เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 164 เจ้าที่ผู้หลบซ่อน
ตอนที่ 164 เจ้าที่ผู้หลบซ่อน
ฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดสลัวทีละน้อย ถ้าปล่อยให้พวกหวงซิ่งเยี่ยลงเขาเวลานี้คงเป็นไปไม่ได้
นักพรตชิงซงเข้าครัวทำอาหารอีกครั้ง ใช้วัตถุดิบซึ่งฉีเหวินซื้อกลับมากับของบางส่วนที่หวงซิ่งเยี่ยนำมาแปรรูป ทำอาหารเย็นซึ่งเพียงพอสำหรับทุกคน
อาจเป็นเพราะเจอนักพรตชิงซงแล้วกระมัง เมื่ออยู่อารามเขาเมฆานี้หวงซิ่งเยี่ยรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะยามระบายความในใจช่วงบ่ายเสร็จ ความรู้สึกเปลี่ยนเป็นเบิกบานเล็กน้อย
คืนนั้นหวงซิ่งเยี่ยซึ่งช่วงนี้ต่อมอาหารไม่รับรสกินไปไม่น้อย ทั้งยังรินสุราดื่มสองสามจอก
ส่วนเรื่องที่พักยิ่งจัดการง่าย จี้หยวนยกห้องของตนเองให้โดยตรง ภายในรองฟางข้าวคลุมผ้าพอสำหรับหกคนนอน หวงซิ่งเยี่ยเองไม่ใช่คนจุกจิกนอนเตียงเดียวกับบ่าวไม่ได้
ส่วนจี้หยวนแน่นอนว่าวิ่งไปอยู่ห้องสองนักพรตทั้งนอนเตียงเดียวกับพวกเขา
รอเมื่อทุกคนหลับหมดแล้ว ภายในห้องฉีเหวินหลับจนส่งเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ สุดท้ายนักพรตชิงซงซึ่งกระวนกระวายมากที่สุดทนไม่ไหว เริ่มเอ่ยเสียงเบาถามจี้หยวน
“ท่านจี้ ข้ารู้ว่าท่านยังไม่หลับ ท่านคงคิดแผนรับมือช่วยหวงซิ่งเยี่ยได้แล้วกระมัง”
แน่นอนว่าจี้หยวนยังไม่หลับ ทั้งรู้ว่านักพรตชิงซงย่อมนอนไม่หลับ ยามนี้เมื่อได้ยินฉีเซวียนถามอย่างกระวนกระวาย เขากล่าวหยอกล้อประโยคหนึ่ง
“แน่นอนว่ามีแผนรับมือ แผนรับมือก็คือนักพรตชิงซงตามหวงซิ่งเยี่ยลงเขาไปพร้อมกัน หากมีตัวแปรอะไรจะได้ช่วยเขาสังหารปีศาจกำจัดมาร”
นักพรตชิงซงฟังแล้วใจสั่นระรัว
“โธ่เอ๋ย…ท่านจี้ ท่านรู้ว่าข้ามีน้ำยาแค่ไหน ทำนายดวงผู้คนพอได้ สังหารปีศาจกำจัดมาร…แม้แต่ผีข้ายังไม่เคยเห็น เรื่องนี้ยากเกินไปหน่อยหรือไม่ อายุขัยข้าเพิ่งเติมเต็ม เรื่องแบบนี้ถ้าพลาดท่าสิ้นชีพเล่า…”
จี้หยวนไม่เขย่าขวัญเขาแล้ว เขาบอกให้นักพรตชิงซงรับปาก แน่นอนว่ามีแผนของตน
