เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 158 ที่นี่แหละ
ตอนที่ 158 ที่นี่แหละ
จี้หยวนกับฉีเหวินกินอาหารที่เหลือบนโต๊ะจนเกลี้ยง โดยหลักจี้หยวนกินมากหน่อย ถึงตอนท้ายฉีเหวินแค่มองเท่านั้น
ตอนนี้ฉีเหวินเก็บเศษอาหารบนโต๊ะพร้อมจี้หยวนพลางถามเขา
“ท่านจี้ อาจารย์เขาไม่เป็นไรกระมัง ท่านให้เขาดื่มสุราอะไรหรือ”
ด้วยคนผู้นี้คือจี้หยวน ฉีเหวินจึงไม่ถึงขั้นร้อนรน ถ้าเป็นพวกไม่น่าไว้ใจเขาคงสงสัยว่าอีกฝ่ายวางยาอาจารย์ตนหรือไม่
จี้หยวนใช้ชามน้ำแกงเป็นตัวรอง กวาดพวกเศษผักกับกระดูกบางส่วนลงไป พยายามเลี่ยงศีรษะของนักพรตชิงซง
“ช่วยข้ายกตะเกียงน้ำมันหน่อย ข้าจะเช็ดตรงนี้”
“อ้อ”
ชามอาหารซ้อนทับกันทีละใบ บนโต๊ะถูกทำความสะอาดโดยคร่าวรอบหนึ่ง จี้หยวนค่อยกล่าวกับฉีเหวินซึ่งกำลังเตรียมวางชามลงอ่างไม้เพื่อชะล้าง
“ภายในสุราที่อาจารย์เจ้าดื่มมีวัตถุดิบยาล้ำค่าเลื่องชื่อมากมาย ฤทธิ์ยาแรงฤทธิ์สุรามาก แต่ดื่มแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายนัก ทว่าดื่มคราเดียวมากเกินไป คาดว่าคงนอนหลับสามวันห้าวัน”
ดื่มคราเดียวมากเกินไป?
ฉีเหวินหดคอเล็กน้อย ถึงแม้ตะเกียงน้ำมันห้องครัวไม่ถือว่าสว่างนัก แต่ยังเห็นชัดเจน ท่านจี้เป็นคนกรอกเองไม่ใช่หรือ
แต่ฟังถึงคำพูดตอนท้ายของจี้หยวน ฉีเหวินตอบสนองกลับมาทันที
“หลับสามวันห้าวัน? นานขนาดนี้เชียว?”
“ใช่แล้ว ฤทธิ์ยาในสุราจะซึมเข้าร่างกายอาจารย์เจ้าทุกอณู ด้วยอุปนิสัยของเขา หลายปีนี้คงโดนต่อยไม่น้อยกระมัง แผลเก่าโรคเก่าบางส่วนย่อมดีขึ้น ร่างกายจะแข็งแรงกว่าแต่ก่อน”
เรื่องนักพรตชิงซงทำนายชะตาจนชีวิตตนเองหายไปครึ่งหนึ่งตอนนั้น ความจริงมีแค่ตัวเขากับจี้หยวนที่รู้ แม้ว่าฉีเหวินเข้าใจว่าครั้งนั้นอาจารย์ดูดวงจนเกิดปัญหาใหญ่ แต่เรื่องอายุขัยของฉีเซวียนถูกปิดบังมาตลอด ตอนนี้จี้หยวนจึงพูดแค่เรื่องดีต่อร่างกาย
แต่สมองของฉีเหวินกลับสวนทางไปนึกเรื่องอื่น สีหน้าพลันตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ท่านจี้ สิ่งที่ท่านนำมาคือโอสถเทพยุทธภพซึ่งเล่าลือกันใช่หรือไม่ กินแล้วทำให้เพิ่มพลังยุทธ์หรือเชื่อมต่อเส้นปราณ กลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพหรือ”
จี้หยวนเบิกบาน ฉีเหวินฟังนิทานของนักเล่าเรื่องมากไปแล้ว
