เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 154 เลื่องชื่อทั่วหล้า
ตอนที่ 154 เลื่องชื่อทั่วหล้า
หลังจากมาถึงจังหวัดจิงจี อิ๋นจ้าวเซียนเคยเจอบัณฑิตมากมายทั่วต้าเจิน ทั้งเคยพูดคุยกับบุคคลอย่างราชครูหลี่มู่ซูด้วย สองสามเดือนมานี้เขาค่อนข้างมั่นใจในความรู้ของตน
แต่เดิมอิ๋นจ้าวเซียนไม่ใช่คนอวดดี ความจริงอุปนิสัยคล้ายจี้หยวนนัก มีความมั่นใจถือว่าเป็นเรื่องหนึ่ง แต่แค่คิดว่าด้วยพื้นฐานตนคงไม่มีทางสอบตก
สุดท้ายจังหวัดจิงจีตอนนี้เป็นแหล่งรวมอัจฉริยะ พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน ผู้ร้ายกาจไม่ได้มีแค่เขาอิ๋นจ้าวเซียนคนเดียวแน่ มีสิทธิ์มีอำนาจมีเส้นสายมีความรู้ ทุกรูปแบบมากมายเต็มไปหมด
ดังนั้นแม้อิ๋นจ้าวเซียนหวังคว้าอันดับแรกเหมือนผู้สอบคนอื่น แต่มีแค่ความคิด ไม่กล้าพูดว่าจะสำเร็จ
แต่เสียงของฝูงชนล้วนพิสูจน์ว่าเขาอิ๋นจ้าวเซียนสอบติดตำแหน่ง ‘ฮุ่ยหยวน’
“อิ๋นฮุ่ยหยวนอยู่หรือไม่”
“ใครรู้จักอิ๋นจ้าวเซียนบ้าง”
“รู้เพียงชื่อเสียงแต่ไม่เคยเจอ!”
“ถอยๆๆๆ ขอพวกเราผ่านไปหน่อย!”
“อย่าเบียดสิ!”
…
ตอนนี้สื่ออวี้เซิงกับอิ๋นจ้าวเซียนต่างตื่นเต้น แม้แต่อิ๋นจ้าวเซียนยังเบียดตัวไปข้างหน้าอย่างสุดความสามารถ ไม่ต้องขยับไปข้างหน้านัก แค่แทรกตัวจากขอบเข้าตรงกลางสองสามก้าวก็เห็นกระดานดอกซิ่งชัดเจนแล้ว
จริงดังคาด ตัวอักษรใหญ่ตรงจุดสูงสุดของกระดานดอกซิ่งเขียนว่า ‘ฮุ่ยหยวน อิ๋นจ้าวเซียนแห่งรัฐจี’
ยามยืนยันผลสอบ อิ๋นจ้าวเซียนรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
…
ภายในจวนจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องจ้าวเหยียนกำลังดื่มชาพูดคุยกับอาจารย์ตนอยู่หน้าเตาผิง ประเด็นสนทนาคือเรื่องการสอบระดับเมืองหลวง
“ราชครูหลี่ ท่านไม่ไปร่วมสนุกที่สนามสอบแบบปิดหรือ”
“มีอะไรน่าสนุก ครั้งนี้ข้าไม่มีศิษย์เข้าร่วมการสอบ แต่ท่านอ๋องไม่ไปกลับทำให้ข้าผู้ชราผิดคาดนัก”
สอนมาตั้งแต่เล็กจนโต หลี่มู่ซูรู้จักศิษย์คนนี้ของตนนัก ความจริงจิ้นอ๋องผู้นี้เป็นคนชอบเรื่องสนุกมาก แต่การถามเช่นนี้ใช่ว่าสงสัย หากแต่มีเจตนาหยอกล้อ
“ไม่ไปหรอกๆ เรื่องมงคลครั้งก่อนทำให้ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่ถูกชะตากับข้า ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นเหตุการณ์ใหญ่เกี่ยวกับราชสำนัก หากไม่จำเป็นข้าไม่ไปดีกว่า”
หลี่มู่ซูคว้าถ้วยชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งก่อนยิ้มกล่าว
“สำหรับท่านอ๋องเรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นเรื่องดี แต่สำหรับอู๋อ๋องต้องเป็นเรื่องร้ายแน่…”
ใครชอบทำเรื่องโดดเด่น แน่นอนว่าเป็นคนลนลาน