“หึๆๆ…นักพรตชิงซงย่อมตามหวงซิ่งเยี่ยลงเขา แต่ไม่ต้องเป็นนักพรตชิงซงตัวจริง”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบอย่างลึกล้ำเกินคาดเดา พลังจี้หยวนหมุนวนเล็กน้อย บนตัวเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จมูกกว้างดั้งยุบลงเล็กน้อย คิ้วตั้งมุมออกยาว บางมุมเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ริ้วรอยตรงหน้าผาก รอยตีนกาตรงหางตา รวมถึงสีผิว กล้ามเนื้อ ไฝบนหน้าล้วนเปลี่ยนไป
หลังจากผ่านไปสองลมหายใจ นักพรตชิงซงสองคนประจันหน้ากัน
คืนนี้หมู่ดาวเจิดจรัสจันทร์กระจ่างลอยเด่น ตรงหน้าต่างมีแสงดาวลอดผ่าน หลังจากปรับสายตาจนคุ้นชินย่อมมองเห็นในระดับหนึ่ง
ยามนี้นักพรตชิงซงเบิกตาโพลง กลั้นหายใจพูดไม่ออก
การเปลี่ยนรูปลักษณ์ที่แท้จริงจี้หยวนยังไม่เคยเรียน ความจริงการเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายในม้วนหยกของมังกรเฒ่าคือ ‘การเปลี่ยนเป็นมนุษย์’ จี้หยวนต้องหยั่งรู้เต็มกำลังค่อยหาวิธีปรับเปลี่ยนจึงเรียนรู้ได้
โดยแก่นแท้การเปลี่ยนรูปลักษณ์เช่นนี้ไม่อาจเทียบกับวิชาแปลงกายเจ็ดสิบสองร่างของซุนหงอคง มีเงาวิชาบังตาอยู่ภายใน ปัจจุบันนำมาอ้างอิงเล็กน้อยถือว่าได้ผล
กอปรกับจี้หยวนและนักพรตชิงซงรูปร่างไม่ต่างกันนัก ใช้วิชาบังตาซึ่งสมบูรณ์แบบของตน ‘เปลี่ยนหน้า’
เดิมวิชาของเขามีเอกลักษณ์เทียบเท่าอัศจรรย์ ยามไม่ปรับเปลี่ยนไปมาแทบไม่มีคลื่นสะเทือน กอปรกับอ้างอิงทักษะ ‘การเปลี่ยนรูปลักษณ์’ ทำให้การเปลี่ยนหน้ามองออกยากยิ่ง จากนั้นจึงสวมชุดนักพรตของนักพรตชิงซงกับเปลี่ยนทรงผม
ถึงตอนนั้นคาดว่าบนโลกนี้คงมีแค่ฉีเหวินซึ่งอยู่ร่วมกับนักพรตชิงซงทุกเช้าค่ำที่สามารถมองออก คนอื่นคงมองไม่ออก หวงซิ่งเยี่ยกับคนนอกรวมถึงเทพผีทั่วไปล้วนแยกแยะไม่ได้
พูดให้ถูกคือการเปลี่ยนรูปลักษณ์ยามนี้ คล้ายการใช้วิชาร่วมกับการแต่งหน้าแปลงโฉมของยุทธภพ แต่ร่องรอยของทั้งสองอย่างเลือนรางมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น ไม่พูดถึงฉีเหวินซึ่งตอนแรกทำหน้าเหมือนเห็นผี กระนั้นนักพรตฉีสองคนแห่งอารามเต๋ายังส่งแขกลงเขา สุดท้ายนักพรตชิงซงก็ตามพวกหวงซิ่งเยี่ยออกจากเขาไปพร้อมกัน
ส่วนท่านจี้ได้ยินว่าเมื่อวานโดนลมเย็นยังไม่ตื่น
ภายในอารามเขาเมฆา นักพรตชิงซงซึ่งหลบอยู่ในห้องรอทุกคนลงเขา ผ่านไปครู่ใหญ่ฉีเหวินจึงกลับมา
“อาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว!”
