวิชายุทธ์ได้อย่างไร
เขาทนจนลู่เฉิงเฟิงเล่าจบ เมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้ว เนื้อหนังขาซ้ายในกางเกงของตู้เหิงถูกหยิกจนม่วงไปหมดแล้ว
“ฮ่าๆๆ…การกระทำนำไปสู่ชัยชนะ…”
ตู้เหิงยิ้มอย่างโศกเศร้าอยู่บ้าง ก่อนจะหลับตาและสัมผัสด้ามดาบที่อยู่ข้างหลัง
“จอมยุทธ์ตู้ พวกเจ้ารู้จักท่านจี้หรือ”
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นข้างหู ทำให้ตู้เหิงชะงักไปเล็กน้อย เมื่อหันไปมองพบว่าใบหน้าอวบอ้วนมีรอยยิ้มมองเขาอยู่ เป็นเว่ยอู๋เว่ยนั่นเอง
“ผู้นำตระกูลเว่ยเว่ย? ท่าน…”
“ฮ่าๆๆ เมื่อครู่เดินผ่านมาพอดี ได้ยินเรื่องน่าสนใจเลยไม่คิดเดินต่อไป อย่างไรเสียก็ไม่คิดว่าหนังสือที่ซื้อมาจากอำเภอหนิงอันในตอนนั้นจะเป็นฝีมือของพวกเจ้า น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!”
ครั้นพูดจบ เว่ยอู๋เว่ยเข้าไปใกล้และนั่งลงบนเก้าอี้ ยังคงยิ้มร่า
“เมื่อครู่ได้ยินเจ้าคุยเรื่องในอดีตกับจอมยุทธ์ลู่ พูดถึงท่านจี้ ฮ่าๆ ไม่ทราบว่าสะดวกเล่าให้ข้าคนแซ่เว่ยฟังบ้างหรือไม่”
ตู้เหิงสับสนอยู่ในใจเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ฝืนยิ้ม
“ผู้นำตระกูลเว่ย ข้าไม่ค่อยสะดวกเล่าเรื่องนี้นัก ตอนนั้นท่านจี้กำชับไว้ว่าพยายามอย่าเล่าเรื่องของเขาให้คนนอกฟัง…”
“เฮ้อ! จอมยุทธ์ตู้พูดหนักเกินไปแล้ว ที่ท่านจี้พูดถึงคือคนนอก ข้าเว่ยอู๋เว่ยไม่ใช่ ข้าก็รู้จักท่านจี้ อีกทั้งเคยส่งขนมและสุราให้เขาด้วย แม้กระทั่งเคยกินพุทราในลานบ้านของเขาเช่นกัน แล้วข้าจะเป็นคนนอกไปได้อย่างไร!”
ตอนได้ยินคำพูดนั้น เว่ยอู๋เว่ยแทบจะแน่ใจในทันทีว่า ‘ท่าน’ ผู้นั้นก็คือจี้หยวน!