เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 159 กระดาษแผ่นเดียว
ตอนที่ 159 กระดาษแผ่นเดียว
จี้หยวนมองท้องฟ้าและดวงดาวภายในอารามครู่หนึ่งแล้วกลับเข้าห้องไปนอน
ฟางข้าวและผ้านวมรองเตียงภายในห้อง ความจริงนอนสบายนัก โดยเฉพาะฟางข้าวซึ่งปูรองสม่ำเสมอและยังใหม่ ทว่าเตียงแบบนี้ทางที่ดีต้องเปลี่ยนฟางข้าวตามกำหนด
ถอดรองเท้าเสื้อคลุมนอนตะแคง แท่งหยกบนหมอนเปลี่ยนใหม่แล้ว ตอนนี้คือวิชาคุมวารี แน่นอนว่าเป็นวิชาคุมวารีต้นตำรับยิ่งกว่าวิชาคุมวารีของสำนักเซียน
เวลาประมาณกลางดึก จี้หยวนซึ่งหลับฝันลืมตาขึ้น เขาได้ยินการเคลื่อนไหวเล็กน้อยตรงลานอารามเต๋า
สองนักพรตฝั่งตรงข้ามกำลังหลับสบาย จี้หยวนลุกขึ้นมาสวมชุดคลุม ลงจากเตียงเปิดประตูก้าวออกไป
นอกห้องลมภูเขาเย็นเล็กน้อย จี้หยวนกระโดดขึ้นหลังคาห้องครัวอารามเต๋าเบาๆ ระหว่างนั้นไม่เกิดเสียงแม้เพียงเสี้ยว
ผนังห้องครัวอารามเต๋าติดกับกำแพงเรือน ประตูห้องครัวสองบานบานหนึ่งหันหน้าเข้าลาน อีกบานหันออกข้างนอก มีสัตว์ขนาดเท่าลูกแมวสองตัวกำลังคุ้ยเขี่ยอยู่นอกประตูห้องครัว เคี้ยวพวกกระดูกกับเศษอาหารซึ่งวางอยู่ตรงนั้นชั่วคราว
กรอบ…แกรบ…
แกร๊ก…กรรซ์…
สัตว์ป่าสองตัวแย่งกันเป็นครั้งคราว ส่งเสียงคำรามคล้ายข่มขู่
จี้หยวนย่อตัวนั่งลงบนหลังคาห้องครัวอย่างสนอกสนใจ บนตัวเขาไร้มลทินไร้ตำหนิ ไม่มีทางส่งกลิ่นอายอะไรออกไป ทั้งเจตนาไม่ส่งเสียง ดังนั้นไม่มีทางทำให้สัตว์สองตัวที่กินอาหารตกใจ
เห็นร่างเล็กจิ๋วกับฟันที่ถือว่าคมกริบของพวกมัน ศีรษะเล็กตัวเรียวยาว หางค่อนข้างใหญ่ อย่างน้อยไม่เหมือนแมวนัก
‘พังพอนเหลือง? พังพอนภูเขาบางชนิด? น่าจะเป็นพังพอนบางประเภทกระมัง!’
