เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 165 หวาดกลัวกันและกัน
ตอนที่ 165 หวาดกลัวกันและกัน
ดูจากท่าทางสุขุมของเจ้าที่ เหมือนกับว่ารู้เรื่องอยู่บ้างแล้ว จี้หยวนจึงยิ่งสงสัยกว่าเดิม
“สิ่งร้ายกาจอะไรหรือ”
เจ้าที่กดเสียงเบากล่าว
“ผสานกับคนแล้วไร้ปราณปีศาจร้าย ดูเหมือนคนแปลกประหลาด ทว่าในดวงตาซ่อนความดำมืด ลิ้นยาวถึงในท้อง ไม่ใช่ผี ไม่ใช่คน ไม่ใช่เทพ ข้าไม่กล้ายืนยันว่าเป็นอะไร ทว่าน่ากลัวมากจริงๆ…”
ขณะพูดอยู่นั้น เจ้าที่ลูบแขนซ้ายตามสัญชาตญาณ ราวกับตนเองรู้สึกได้ถึงตอนที่รูปปั้นเทพถูกทำลายเช่นกัน
“วันนั้นตอนที่หวงซิ่งเยี่ยมาขอลายลักษณ์ที่ศาลเจ้าของจ้า ความจริงข้ามองอะไรไม่ออก แต่ตระกูลหวงมีบุญคุณตั้งศาลให้ข้า ข้าจึงย้ายปราณวิญญาณไปที่ตัวหวงซิ่งเยี่ย เพื่อให้ลายลักษณ์เขาแม่นยำมากขึ้น…”
การโยนไม้เสี่ยงทายมีสองสถานการณ์ หนึ่งคือจิตวิญญาณเทพอย่างเทพหลักเมืองมีความเกี่ยวข้องกับผู้ร้องขอโดยตรง รู้สถานการณ์อยู่บ้าง ถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่างให้ได้โดยตรง
อีกสถานการณ์หนึ่งกลับเป็น ‘ร่างกายมีจิตวิญญาณ’ เช่นคนต่างถิ่นมาเยือนศาลหลักเมือง หรือจิตวิญญาณเทพตนอื่นที่ไม่ถามเรื่องจุกจิกของมนุษย์ ส่วนมากจะใช้วิธีการนี้
ร่างกายมีท่วงทำนองวิญญาณ ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าตำนานในหมู่ชาวบ้านหรือในตำราเทพเซียนบางเล่มล้วนมีบันทึกไว้ว่าร่างกายบ่มเพาะจิตสัมผัสไว้ภายใน คอยดูแลอวัยวะภายในกายและทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มักถูกระงับไว้โดยจิตใต้สำนึก จิตสัมผัสจึงไม่ปรากฏ
เจ้าที่ช่วยหวงซิ่งเยี่ยโยนไม้เสี่ยงทาย นั่นคือการช่วยเขาหยั่งคาด ‘จิตวิญญาณ’ จิตสัมผัสภายในกายต่างก็มีการตอบสนอง สถานการณ์เช่นนี้ชัดเจนเป็นพิเศษเวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มากและว่องไว คนมีดวงชะตาพิเศษอย่างหวงซิ่งเยี่ยจึงยิ่งแม่นยำ
“หมายความว่าลายลักษณ์ในครั้งนั้น ความจริงแล้วท่านช่วยหวงซิ่งเยี่ยตรวจดู แต่เขารู้สึกได้ด้วยท่วงทำนองวิญญาณของตนเองหรือ”
“เป็นเช่นที่ท่านเซียนว่า ข้าไหนเลยจะมีพลังคำนวณวิชามารแปลกประหลาดนั่น แต่เขาโยนเก้าครั้งแล้วล้วนโชคร้าย ข้าเองก็มองออกว่าเรื่องนี้ผิดปกติ ถึงขนาดสังเกตเห็นว่าบนตัวหวงซิ่งเยี่ยมีปราณเทพพิเศษซึ่งไม่มั่นคงแล้ว ข้าเห็นท่าไม่ดีจึงบดมันครึ่งหนึ่งตอนโยนครั้งที่สิบ”
เจ้าที่ถอนใจก่อนกล่าวต่อ