ฉีเหวินวิ่งกลับมาอย่างตื่นเต้น เข้าห้องมาเห็นฉีเซวียนถอนใจโล่งอกดื่มชา
“อาจารย์ ทำไมใบหน้าท่านจี้ถึงเหมือนท่าน นี่คือวิชาแปลงโฉมของยอดฝีมือบนยุทธภพใช่หรือไม่ สอนข้าได้หรือไม่”
นักพรตชิงซงเคาะกะโหลกฉีเหวินเบาๆ
“วิชาแปลงโฉมอะไร นั่นคือวิชาเซียน บอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าท่านจี้เป็นเทพเซียน”
ฉีเหวินลูบหน้าผากกล่าวพึมพำตามจิตใต้สำนึก
“ท่านจี้บอกเองว่าเขาไม่ใช่…”
…
เมื่อออกจากเขตเขาเมฆา เส้นทางราบรื่นขึ้นทันที หรือกล่าวว่าใต้ฝ่าเท้าพลันมีทางรองรับ อย่างน้อยก็ราบเรียบ
พวกหวงซิ่งเยี่ยทิ้งรถม้าไว้ตรงหมู่บ้านอวิ๋นโข่ว เมื่อวานขึ้นเขาใช้ไม่ได้ วันนี้กลับไปแน่นอนว่าไม่ต้องใช้สองขาเดินอีก
รถม้ารวมสองคัน คันหนึ่งมีประทุนอีกคันเป็นรถลาก ไม่ได้กลับอำเภอตงเยวี่ย แต่มุ่งตรงไปเมืองเม่าเฉียน
บนรถม้าหวงซิ่งเยี่ยเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้ง
“นักพรตชิงซง พวกเราไปศาลหลักเมืองก่อนจะเหมาะกว่าหรือไม่”
“ไม่ต้อง ในเมื่อท่านเคยเซ่นไหว้เทพหลักเมืองแล้ว ตอนนี้เทพหลักเมืองอำเภอตงเยวี่ยย่อมรู้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจส่งเทพผีไปสำรวจศาลเจ้าที่เมืองเม่าเฉียนแล้ว”
ขณะกล่าวสายตาจี้หยวนมองผ่านม่านรถม้าไปข้างนอกตลอด แต่ไม่เจอความผิดปกติอะไร
“นักพรตชิงซง หากพวกเราหลบอยู่ในอำเภอจะปลอดภัยกว่าหรือไม่ บ้านฮูหยินข้าอยู่ในเมือง บรรดาบุตรล้วนพักอยู่กับนางในเมืองชั่วคราว…”
“เถ้าแก่หวงทำถูกแล้ว แต่หนีพ้นวันพระย่อมไม่พ้นวันเพ็ญ เรื่องนี้ต้องเผชิญหน้า เทพผียังมีช่วงผ่อนปรน คนทั่วไปยิ่งเป็นเช่นนี้ ต่อให้อยู่อำเภอตงเยวี่ยตลอดก็ยากรับรองว่าจะปลอดภัย จัดการเรื่องราวให้แล้วเสร็จดีกว่า”
“อ้อๆ ท่านนักพรตกล่าวถูกต้อง!”
เมื่อกล่าวประโยคเหล่านี้จบ จี้หยวนแค่หลับตาบำรุงจิต ทำท่าเหมือนไม่อยากพูดมากอีก ต่อให้หวงซิ่งเยี่ยกังวลก็ได้แต่กระซิบคุยกับลี่เหมี่ยนที่อยู่ด้านข้าง
เวลาประมาณเที่ยงวัน รถม้ามาถึงนอกเมืองเม่าเฉียน บ่าวกุมบังเหียนกล่าวเตือนคนในรถประโยคหนึ่ง
“นายท่าน ใกล้ถึงบ้านแล้วขอรับ”
หวงซิ่งเยี่ยยังไม่เอ่ยวาจาก็เห็นนักพรตชิงซงซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าลืมตาขึ้น
“ไป ไปดูศาลเจ้าที่ก่อน”
“เฮ้ย! อาฝู คุมบังเหียนไปศาลเจ้าที่!”
“ขอรับนายท่าน!”