ปัจจุบันสถานการณ์ของอู๋อ๋องค่อนข้างคล้ายคลึง บรรดาองค์ชายเขาอายุมากและมีผู้ช่วยเยอะที่สุด มองจากความเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอก ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นตัวเลือกรัชทายาท
แต่หลายปีมานี้บรรยากาศราชสำนักชอบกลนัก นานเข้าอู๋อ๋องยิ่งรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะยามมีขุนนางใหญ่เสนอแต่งตั้งรัชทายาทหลายครั้ง แต่ฮ่องเต้กลับไม่ไว้หน้า ตอนนี้เรื่องนิมิตมงคลจากสวรรค์ที่จวนจิ้นอ๋องก็สะดุดตานัก
โชคดีว่าตอนนั้นมีฮ่องเต้อยู่ด้วย ยังพูดว่าฝ่าบาทมาเยือนจึงเกิดเรื่องมงคลได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น น้องสามอย่างจิ้นอ๋องก็เป็นหนามยอกอกของอู๋อ๋อง การหาเรื่องย่อมเลี่ยงยาก แต่ภายในสายตาราชสำนักกับราชวงศ์เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่มองเห็นได้
แต่จะว่าไปอู๋อ๋องมีหรือจะไม่รู้เรื่องนี้ ต่อให้เขาไม่รู้แล้วไม่มีผู้รู้ชี้แนะหรือ คิดว่าคงไม่ใช่ แต่การล่วงรู้ถือเป็นเรื่องหนึ่ง กรุ่นโกรธหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องแล้ว
เวลานี้เองมีคนรับใช้วิ่งมาตรงโถงข้างจวนอ๋องแห่งนี้จากข้างนอกอย่างรีบเร่ง
“ท่านอ๋อง ราชครูหลี่ กระดานดอกซิ่งประกาศแล้ว ฮุ่ยหยวนคืออิ๋นจ้าวเซียนแห่งรัฐจีขอรับ!”
ต่อให้ตั้งความหวังกับอิ๋นจ้าวเซียนไว้สูงลิ่ว แต่เมื่อรู้ข่าวเข้าจริง สองศิษย์อาจารย์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก หลี่มู่ซูวางถ้วยชาพลางทอดถอนใจ
“อิ๋นจ้าวเซียนไม่ใช่คนทั่วไปดังคาด!”
จิ้นอ๋องยิ้มอย่างภาคภูมิเช่นกัน
“ไม่รู้ว่าข่าวแพร่มาจากไหน บอกว่าอิ๋นจ้าวเซียนคนนี้มีปราณต้านทานยิ่งใหญ่ เป็นขุนนางมากฝีมือซึ่งหายากในปัจจุบัน แต่ไม่อาจปฏิเสธว่าเขามีความสามารถโดดเด่นจริงๆ ได้อันดับหนึ่งติดกันสองครั้งแล้ว!”
หลี่มู่ซูฟังคำพูดนี้ของจิ้นอ๋องแล้ว เขาหันมองศิษย์คนนี้ของตน แววตาจริงจังนัก
“หากไม่ตายกลางทาง กอปรกับท่านอ๋องช่วยเหลือ อีกสิบกว่ายี่สิบปี ขุนนางทรงอำนาจของราชสำนักต้องมีตำแหน่งให้เจ้าหนุ่มคนนี้แน่ คราวนี้ไม่แน่ว่าอาจปรากฏผู้สอบผ่านอันดับหนึ่งสามคราคนที่สองตั้งแต่สถาปนาต้าเจินของพวกเรามา”
ความเห็นของราชครูหลี่ทำให้จิ้นอ๋องจ้าวเหยียนเก็บรอยยิ้ม น้ำหนักมากกว่าคำวิจารณ์ครั้งก่อนไม่น้อย
เดิมจิ้นอ๋องคิดกล่าวประโยคหนึ่ง ต่อให้บัณฑิตเขียนบทความดีแค่ไหน ไม่แน่ว่าจะบริหารอาณาจักรได้ แต่พอนึกถึง ‘วาทหมู่ปักษา’ และ ‘ธรรมรู้แจ้ง’ คำพูดนี้กลับไม่กล่าวออกมา หากแต่เปลี่ยนเป็นประโยคอื่น
“ผู้สอบผ่านอันดับหนึ่งสามครา? ราชครูหลี่คิดว่าอิ๋นจ้าวเซียนคนนี้ทำได้หรือ”