“หลังจากหวงซิ่งเยี่ยผู้นั้นไปแล้ว ข้าว้าวุ่นไม่สบายใจ มองอะไรไม่ออกเลยแท้ๆ แต่ลายลักษณ์และปราณบนตัวหวงซิ่งเยี่ยล้วนแปลกประหลาดเช่นนั้น พลันตระหนักได้รางๆ ว่าข้าอาจสร้างเรื่องใหญ่แล้ว และเป็นเช่นที่คาดการณ์ไว้ คืนเดียวกันนั้นมีความยุ่งยากมาเยือน…”
จี้หยวนหรี่ตาลง
“ตอนที่รูปปั้นเทพแขนขาดหรือ”
เจ้าที่พยักหน้า
“ศาลเจ้าของข้ายังสร้างไม่เสร็จดี ตกกลางคืนจึงไม่ได้ปิดประตู คืนนั้นมีคนแปลกสวมหมวกสานมาเยือน ข้าคิดว่าเป็นเพียงคนธรรมดาต้องการค้างแรมในศาลเจ้า เขาเข้ามาในศาลเจ้าแล้วจ้องรูปปั้นเทพของข้า ในดวงตาที่แต่เดิมปกติดีปรากฏสีดำทมิฬ…”
“ในท้องคนผู้นั้นมีเสียงประหลาด แค่ฟังเสียงนั้นก็ทำให้ข้าเหมือนติดอยู่ในความโสมม จากนั้นคำต่อว่า ‘อย่ายุ่งให้มากเรื่อง’ ก็พุ่งเข้าใส่รูปปั้นเทพของข้า ตอนนั้นข้ารู้สึกไม่ดีจึงถอยทันที หากช้าไปก้าวเดียว สิ่งที่ถูกทำลายอาจไม่ใช่แค่รูปปั้นเทพแล้ว”
“จริงสิ ส่งเสียงแปลกๆ ลิ้นดูคับปาก บวกกับดังขึ้นจากในท้อง ปีนั้นข้าเคยเจอผีลิ้นยาวครั้งหนึ่ง รู้ว่านี่เป็นเสียงของลิ้นยาวๆ ที่ซ่อนอยู่ในท้อง แต่คนผู้นี้ไม่ใช่ผีโดยสิ้นเชิง!”
เจ้าที่อธิบายสิ่งที่ตนเองรู้และคิดให้จี้หยวนฟังอย่างละเอียด อีกทั้งพูดตามตรงไม่ปิดบังว่าสิ่งนี้มอบความรู้สึกแปลกและอันตรายเป็นอย่างยิ่งให้กับเขา รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเทพหลักเมืองอำเภอตงเยวี่ยก็จัดการไม่ได้ กอปรกับตนเองถูกจับตามองแล้วจึงหลบซ่อนตัวไปเสียเลย อย่างไรเสียหากเจ้าที่อยากซ่อนตัวขึ้นมาย่อมยากจะหาตัวเจอนัก
ในตามืดมน ลิ้นยาวถึงท้อง…เจ้าที่สถิตอยู่ในรูปปั้นเทพกลับมองไม่ออกโดยสิ้นเชิง…
ดูจากคำบอกเล่าของเจ้าที่ เรื่องราวตึงมือยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้ ยิ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่ชัดเจนแต่ไม่หวาดกลัวผีหรือเทพจึงแปลกและอันตรายมาก
ตอนนี้จี้หยวนพอจะเข้าใจความรู้สึกที่เทพหรือปีศาจมากมายปฏิบัติกับเขาคนแซ่จี้ได้ไม่มากก็น้อยแล้ว
“เจ้าที่ สิ่งที่ท่านเล่าถึงยังอยู่ในขอบเขตเมืองเม่าเฉียนหรือไม่ และท่านหาเขาเจอหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซียนท่านนี้แล้ว เจ้าที่ส่ายหน้า
“ตอนนี้มันน่าจะไม่อยู่ในเมืองเม่าเฉียน ระหว่างหลบซ่อนตัว ข้าคิดทบทวนสถานการณ์ก่อนและหลังอย่างถี่ถ้วนแล้ว สิ่งที่ทำให้ข้าไม่เข้าใจก็คือสิ่งนั้นเหมือนกับพยายามอย่างสุดความสามารถให้หวงซิ่งเยี่ยหมดอาลัยตายอยากเท่านั้น ไม่ได้อยากสังหารให้ตายหรือกินเขาเป็นอาหาร…”
จี้หยวนหัวเราะเสียงเย็น
“หึ หรือพูดได้ว่าอยากรอหวงซิ่งเยี่ยหมดอาลัยตายอยากวิญญาณแตกสลายถึงค่อยกินเขาเป็นอาหาร แทนที่จะบอกว่าไม่อยากมีปัญหาเข้ามาแทรก มิสู้พูดว่าไม่อยากให้ส่วนพิเศษในดวงชะตาของหวงซิ่งเยี่ยรู้ตัวและหนีไปมากกว่า”