สัตว์จำพวกหมาป่า เสือดาวพยัคฆ์ จิ้งจอก ลิงค่างแยกแยะง่าย ต่อให้สายตาจี้หยวนไม่ดีก็สามารถแยกแยะสะดวก แต่สำหรับจี้หยวนถ้าต้องแบ่งชนิดสัตว์สองตัวตรงหน้าอย่างชัดเจนคงลำบากอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แมวหรือกระรอกแน่
สิ่งที่สัตว์น้อยสองตัวแย่งกันมีแค่ก้างปลาและเศษผักเคล้าน้ำแกงปลาบางส่วน จี้หยวนกับฉีเหวินกินค่อนข้างเกลี้ยง คิดจะมีเนื้อติดคงเป็นไปไม่ได้
แม้ว่าสัตว์น้อยสองตัวนี้ดูเหมือนฉลาดมาก แต่ตอนนี้จี้หยวนกลับมองความพิเศษอะไรไม่ออก ถึงอย่างไรทั้งสองชาติก็เห็นสัตว์ฉลาดมาไม่น้อย ยามนี้คอยสังเกตบนหลังคาเพราะรู้สึกสนใจเท่านั้น
ถึงอย่างไรกระดูกและเศษอาหารก็ไม่มาก สัตว์น้อยสองตัวแย่งกันแทะพวกกระดูกชิ้นเล็ก เลียไขบนก้างปลาบางส่วน ที่เหลือเป็นแค่กระดูกชิ้นใหญ่ซึ่งกินไม่ได้แล้ว
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ถึงตอนท้ายสัตว์น้อยสองตัวยังคาบกระดูกไปคนละชิ้น คาดว่ากินไม่ได้แค่ลิ้มรสชาติก็ดี
ทว่าเพิ่งก้าวออกจากอารามเต๋าไปเจ็ดแปดจั้ง บนต้นไม้หนึ่งมีนกฮูกกระพือปีกโฉบลงมากะทันหัน
“กี้ๆ…กี้ๆๆ…”
สัตว์น้อยสองตัวบนพื้นรู้สึกถึงอันตราย ส่งเสียงร้องกระชั้นถี่ระลอกหนึ่ง ส่วนนกฮูกกางกรงเล็บคมกริบออกมาแล้ว
“กี้…”
ภายใต้เสียงหวีดร้องของสัตว์ สัตว์น้อยหนึ่งในนั้นถูกนกฮูกตะครุบ
เสียงกระพือปีกตรงนั้น เสียงคำรามของสัตว์ เสียงร้องของนกฮูกพลันดังเซ็งแซ่
ตั้งแต่ต้นจนจบจี้หยวนนั่งบนหลังคาห้องครัวอารามเต๋าคอยฟังคอยมอง ได้ยินชัดเจนมากแต่ไม่ถือว่ามองเห็นชัดแจ้ง รู้เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แก่ใจ เดิมทีนี่ก็เป็นวิถีการเอาตัวรอดของสรรพสิ่ง
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เดิมสัตว์คล้ายพังพอนอีกตัวควรหนีไปทันที ตอนนี้กลับแยกเขี้ยวกางกรงเล็บพุ่งเข้าหา ปากโค้งเหมือนเคียว กรงเล็บคมกริบเหมือนดาบ ต่อสู้กับมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
นกฮูกกระพือปีกคิดบินขึ้นไป สัตว์อีกตัวภายใต้กรงเล็บดิ้นรนไม่หยุด ถึงขั้นหันกลับมากัดขาของนกฮูก
ฟุ่บ…
ภายใต้ความเจ็บปวดนกฮูกกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง สะบัดกรงเล็บคมกริบ ขณะเดียวกันยังใช้จะงอยปากแหลมคมจิกพังพอนใต้ฝ่าเท้า ไม่นานก็ทำให้พังพอนตัวนั้นผิวแตกเลือดอาบ
พังพอนอีกตัวพุ่งเข้าหานกฮูกเหมือนคลุ้มคลั่ง กัดปีกของนกฮูก