“ประมาณนั้นแหละนะ แค่เดิมตัวอาจารย์เจ้าไม่ฝึกยุทธ์ เป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพไม่ได้หรอก”
ทั้งสองคนพูดคุยพลางเก็บห้องครัวเสร็จ สุดท้ายค่อยแบกนักพรตชิงซงซ้ายคนขวาคนกลับห้อง
อย่ามองว่านักพรตชิงซงดูเหมือนไม่อ้วน แต่ความจริงยามจี้หยวนแบกยังรู้สึกว่าเขาหนักเอาการ แสดงว่าผิวเนื้อแน่น อืม ค่อนข้างทนทายาด
เตียงในอารามเต๋าไม่ใช่เตียงไม้ซึ่งพบเห็นทั่วไป หากแต่ก่อจากอิฐ คล้ายเตียงอุ่น[1]อยู่บ้าง แต่กลับทำความร้อนไม่ได้ ตรงกลางรองฟางข้าวหลายชั้นทั้งปูทับด้วยผ้าคลุม ยาวจนนอนได้สี่ถึงห้าคน ตอนนี้คือห้องนอนรวมของสองศิษย์อาจารย์
ภายในอารามเต๋ายังมีห้องนอนอีกห้อง รูปแบบใกล้เคียงกัน ถือเป็นห้องของจี้หยวนชั่วคราว
จัดที่ทางให้นักพรตชิงซงเสร็จ ฉีเหวินพาจี้หยวนมาอีกห้อง ด้วยรักษาความสะอาดเป็นประจำจึงไม่มีฝุ่นอะไร
ฉีเหวินหอบฟางข้าวมา ปูก้นเตียงพร้อมจี้หยวน จากนั้นค่อยหอบผ้าคลุมเตียงมา
ผู้คนตรงเชิงเขาใช้ฟางข้าวก่อไฟเป็นหลัก ทุกครัวเรือนทั่วรัฐปิงมียุ้งข้าวมากมาย พอใช้จนข้าวออกรวงหญ้าใหม่แทนที่ แต่อารามเขาเมฆาก่อไฟอาศัยฟืน ฟางข้าวกลับเป็นทรัพยากรสำหรับปูรองอย่างหนึ่ง
ทั้งสองคนพลันยุ่งง่วนกับการปูเตียงนอน ถือว่าช่วยแขกหายากของอารามเต๋าอย่างจี้หยวนเตรียมสถานที่พักผ่อน
“ท่านจี้ อารามเขาเมฆาของพวกเราค่อนข้างเรียบง่าย พอทำให้ท่านได้แค่นี้”
ฉีเหวินจัดฟูกเสร็จเรียบร้อย เกาหัวอย่างเขินอายอยู่บ้าง สภาพนี้แย่ไปหน่อย อย่างน้อยก็เทียบห้องโรงเตี๊ยมซึ่งจี้หยวนจองให้พวกเขาสองศิษย์อาจารย์ตอนนั้นไม่ได้อยู่มากโข
“หึๆ ไม่เลวแล้วๆ สถานที่แย่กว่านี้ข้ายังเคยอยู่มาก่อน อย่างน้อยยังมีเตียง เอาละ ฟ้ามืดแล้ว เจ้ากลับไปพักเถอะ”
“อืม ข้าต้องไปดูแลอาจารย์ ได้ยินว่ากลางคืนคนเมาสุราเป็นทุกข์มาก”
จี้หยวนโบกมือ
“ไปเถอะ แต่ความจริงสถานการณ์ของอาจารย์เจ้าไม่ต้องใส่ใจ อีกไม่กี่วันคงตื่นเอง เตรียมน้ำเย็นให้เขาหน่อยก็พอ”
“อืม…จริงสิ ท่านจี้กลางคืนต้องปิดประตูหน้าต่างให้ดี แม้ว่าพบเจอน้อยนัก แต่บางครั้งจะมีสัตว์จำพวกหมาป่าบนยอดเขาหมอกอำพรางมาวนเวียน”
“รู้แล้วๆ”
จี้หยวนกล่าวตอบสบายๆ
“ท่านจี้วิชายุทธ์สูง แต่ยังต้องระวังหน่อย อย่าละเลย!”
เมื่อเห็นฉีเหวินใช้วิธีพูดเชิงสั่งสอน จี้หยวนจำต้องประสานมือกล่าวอย่างจริงจัง
“ได้ๆ ขอบคุณนักพรตน้อยที่บอกกล่าว ข้าคนแซ่จี้ย่อมระวัง!”