คำพูดของเจ้าที่เตือนสติจี้หยวน ทำให้เขานึกเชื่อมโยงไปถึงว่าดวงชะตาซึ่งซ่อนความพิเศษบนตัวหวงซิ่งเยี่ยคืออะไร ก่อนหน้านี้ไม่เคยพิจารณาด้านนี้มาก่อน ตอนนี้เห็นทีว่านั่นคือ ‘เทพบ่มเพาะ’ ของหวงซิ่งเยี่ย ในคัมภีร์นอกรีตเพียงพูดถึง ‘เทพร่างคน’ โดยการคาดเดาแต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน
นี่นับเป็นหนึ่งในความอัศจรรย์ของฟ้าดิน เล่ากันว่าอาจปรากฏบนตัวของผู้มีจิตวิญญาณของสรรพสิ่งเท่านั้น แต่กลับขาดตัวอย่างที่มีอยู่จริง เกี่ยวข้องกับเทพร่างคนอย่างใกล้ชิด ทว่าแตกต่างกัน เป็นจิตของเทพร่างคน
หากเปลี่ยนคำอุปมาที่ไม่นับว่าเหมาะสม ก็คล้ายกับภูตโสมคนและโสมเหมือนคนในตำนาน
จิตวิญญาณเทพในกายพรรค์นี้ย่อมแตกต่างจากเทพกำยานทั่วไป ในบางระดับยิ่งเหมือนจิตวิญญาณเทพเกิดขึ้นเองซึ่งหาได้ยากยิ่ง มักกล่าวกันว่าฟ้าดินใหญ่นอกกาย ฟ้าดินเล็กในกาย เทพร่างคนก็คือเทพบ่มเพาะหยั่งรู้ฟ้าดินเล็กในกาย
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะผลกระทบจากอวัยวะและลมปราณ จึงจำแนกออกเป็นห้าธาตุและลักษณ์ของภูผาธารา
เทพร่างคนพิเศษยิ่ง แม้เคยพบเห็นไม่เท่าไหร่ แต่คัมภีร์นอกรีตเคยพูดถึง จิตวิญญาณเทพในกายพรรค์นี้ฉลาดเฉียบแหลม เมื่อพบความผิดปกติ หากไม่สลายตัวไปเองก็จะหลุดจากร่าง หนีเข้าสู่ฟ้าดินใหญ่และหายไป
ขณะเดียวกันจิตวิญญาณเทพนี้ก็เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของคนอย่างใกล้ชิด เมื่อจิตวิญญาณได้รับผลกระทบจากภาวะทางอารมณ์ขึ้นลงก็จะซึมเซาอย่างเห็นได้ชัด จิตวิญญาณเทพก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
“หวงซิ่งเยี่ยผู้นี้ดูเหมือนเพียงเศรษฐีและพ่อค้า แต่กลับบ่มเพาะความอัศจรรย์ระดับนี้ได้…”
จี้หยวนพึมพำกับตนเอง แม้การก่อตัวของ ‘เทพร่างคน’ จะไม่มีการค้นคว้าพิสูจน์ แต่ยังคงยากจะเชื่อมโยงกับหวงซิ่งเยี่ยผู้ขึ้นเขาขอความช่วยเหลือเพราะกลัวตาย
ถึงจะเคยเห็นบนภูเขาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนั้นจี้หยวนจำไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยเห็น ในตำราก็บรรยายไว้คลุมเครือเช่นกัน ตอนนี้หวนรำลึกดูถึงพอจับทางได้
“ท่านเซียนสังเกตอะไรได้หรือ”
ได้ยินจี้หยวนพูดกับตนเอง เจ้าที่จึงถามอย่างใคร่รู้ระคนระมัดระวัง
“อืม มีการคาดเดาบางอย่าง รบกวนเจ้าที่ดูแลโดยรอบของเมืองเม่าเฉียนด้วย หากพบว่าคนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็มาบอกข้าทันที”
“รับคำสั่งท่านเซียน!”