“ฮููก…”
พึ่บพั่บๆๆๆ…
ในที่สุดนกฮูกก็ปล่อยเหยื่อ กระพือปีกบินจากไป ส่วนสัตว์น้อยสองตัวต่างบาดเจ็บ ตัวที่ถูกจับตอนแรกดูเหมือนหายใจรวยรินกว่า ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังดิ้นรนขยับร่างกาย หลบเข้าพุ่มไม้ด้านข้างเต็มกำลัง จี้หยวนรู้ว่าพวกมันไม่จากไป หรือกล่าวว่าไม่มีแรงและไม่กล้าจากไปชั่วคราว
การตอบสนองเมื่อครู่ไม่อาจอธิบายว่าสัตว์น้อยสองตัวนี้ตื่นรู้มีปัญญาแล้ว สัตว์ตื่นรู้มีปัญญาต่างจากความฉลาดและความรู้สึกติดตัว สติปัญญาคือจิตตื่นรู้ ‘จิตวิญญาณ’ นำหน้าตลอด สื่อถึงการเริ่มเปลี่ยนแปลงแก่นแท้
แต่ไม่อาจปฏิเสธว่าสัตว์ตื่นรู้มีปัญญาล้วนเคยเป็นสัตว์ป่าซึ่งฉลาดเปี่ยมความรู้สึกมาก่อน
จี้หยวนลุกขึ้นเตรียมหันหลังจากไป แต่ก่อนไปเขาครุ่นคิดเล็กน้อย ยื่นมือสะบัดโบก หางปลาสดใหม่ชิ้นหนึ่งที่เหลืออยู่ในห้องครัวลอยออกมา หนักประมาณสองสามชั่ง
ติดส่วนเนื้อปลาเล็กน้อย แทรกปราณวิญญาณบางเบาเลือนราง จากนั้นค่อยใช้ต้นหญ้าสองสามต้นบนพื้นแทนเชือก คล้องหางปลาพาดไว้ใต้ชายคา
หางปลาหย่อนลงริมหน้าต่างข้างต้นไม้นอกประตูห้องครัว กวัดแกว่งไปมาอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนว่าใกล้ตกลงพื้นแต่กลับไม่ร่วงหล่น หลังจากผ่านไปราวเจ็ดแปดลมหายใจรัศมีการแกว่งอ่อนกำลังลงทีละน้อย ต่อมาค่อยหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
หางปลานั้นสูงจากพื้นไม่เกินหนึ่งฉื่อ ปราณวิญญาณในนั้นมีแค่เล็กน้อย เมื่อกินเนื้อนี้นอกจากมีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บแล้วยังสามารถเติมเต็มท้อง นอกจากนี้ไม่มีประโยชน์อื่นอีก
ยามหางปลานิ่ง คนบนหลังคาห้องครัวหายไปแล้ว สัตว์น้อยสองตัวนั้นจะกล้ามาคาบหางปลาไปหรือไม่คงไม่ชัดเจน ถึงขั้นว่านกฮูกตัวนั้นหรือสัตว์ป่าอื่นมาคว้าเนื้อปลาไปก็ไม่แน่
‘หากเช้าวันรุ่งขึ้นหางปลายังอยู่ค่อยนำมาทำอาหารแล้วกัน’
จี้หยวนคิดเช่นนี้ก่อนกลับเข้าห้อง ยังไม่เอนกายก็มีความคิดเข้ามากะทันหัน เขาหยิบกระดาษขาวยับย่นแผ่นหนึ่งออกมาจากห่อผ้าข้างเตียง ก่อนออกจากห้องมาอีกครั้ง
ต่อจากนั้นจี้หยวนก้าวเท้าแผ่วเบาราวกับกลุ่มควัน ย่างเหยียบบนหินผาต่อเนื่อง คล้ายสายน้ำกระเซ็นภายในลำธาร มุ่งไปทางยอดเขาหมอกอำพราง
กระบี่เครือเขียวซึ่งเดิมพิงข้างเตียงในห้องรับรู้ว่าจี้หยวนออกจากอารามเต๋าปีนป่ายไปด้านบน มันลอยขึ้นมาทันที ทะลุหน้าต่างห้องตามเจ้านายของตนไป