“หึๆๆ…การสอบระดับเมืองหลวงเป็นเอกภาพ เท่ากับอิ๋นเจี้ยหยวน ไม่สิ อิ๋นฮุ่ยหยวนชนะรอบหนึ่งแล้ว ต่อให้บางคนรู้ทิศทางการสอบระดับเมืองหลวงโดยคร่าวยังสู้เขาไม่ได้ การสอบหน้าพระที่นั่งมีฝ่าบาทคัดเลือกด้วยตัวเอง หึๆ…”
หลี่มู่ซูส่งเสียงหัวเราะให้จิ้นอ๋องใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ
“อีกอย่างปัจจุบันฝ่าบาทคิดหนักนัก หากมีตัวเลือก การให้ทายาทครอบครัวยากจนเป็นจ้วงหยวนย่อมตรงตามเจตจำนงฝ่าบาท ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือภูมิหลัง อิ๋นจ้าวเซียนล้วนเป็นตัวเลือกชั้นยอด”
นี่ก็คือหลี่มู่ซู ต่อให้มีตำแหน่งเป็นแค่ราชครู แต่ทำให้จิ้นอ๋องเลื่อมใสตั้งแต่เด็ก บางครั้งเขารู้สึกยินดีนักว่าอาจารย์ของตนตอนเด็กคือหลี่มู่ซู
ยามนี้จิ้นอ๋องได้ยินแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ต่อให้อนาคตมีคนรู้ว่าอิ๋นจ้าวเซียนเคยมาร่วมงานที่จวนอ๋อง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นช่วงก่อนการสอบระดับเมืองหลวง ขอแค่หลังจากนี้ตนเลี่ยงการพบปะกับอิ๋นจ้าวเซียนอย่างรู้จักกาลเทศะหน่อยก็พอ เพราะถึงอย่างไรภูมิหลังเดิมของอิ๋นจ้าวเซียนเองก็ปลอมแปลงไม่ได้
กระดานดอกซิ่งประกาศแล้ว มีคนสุขมีคนเศร้า ภายในห้าวันที่เหลือพวกเขาเตรียมรอการสอบหน้าพระที่นั่งซึ่งใกล้มาถึงด้วยอารมณ์ต่างกัน
การสอบหน้าพระที่นั่งแห่งต้าเจินผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง เปลี่ยนจากวันที่หนึ่งเดือนสามเป็นวันที่สิบห้าเดือนสาม สุดท้ายค่อยยึดเป็นวันที่ห้าเดือนสามเช่นปัจจุบัน หัวข้อการสอบทุกกระทรวงในราชสำนักจะเสนอร่างมากมาย จักรพรรดิองค์ปัจจุบันเลือกหัวข้อด้วยตัวเอง ตามทฤษฎียังต้องคุมสอบเองด้วย
สถานที่สอบไม่ใช่สนามสอบแบบปิดอีก แต่จัดในโถงพระราชวัง ดังนั้นจึงชื่อว่าการสอบหน้าพระที่นั่ง
สำหรับผู้สอบชาวบ้านแรงกดดันในใจอย่างใหญ่หลวงก็คือด่านหนึ่งในนั้น
พระราชวังสูงตระหง่าน การป้องกันแน่นหนา เข้าสู่ด่านมากมาย หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจเอกสารและค้นตัวหลายครั้งจึงมาถึงตำหนักสอบในที่สุด
ครั้งนี้ต่างจากการแบ่งห้องเดี่ยวคราวก่อน การสอบหน้าพระที่นั่งสอบแค่หนึ่งวัน ภายในตำหนักกว้างใหญ่มีโต๊ะวางอยู่ ผู้สอบอยู่ใกล้กันจนถึงขั้นเห็นเหงื่อบนคอและใบหน้าของอีกฝ่าย
โดยรอบคือผู้ตรวจตราทั้งสิ้น บางครั้งจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะมาตรวจตราด้วย แสดงอานุภาพของผู้ควบคุมการสอบ
ทั้งวันนี้ผู้สอบทุกคนเค้นความสามารถทั้งตัวภายใต้แรงกดดันมหาศาล สิ่งที่ประชันกันไม่ใช่แค่ความปราดเปรื่องและความจำ ยังประชันการเขียนอักษรด้วย