บ่าวตอบพลางปรับทิศทางรถม้า ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง รถม้าจอดอยู่นอกศาลเจ้าที่ จี้หยวนกับพวกหวงซิ่งเยี่ยทยอยลงรถ ข้ารับใช้ไม่ได้ไปด้วย มีแค่พวกลี่เหมี่ยน หวงซิ่งเยี่ย นักพรตชิงซงก้าวเดินไป
ศาลเจ้าที่อยู่ค่อนไปทางใต้ของเมืองเม่าเฉียน ตอนนี้นอกจากช่างฝีมือที่ตระกูลหวงหามากับผู้อาวุโสของเมืองซึ่งเตรียมการก่อสร้างศาลเจ้าแล้ว ไม่มีชาวบ้านคนอื่นมุงดู
จี้หยวนหยุดอยู่นอกศาลสิบกว่าก้าว กล่าวเสียงเบากับหวงซิ่งเยี่ยและลี่เหมี่ยน
“หน้าศาลมีผู้ลาดตระเวนทิวาอยู่ พวกท่านอย่าพูดเกินความจำเป็น”
“ผู้ลาดตระเวนทิวา?”
หวงซิ่งเยี่ยกล่าวสงสัยอย่างระวัง
“คือเทพลาดตระเวนตอนกลางวันที่กล่าวถึงกันบ่อยๆ เทพหลักเมืองอำเภอตงเยวี่ยน่าจะส่งมา”
“อ้อๆๆ! เข้าใจแล้วๆ!”
หวงซิ่งเยี่ยสงบใจลงมาก ลี่เหมี่ยนที่อยู่ด้านข้างสงสัยยิ่ง จ้องมองศาลเจ้าเขม็ง แต่ไม่เห็นความพิเศษอะไร
ทั้งสามคนมาถึงหน้าศาลเจ้าที่ ช่างฝีมือกับผู้อาวุโสดูแลศาลรีบทักทายหวงซิ่งเยี่ย แน่นอนว่าดึงดูดความสนใจของผู้ลาดตระเวนทิวาสองคน มองมาทางหวงซิ่งเยี่ยพร้อมกัน
“คนผู้นี้ก็คือหวงซิ่งเยี่ย”
“ไม่ผิด เขาไปเซ่นไหว้ศาลหลักเมืองรายงานสถานการณ์ที่นี่”
“นักพรตคนนี้เป็นใครกัน”
“คล้ายว่าเป็นนักพรตชิงซงแห่งอารามเขาเมฆา คนที่มาตั้งแผงหน้าศาลบ่อยๆ”
ยามพูดคุยผู้ลาดตระเวนทิวาสองคนประเมินเขาโดยละเอียดอยู่ข้างหวงซิ่งเยี่ย ต่อให้จี้หยวนเห็นก็ไม่เอ่ยเตือนหวงซิ่งเยี่ย เขาจะได้ไม่ตื่นตูม
เมื่อสังเกตรูปปั้นเทพภายในศาลโดยละเอียด จี้หยวนพบว่ารูปปั้นเทพมีลักษณะพิเศษซึ่งไม่เหมือนคนหลายจุด ปัจจุบันควันธูปจางมาก กลิ่นอายมรรคเทพที่เหลืออยู่บนรูปปั้นเทพก็ไม่แข็งแกร่ง เห็นชัดว่าสองวันนี้ไม่ได้มาศาลเจ้าที่
ทั้งมองแขนรูปปั้นเทพที่วางอยู่ตรงมุม นายช่างคนนั้นกำลังถมดินค้ำยัน แต่ยังไม่เชื่อมกับรูปปั้นเทพ บนนั้นไม่มีปราณมารใดเหลืออยู่ คล้ายถูกคนฟาดตกลงมามากกว่า
‘หรือว่าเป็นแค่ภัยมนุษย์?’