เดิมอารามเขาเมฆาตั้งอยู่เหนือไหล่เขาหมอกอำพราง ไม่ได้ตั้งอยู่บนยอดเขา แต่ตำแหน่งอารามเขาเมฆาสูงเพียงพอ จี้หยวนปีนขึ้นยอดเขาใช้เวลาแค่สิบกว่าลมหายใจ
ยอดเขาหมอกอำพรางครองพื้นที่ว่างประมาณหกถึงเจ็ดจั้ง ไม่มีก้อนหินต้นไม้อะไรบดบัง กอปรกับหน้าหลังโปร่งโล่ง ลมภูเขาแรงกว่าเบื้องล่างมาก
จี้หยวนนั่งขัดสมาธิบนหินใหญ่ราบเรียบก้อนหนึ่ง หยิบกระดาษขาวออกมาจากอก สองมือกดลูบกระดาษสองด้าน กระดาษขาวกลับมาราบเรียบใหม่อีกครั้ง
มือซ้ายรองนิ้วชี้ขวาแทนพู่กัน จี้หยวนเขียนอักษรบนกระดาษขาวเช่นนี้ แม้ว่าไม่มีหมึกเขียน แต่กลับมีพลังอยู่บนนั้น ถือเป็นการผสมผสานระหว่างการบัญชาและวัตถุสื่อจิต สำหรับการคิดค้นเช่นนี้จี้หยวนช่ำชองนัก
เมื่อเขียนเสร็จเขาซึมซับเล็กน้อย จี้หยวนสร้างหลักประกันโดยแทรกพลังละเอียดบางส่วนเพิ่มเข้าไปปกคลุมกระดาษ
“อืม ต่อจากนี้คงต้องทดสอบระดับฝีมือของเราว่าถดถอยหรือไม่แล้ว น่าจะพับอย่างนี้กระมัง”
จี้หยวนพึมพำประโยคหนึ่ง เริ่มลงมือพับกระดาษขาวแผ่นนี้ ลองพับทบซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระดาษเปลี่ยนจากยับย่นเป็นราบเรียบ ผ่านไปหลายครั้งนกกระดาษงามประณีตตัวหนึ่งปรากฏในมือเขา
“โอ้…พอใช้ได้ๆ!”
มองนกกระดาษตัวนี้โดยละเอียด หลังจากยืนยันความงามประณีตของมันซ้ำแล้วจึงสบายใจ จากนั้นจี้หยวนใช้นิ้วชี้แตะน้ำลายบนลิ้นตนเล็กน้อย เขียนอักษรล่องหนบนปีกสองข้างของนกกระดาษ ด้านซ้ายคือ ‘กระ’ ด้านขวาคือ ‘พือ’
“ประมาณนี้แล้วกัน รบกวนเจ้าสักรอบ”
ประโยคนี้จี้หยวนไม่ได้พูดกับนกกระดาษ แต่พูดกับกระบี่เครือเขียวด้านหลัง นกกระดาษตัวน้อยนี้ไม่มีทางบินข้ามพันภูผาหมื่นวารีได้โดยสิ้นเชิง
จี้หยวนดึงผมของตนออกมาเส้นหนึ่ง พันคอนกกระดาษสองสามรอบ จากนั้นค่อยผูกกับด้ามกระบี่เครือเขียว
“ไปเถอะ”
ยามสิ้นเสียงเจ้านาย กระบี่เครือเขียวพานกกระดาษแหวกมรสุมลอยขึ้นฟ้าสูงทันที ใช้เจตกระบี่ปกป้องตัวนกกระดาษ จากนั้นค่อยกลายเป็นแสงเคลื่อนมุ่งไปทางจังหวัดจิงจี
มองส่งกระบี่เครือเขียวจากไป จี้หยวนกลับไม่ลงเขา ด้วยไม่ได้ปีนยอดเขามาเพื่อส่งสาร ทำที่อารามเขาเมฆาก็ย่อมได้ สาเหตุหลักคือมาดูพระอาทิตย์ขึ้น
แม้แต่นกกระดาษก็แค่คิดอยากลองทำชั่วคราว
เฝ้ารอกลางลมรัตติกาลมาเกือบครึ่งคืน ตรงขอบฟ้ามีแสงขาวโผล่พ้นแล้ว จากนั้นค่อยปรากฏแสงทองเลือนราง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งทั่วเขาเมฆาราวกับดวงตะวันพ้นทะเลหมอก…