เมื่อการสอบหน้าพระที่นั่งอันน่ากลัวสิ้นสุด ผู้สอบทุกคนต่างเข้าพักโรงเตี๊ยมหรือจุดพักซึ่งทางราชสำนักจัดเตรียม รอประกาศผลการสอบหน้าพระที่นั่ง ส่วนขุนนางทุกกระทรวงก็ตรวจข้อสอบอย่างตึงเครียด
แม้ว่าจำนวนผู้สอบน้อยกว่าก่อนหน้านี้มาก แต่เหล่าผู้มีคุณภาพสูงยังอยู่ ยิ่งต้องเปลืองแรงกายแรงใจ อีกทั้งด้านบนยังมีจักรพรรดิจ้องมองด้วย
หลังจากผ่านไปสิบกว่าวัน ภายในห้องทรงงานของราชวัง ฮ่องเต้หยวนเต๋อกำลังอ่านตำราเล่มหนึ่ง เป็นหงส์เพรียกอู๋ถง[1]จากวาทหมู่ปักษาของอิ๋นจ้าวเซียนนั่นเอง
“ยอดเยี่ยม หมู่ปักษาทั่วหล้าล้วนเฝ้าหงส์ นกกระสาพันเกาะไม่ก้าวล่วง”
จากมุมมองของฮ่องเต้หยวนเต๋อ สิ่งนี้สื่อถึงความสูงส่งของอำนาจจักรพรรดิ ขุนนางใหญ่ใต้อาณัติไม่อาจมีความคิดใช้อำนาจโดยพลการเหมือนนกกระสา
หลังจากรู้ว่าอิ๋นจ้าวเซียนสอบติดอันดับหนึ่งสองครั้ง เรื่องบางอย่างของเขาก็ดึงดูดความสนใจของจักรพรรดิหยวนเต๋อแล้ว แน่นอนว่าหาตำราที่เขาเขียนได้ไม่ยาก ‘ธรรมรู้แจ้ง’ ยังไม่ทันอ่านขอไม่กล่าวถึง ‘วาทหมู่ปักษา’ ไม่เพียงเขียนได้น่าสนใจ เนื้อหายังตรงตามเจตจำนงนักปราชญ์ด้วย
ฮ่องเต้ทุกพระองค์ล้วนหวังว่าจะทรงปรีชาเหมือนหงส์เพลิงในตำรา สูงส่งไร้เทียมทานเช่นนั้น
ยามนี้มีขันทีเดินเนิบช้ามาอยู่หน้าโต๊ะหนังสือของฮ่องเต้พลางรายงานเสียงเบา
“ฝ่าบาท เหล่าใต้เท้ากระทรวงพิธีการมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนเต๋อเงยหน้าก่อนปิดตำราในมือ
“ให้พวกเขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีถอยออกไปไม่นาน เหล่าขุนนางราชสำนักยกถาดสองสามใบมาถึงห้องทรงงาน ค้อมตัวตรงหน้าโต๊ะองค์ฮ่องเต้
“กราบทูลฝ่าบาท การสอบหน้าพระที่นั่งสิ้นสุดแล้ว ขุนนางทุกกระทรวงตรวจข้อสอบสุดความสามารถ นี่คือผู้สมัครอันดับหนึ่งจากทุกกระทรวง ฝ่าบาทโปรดตรวจสอบ!”
อันดับหนึ่งมีทั้งหมดสามคน เรื่องการจัดอันดับมีแค่ฮ่องเต้ที่มีสิทธิ์ หลังจากตัดสินแล้วอันดับหนึ่งสามคนถือเป็นบัณฑิตโอรสสวรรค์
“นำมาดู!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ถาดทั้งหมดสามใบ ภายในมีกระดาษเจ็ดม้วน ล้วนเป็นผลจากการเลือกอย่างระมัดระวัง
บางครั้งจักรพรรดิจะร่วมการตรวจข้อสอบด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่เมื่ออ่านคำตอบเสร็จย่อมจัดอันดับได้ ต่อให้ฮ่องเต้หยวนเต๋อไม่ได้ร่วมการตรวจข้อสอบ แต่วิธีการเช่นนี้ไม่มีใครกล้าทำ
ฮ่องเต้หยวนเต๋อพลิกถาด เห็นชื่ออิ๋นจ้าวเซียนดังคาด คลุมผ้าแดงเหมือนกระดาษสอบอีกสองฉบับ หมายความว่าสูสีกันระดับหนึ่ง
“พวกเจ้าออกไปเถอะ คืนนี้ข้าจะอ่านกระดาษสอบพวกนี้ดีๆ พรุ่งนี้เช้าค่อยตัดสินอันดับหนึ่ง”
“น้อมรับบัญชา!”