เทพเจ้าที่ซึ่งยังห่างไกลจากร่างมนุษย์โดยสมบูรณ์ประสานมือให้จี้หยวนอย่างนอบน้อม หลังจากจี้หยวนคารวะกลับแล้วจึงแปลงกายเป็นควันสีเขียวลอดลงสู่พื้นดิน เทียบกับจี้หยวนที่ไม่ค่อยสบายใจอยู่บ้าง ตอนนี้เจ้าที่มั่นใจเต็มเปี่ยม
จี้หยวนเครียดเล็กน้อย นี่ไม่ใช่การแสดงปาหี่ปีศาจหลอกสังเวยธรรมดาแล้ว อีกฝ่ายต้องการให้จิตวิญญาณหวงซิ่งเยี่ยพังทลาย จากนั้นถือโอกาสจับ ‘เทพร่างคน’ จะกลืนกินหรือใช้วิธีอื่นอย่าเพิ่งพูดถึง เพราะจะพบ ‘เทพร่างคน’ ของหวงซิ่งเยี่ยและรับรู้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องทุกอย่างที่อาจเป็นภัยภายในเมืองเม่าเฉียน รวมถึงภายในเขตอำเภอตงเยวี่ยชัดเจนดีราวกับฝ่ามือตนเอง แต่เขาจี้หยวนไม่รู้
…
ได้รับผลกระทบจากหวงซิ่งเยี่ย ช่วงนี้ทั่วทั้งตระกูลหวงค่อนข้างตึงเครียด
แต่เพราะการมาถึงของนักพรตชิงซง หวงซิงเยี่ยสงบนิ่งลงไม่น้อย ผลกระทบที่เจ้านายมีต่อข้ารับใช้ยังคงยิ่งใหญ่ ตระกูลหวงทั้งหมดเริ่มใจเย็นลง หลายคนตรวจที่นาเก็บค่าเช่า ขนสินค้ารับสินค้า มีสิ่งใดควรทำล้วนไปทำ
จี้หยวนพักอยู่ที่ตระกูลหวงครึ่งเดือน ทว่าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งนั้น ตระกูลหวงจึงค่อยๆ สบายใจขึ้น
ระหว่างนั้นทางศาลมืดอำเภอตงเยวี่ยเคยส่งผู้พิพากษาและเทพใหญ่ของศาลมืดมาลาดตระเวนที่เมืองเม่าเฉียนด้วย ถึงขั้นที่เจ้าที่ปรากฏตัวบอกเล่าเรื่องจำนวนหนึ่งที่เคยไปพูดไปแล้วให้ศาลมืดฟังด้วยตนเอง
หลังจากนั้นอย่าว่าแต่เมืองเม่าเฉียนเลย ทั้งอำเภอตงเยวี่ยล้วนปลอดภัยไร้เรื่องราว ราวกับทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว
กระนั้น หวงซิ่งเยี่ยยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของจี้หยวน เรื่องทุกอย่างให้ข้ารับใช้ไปจัดการทั้งสิ้น ส่วนตนเองไม่ออกจากจวนตระกูลหวงเลย
วันนี้จวนตระกูลหวงมีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน เป็นบุตรชายคนโตของเศรษฐีจากจังหวัดฉางชวนซึ่งเคยติดต่อค้าขายกับหวงซิ่งเยี่ย