จี้หยวนมองดูครู่หนึ่งก่อนกลับจวนตระกูลหวงซึ่งอยู่ในเมืองพร้อมพวกหวงซิ่งเยี่ย ผู้ลาดตระเวนทิวาสองคนก็ตามกลับมาพร้อมกัน
แน่นอนว่าจวนตระกูลหวงเทียบกับจวนอ๋องและจวนตระกูลฉู่ในจังหวัดจิงจีไม่ได้ แต่แถบอำเภอตงเยวี่ยนี้ย่อมถือว่าเป็นเรือนใหญ่มั่งคั่งแล้ว
ด้วยการมาเยือนของนักพรตชิงซง หวงซิ่งเยี่ยเตรียมสุราอาหารเลิศรสมาต้อนรับ
แต่ช่วงกลางวันก่อนรับประทานอาหาร จี้หยวนกลับบอกให้ข้ารับใช้ตระกูลหวงจัดเตรียมป้ายไม้ขนาดเล็กมาสองแผ่น ทั้งบอกให้คนนำสุราอาหารบางส่วนส่งมาห้องรับรองที่ตระกูลหวงเตรียมไว้ จากนั้นเขาเข้าห้องไปลำพัง ทั้งกำชับเป็นพิเศษว่าอย่ารบกวนชั่วคราว
หวงซิ่งเยี่ยหมดหนทาง จำต้องไปกินข้าวกับลี่เหมี่ยนรวมถึงครอบครัวที่เหลือ
ภายในห้องรับรอง จี้หยวนถือพู่กันเขียนลงบนป้ายไม้ทั้งสองว่า ‘ทูตลาดตระเวนทิวาฝ่ายขวาแห่งอำเภอตงเยวี่ย’ และ ‘ทูตลาดตระเวนทิวาฝ่ายซ้ายแห่งอำเภอตงเยวี่ย’
จากนั้นค่อยปักธูปหอมสามดอกบนชามข้าวสารใบใหญ่
ผ่านไปไม่นานเทพลาดตระเวนทิวาสองคนถูกดึงดูดมา เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
“นักพรตชิงซง ที่แท้ท่านก็มองเห็นพวกเราด้วยหรือ”
เมื่อเห็นผู้ลาดตระเวนทิวาคนหนึ่งในนั้นเอ่ยถาม จี้หยวนประสานมือไปทางพวกเขา
“ก่อนหน้านี้คนธรรมดามากเกินไป ข้ารู้กฎเกณฑ์ของศาลมืดจึงไม่ทักทายทูตทั้งสองทันที โปรดอภัยด้วย”
ผู้ลาดตระเวนทิวาสองคนมองนักพรตคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยปาก
“อืม พวกเราไม่กล่าวโทษท่าน สุราอาหารโต๊ะนี้อุดมสมบูรณ์นัก”
“คิดเชิญท่านทั้งสองมาลิ้มรสด้วยกัน!”
“หึๆ ประเสริฐๆ!”