รอฉีเหวินเกาหัวจากไปอย่างเขินอายอยู่บ้าง จี้หยวนถอดรองเท้านั่งบนเตียง ได้ยินการเคลื่อนไหวในห้องตรงข้ามรางๆ นั่งอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหนึ่งเค่อกว่า อารามเขาเมฆาจึงเงียบสงบลง
คำนวณเวลาแล้ว ตอนนี้เพิ่งยามซวี เท่ากับสองสามทุ่มเมื่อชาติก่อน
ภายในห้องมีหน้าต่างไม้ ใช้ไม้คานขัดเป็นหน้าต่าง มองเห็นฟ้าดารา
จี้หยวนมองไปนอกหน้าต่าง ในใจนึกถึงเรื่องอารามเขาเมฆา
เมื่อครู่ยามพูดคุยบนโต๊ะอาหารกับสองศิษย์อาจารย์ ทราบว่าอารามเต๋าแห่งนี้สร้างมานานปี ประมาณสี่ห้าสิบปีก่อนเหล่านักพรตบรรพจารย์ของนักพรตฉีเซวียนร่วมแรงร่วมใจสร้างไว้ ตากอิฐและขนย้ายเอง ต่อมาได้รับการช่วยเหลือจากเศรษฐีท้องถิ่นจึงสร้างอารามเต๋าขึ้นมา
โดยทั่วไปนักพรตชอบสร้างอารามเต๋าบนเขาสูง ด้วยอยู่ใกล้ดวงดาวกว่า
ยามนักพรตของอารามเขาเมฆาบำเพ็ญเพียร นอกจากแสวงหาความสงบแล้ว ยังมีวิชาเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง รวมถึงมรรคทำนายและวิธีปัดรังควานผิวเผินบางส่วน มรรคทำนายถูกใช้มาตลอด ความจริงอุบายปัดรังควานพวกนั้นก็มีประโยชน์อยู่บ้าง
อารามเขาเมฆาช่วงรุ่งเรืองเคยมีนักพรตแปดคนบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ ถึงตอนนี้มีแค่นักพรตชิงซงกับศิษย์ฉีเหวินแล้ว
ใช่ว่าเหล่านักพรตเสียชีวิตกันหมด ความจริงผู้เสียชีวิตภายในอารามมีแค่อาจารย์และอาจารย์อาของนักพรตชิงซง นักพรตคนอื่นส่วนใหญ่ออกไปแล้วไม่กลับมาอีก
บ้างลงเขาไปใช้ชีวิตแต่งงานมีครอบครัว บ้างไม่มีข่าวคราว
นักพรตที่นี่แต่งภรรยาได้ทั้งไม่ต้องกินเจตลอด แค่ช่วงเวลาพิเศษต้องถือศีลอดงดผักห้าฉุน[2] ทว่าไม่มีนักพรตแต่งงานแล้วมาอยู่บนเขา ผู้ลงเขาไปสร้างครอบครัวไม่ทำตัวเป็นนักพรตอีก
“ความสงบหายากนัก ทั้งยากจะทน…”
จี้หยวนถือโอกาสลงจากเตียง ใส่รองเท้าเปิดประตูออกมาข้างนอก ห้องตรงข้ามดับตะเกียงแล้ว อารามเขาเมฆาเงียบสงัด
จี้หยวนเงยหน้ามองท้องฟ้า ระยะห่างของดวงดาวใกล้เหมือนสัมผัสได้
ท้องฟ้าบนโลกนี้มีดาวซึ่งคุ้นเคยทั้งสองชาติอย่างดาวเหนือเจ็ดดวง ดวงอาทิตย์ยังขึ้นทางตะวันออกคล้อยลงทางตะวันตกเหมือนเดิม เวลาไม่ต่างกันมาก แต่สภาพภูมิประเทศภูผาธารากลับแตกต่างจากชาติก่อนโดยสิ้นเชิง ถึงขั้นว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลกว่า
กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ทำให้จี้หยวนนึกถึงเป็นครั้งคราวและใคร่ครวญแต่ไม่เข้าใจอย่างหนึ่ง
ฮูก…ฮูก…ฮูก…
ตรงเชิงเขามีเสียงสัตว์ดังขึ้น สร้างความผ่อนคลายกลางป่าเขา
จี้หยวนทอดมองไปทางตะวันออก ยอดเขาซึ่งขวางอยู่ตรงหน้าสูงไม่เท่ายอดเขาหมอกอำพราง ที่สูงกว่ายอดเขาหมอกอำพรางกลับอยู่สองข้าง ทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขานี้เห็นชัดเจน มองไปทางตะวันตกก็ไม่ต่างกัน
มองฟ้ามองดินมองเขาสัมผัสการเคลื่อนไหว หลังจากกวาดมองโดยรอบ จี้หยวนทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
‘เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ที่นี่แหละ!’
[1] เตียงอุ่น หมายถึง เตียงซึ่งด้านใต้กลวง ปูทับด้วยหินพอกโคลน จากนั้นค่อยปูทับด้วยเสื่อ ด้านหนึ่งเชื่อมกับปล่องจากเตาไฟ ด้านหนึ่งมีช่องระบายควัน สามารถสร้างความอุ่นได้
[2] ผักห้าฉุน หมายถึง ผักที่มีฤทธิ์เผ็ดฉุนและกลิ่นแรง ได้แก่ ต้นหอม หอมใหญ่ กระเทียม ต้นกระเทียม กุยช่าย