ไม่พูดถึงหมอกเมฆปราณวิญญาณรวมตัว ตอนนี้จี้หยวนเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ ทิวทัศน์งามยามดวงตะวันโผล่พ้นทะเลหมอกชาตินี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
…
ตรงเขาเมฆาพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่ท้องฟ้าจังหวัดจิงจียังมืดสลัว
กระบี่เครือเขียวข้ามเขตไกลหลายพันลี้ แหวกมรสุมลงมาบนฟ้าสูงเหนือแม่น้ำเทียมฟ้าแห่งรัฐจี ลอยเหนือยอดศาลเทพีแม่น้ำริมท่าเรือจ้วงหยวนอย่างแม่นยำ
ตัวกระบี่พลันส่งเสียงครวญเล็กน้อย เส้นผมจี้หยวนตรงด้ามกระบี่หลุดออก พันรอบคอนกกระดาษทั้งเส้น
ยามนกกระดาษทิ้งตัวถูกลมพัดสองสามครา เรื่องอัศจรรย์ปรากฏ
นกกระดาษถึงกับเริ่มกระพือปีก ทรงตัวตามแรงลมโบก จากนั้นค่อยกระพือปีกกระดาษโรยตัวลงศาลเทพีแม่น้ำ
กระบี่เครือเขียวรอกลางอากาศครู่หนึ่ง เมื่อเห็นนกกระดาษโรยตัวเข้าศาล มันจึงลอยสู่ห้วงนภาใหม่อีกครั้ง
ภายในศาลเทพแม่น้ำเทียมฟ้า
นกกระดาษตัวหนึ่งบินเหมือนนกไร้สุ้มเสียง ลอดระเบียงศาลลอยเข้าเรือน สุดท้ายค่อยมุดสู่โถงหลักผ่านลมหน้าต่าง
บินอ้อมรูปปั้นเทพีแม่น้ำสองสามรอบ นกกระดาษตกสู่มือขวาของรูปปั้นเทพ เปล่งแสงเล็กน้อยก่อนกลับสู่ความสงบ
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ มีหญิงสาวอ่อนโยนสวมชุดหรูคนหนึ่งรีบเร่งมา ศาลเจ้าที่ยังไม่เปิดประตูไม่อาจขวางฝีเท้าของนางได้ สุดท้ายนางเปิดประตูเรือนหลักก้าวเข้ามาด้านใน
ธิดามังกรซึ่งเข้าสู่โถงหลักเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องมือขวาของรูปปั้นเทพ นางยื่นมือสะบัดโบก นกกระดาษตัวหนึ่งลอยสู่กลางฝ่ามือ
นกกระดาษโรยตัวลงกลางฝ่ามือธิดามังกรทั้งยังกระพือปีกสองครา ทำให้ธิดามังกรจิ้มเล่นด้วยความสงสัยสองครั้ง แต่นกกระดาษกลับไม่มีชีวิตชีวาอีก
“นี่คือวิชาอะไร น่าสนุกนัก เส้นผมนี้เป็นของท่านอาจี้หรือ”
นางดึงเส้นผมยาวบนตัวนกกระดาษออกตามจิตใต้สำนึก นกกระดาษในมือธิดามังกรสำแดงผลจากวิชาวัตถุสื่อจิต ทยอยถ่ายทอดสารของจี้หยวนให้ธิดามังกรอิงรั่วหลี
ครู่ใหญ่เมื่อถ่ายทอดสารเสร็จ ธิดามังกรมองนกกระดาษอย่างอึ้งงันด้วยสีหน้ายากจะเชื่อ มองโดยละเอียดหลายครั้ง ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นกระดาษเซวียนจื่อธรรมดาแผ่นหนึ่ง
“คงไม่กระมัง…กระดาษแผ่นเดียวบินมาหกพันลี้หรือ นี่…”