ผู้ลาดตระเวนทิวาสองคนเผยรอยยิ้ม ตรงศาลหลักเมืองอำเภอเล็กๆ ผู้ลาดตระเวนทิวาราตรีไม่มีรูปปั้นอย่างแท้จริง ทุกวันของเซ่นไหว้ยากจะตกมาถึงพวกเขา น้อยนักที่จะมีสุราอาหารอุดมสมบูรณ์ให้ลิ้มรส
จี้หยวนกินพลางพูดคุยกับผู้ลาดตระเวนสองคน เทพผีกลืนปราณส่วนเขากินอาหารไม่ขัดกัน แค่กินเสร็จแล้วมีอาหารบางส่วนเหมือนไม่ได้แตะต้องเท่านั้น
ยามพูดคุยทำให้รู้ว่าสองวันสองคืนนี้มีผู้ลาดตระเวนคอยมาตรวจสอบเมืองเม่าเฉียน แต่มาเพื่อตามหาเจ้าที่เป็นหลัก ดูเหมือนเจ้าที่คนนี้กำลังหลบซ่อน แม้แต่คนของศาลมืดยังหาเขาไม่เจอ
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
จี้หยวนฟังถึงตรงนี้แล้วประหลาดใจ เจ้าที่ซ่อนตัวเองหรือ
“จริงแท้แน่นอน ด้วยเรื่องนี้น่าสงสัย แม้ว่าศาลมืดไม่เคยตรวจพบร่องรอยของปีศาจร้าย แต่กลับส่งคนมาตลอด”
ตอนนี้สุราอาหารหมดลงแล้ว จี้หยวนขมวดคิ้วใคร่ครวญครู่หนึ่งค่อยกล่าวกับยมทูตดำสองคน
“ทูตลาดตระเวนทิวาทั้งสอง ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ตอนนี้หวังว่าท่านทั้งสองจะกลับไปรายงานใต้เท้าหลักเมือง บอกว่าชะตาชีวิตของหวงซิ่งเยี่ยไม่ธรรมดา คล้ายว่ามีปีศาจร้ายกาจวางแผนอะไร หวังว่าศาลมืดจะส่งคนมาตรวจสอบเพิ่ม”
ผู้ลาดตระเวนทิวาสองคนสบตากัน
“พวกเราจะกลับไปรายงาน รอใต้เท้าหลักเมืองตัดสินใจ”
“รบกวนท่านทั้งสองแล้ว!”
จี้หยวนประสานมือส่งผู้ลาดตระเวนทิวาสองคนจากไป หลังจากรอครู่หนึ่ง ครานี้สายตาเขาวาววาบ ยกเท้าย่ำกลางห้องรับรองเบาๆ
พื้นดินกระเพื่อมเกิดแสงโค้งราวกับเกลียวคลื่น
“เชิญเจ้าที่เมืองเม่าเฉียนมาพบ!”
ขอแค่เจ้าเป็นผู้เชื่อมต่อกับปราณพิภพแห่งนี้ด้วยปรารถนาเป็นเจ้าที่ ต่อให้หลบก็หลบไม่พ้น ‘การคุมเทพ’
ภายในห้องควันเขียวกลุ่มหนึ่งหมุนวนขึ้นมาจากพื้นดิน ‘คน’ สันหลังโก่งงอสวมชุดสีดินเหลืองปรากฏตัวหน้าจี้หยวน ทั่วใบหน้าเต็มไปด้วยขนเหลือง แต่กลับมีเครื่องหน้าทั้งห้าเหมือนคน
เมื่อเห็นจี้หยวนเจ้าที่คนนี้รีบค้อมตัวคารวะต่อเนื่อง
“เจ้าที่เมืองเม่าเฉียนคารวะท่านเซียนๆ! ท่านเซียนเป็นผู้สูงส่งมรรคอัศจรรย์ ท่านมาก็ดีแล้วๆ! ท่านต้องออกหน้าแทนข้าน้อยนะขอรับ!”
ท่าทางของเจ้าที่คนนี้คล้ายหวงซิ่งเยี่ยยามขึ้นเขาขอความช่วยเหลือเมื่อวานยิ่งนัก ทำเอาจี้หยวนหัวคิ้วขมวดมุ่นอีกครั้ง
“เจ้าที่ เชิญนั่งก่อนค่อยพูด ทำไมศาลมืดมาหาแต่ท่านกลับไม่ปรากฏตัว”
เจ้าที่คนนี้เหมือนรู้จักวิชาอัศจรรย์คุมเทพ ตอนนี้เขามั่นใจเต็มเปี่ยม แต่กลับยืนกรานว่าอยากยืนต่อ
“เรียนท่านเซียน หวงซิ่งเยี่ยคนนี้นำพาสิ่งร้ายกาจมา ไม่แน่ว่าเทพหลักเมืองอำเภอตงเยวี่ยจะกำราบอยู่ ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้เรื่องราวช่วยตระกูลหวง ยามนี้หากท่านไม่มา ข้ามีหรือจะกล้าปรากฏตัว!”