เมื่อเหล่าขุนนางกระทรวงพิธีการคารวะถอยจากไป ฮ่องเต้หยวนเต๋อนั่งในห้องทรงงานอ่านกระดาษสอบเจ็ดฉบับโดยละเอียดตามลำพัง ของคนอื่นแค่อ่านโดยคร่าว แต่เน้นอ่านกระดาษคลุมแดงสามฉบับนั่น
“ไม่เลวๆ…”
หลังจากกล่าวชมประโยคหนึ่ง ฮ่องเต้หยวนเต๋อค่อยหยิบพู่กันเขียนอักษร…
…
ผ่านไปสองสามวัน เรื่องอิ๋นจ้าวเซียนสอบติดเจี้ยหยวน ฮุ่ยหยวน จ้วงหยวนต่อเนื่อง กลายเป็นผู้สอบผ่านอันดับหนึ่งสามคราคนที่สองตั้งแต่สถาปนาต้าเจินแพร่กระจายทั่วจังหวัดจิงจี เล่าลือว่าในงานเลี้ยงป่าหยกฝ่าบาทยังรินสุราให้ด้วยตัวเอง กลายเป็นเรื่องน่าชื่นชมยามว่างหลังอาหารทั้งแวดวงราชการและชาวบ้านทั่วไป
อิ๋นจ้าวเซียนผู้เป็นจอหงวนทั้งจนปัญญาเหนื่อยล้าจากการคบค้าสมาคม ทั้งตื่นเต้นยินดีจากการสอบผ่านอันดับหนึ่งสามครา ต่อให้ยังไม่รับตำแหน่ง ในเมืองหลวงตอนนี้ตัวเขาถือว่าโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร
ไม่นานข่าวนี้ก็แพร่มายังรัฐจีอย่างรวดเร็ว ทั้งแพร่ถึงอำเภอหนิงอันจังหวัดเต๋อเซิ่งโดยไม่หยุดพัก
จี้หยวนยืนอยู่บนหอตำราจวนตระกูลฉู่ มองหมากขาวเด่นชัดของอิ๋นจ้าวเซียนในมือ ปราณบุ๋นเจิดจรัสปราณต้านทานพลุ่งพล่าน เขากล่าวพึมพำว่า
“พากเพียรสิบปีไร้ผู้เหลียวแล เลื่องชื่อทั่วหล้าในคราเดียว”
จี้หยวนกล่าวจบแล้วลุกออกจากโต๊ะบนชั้นสามของหอตำรา ยื่นมือคว้าห่อผ้าของตนลงมาจากผ้าม่าน จากนั้นค่อยเดินเนิบช้ามาถึงหน้าประตูหอก่อนเปิดเบาๆ
กระบี่เครือเขียวข้างโต๊ะลอยตามหลังจี้หยวนมา
“อาจารย์อิ๋น ดูแลตัวเองให้ดี!”
ขณะกล่าวกับตัวเองเขามองไปทางจุดพักในเมืองก่อนปิดประตูหอตำรา ใต้ฝ่าเท้าจี้หยวนก่อเกิดหมอก ลอยตัวขึ้นเนิบช้า หลังจากลอยมาถึงท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง เขาลอยล่องไปทางตะวันออก
บนโต๊ะชั้นสามของหอตำราจวนตระกูลฉู่ มีกระดาษเซวียนจื่อพร้อมข้อความแผ่นหนึ่ง ส่วนคนตระกูลฉู่จะพบเมื่อไรยังไม่แน่ชัด
[1] อู๋ถง หมายถึง ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นสง่างาม เนื้อไม้นิยมนำมาทำเครื่องดนตรี