ทุกคนในจวนตระกูลหวงง่วนอยู่กับงานของตนเอง หวงซิ่งเยี่ยร่วมจิบชาสนทนากับชายนามว่าฉู่หมิงไฉในโถงรับแขก
ทว่าบรรยากาศครึกครื้นชะงักค้างทันทีที่จี้หยวนเดินเข้าไปในโถงรับแขก
วินาทีที่จี้หยวนเข้ามา ฉู่หมิงไฉซึ่งเดิมทีพูดคุยสนุกสนานพลันหยุดพูด หันศีรษะจ้องมองจี้หยวนผู้เดินเข้ามาในโถงรับแขกเขม็ง
“อะแฮ่ม ข้าจะแนะนำให้รู้จัก หลานฉู่ ท่านนี้คือนักพรตชิงซง เป็นแขกของจวนข้าเช่นกัน ช่วงก่อนข้าคนแซ่หวงก่อเรื่องอัปมงคลเข้า จึงเชิญนักพรตมาปัดรังควาน”
“นักพรตชิงซง ท่านนี้คือ…”
จี้หยวนยกมือขึ้นห้ามหวงซิ่งเยี่ยพูดต่อ ตาทิพย์ของข้าเปิดกว้างถึงขีดสุดแล้ว ฝ่ายฉู่หมิงไฉลุกขึ้นยืนจากที่นั่งแล้วเช่นกัน ยังคงจ้องจี้หยวนเขม็ง
‘ท่านเปลี่ยนเปลือกนอกอีกแล้วหรือ’
จี้หยวนถอนวิชาบังตาออกจากดวงตาแล้ว บัดนี้ดวงตาเขาปรากฏสีเทาไร้คลื่นเหมือนบึงลึก ขณะตาทิพย์เปิดกว้างเต็มที่ ปราณมารที่ซ่อนอยู่ภายในกายฉู่หมิงไฉผู้นี้ผสมผสานกับจิตวิญญาณ ทว่าไม่แสดงออกมานอกกาย มีเพียงความโลภมากฉายชัดออกมา นี่หาใช่ปราณมาร แต่เป็นมารแท้ร่างคนต่างหาก
คำว่า ‘แท้’ ในโลกของการฝึกปราณน่ากลัวยิ่งนัก มารแท้ก็เป็นเช่นนั้น
มารคนแม้ไม่ชัดเจน แต่ความโลภกลับมหาศาล หากไม่ใช่เพราะรับรู้ถึงความโลภที่ผสมปนเปกับจิตสังหาร จี้หยวนอาจไม่พบว่า ‘ตัวการ’ มาแล้ว
ฝ่ายฉู่หมิงไฉก็มองจี้หยวนอย่างหวาดๆ เช่นกัน เขาได้ยินมาว่าจวนตระกูลหมิงเชิญนักพรตไร้ความสามารถมาคนหนึ่ง ตอนมาถึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษเช่นกัน หากจี้หยวนไม่มาถึงประตูแห่งนี้ เขาอาจรับรู้ถึงลมปราณใดไม่ได้เลยก็เป็นได้
ทว่ากระบี่เซียนที่ลอยอยู่ข้างหลังและดวงตาซ่อนจิตวิญญาณเทพนั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย
ขณะหวาดกลัวกันและกัน ในใจจี้หยวนและฉู่หมิงไฉเกิดความคิดหนึ่งขึ้นพร้อมๆ กัน ‘นี่เป็นอริยะเทพองค์ใดกัน!’