เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 170 เจ้าลำเอียง!
ตอนที่ 170 เจ้าลำเอียง!
นักพรตชิงซงและลูกศิษย์ไม่ใช่คนโง่ ถึงจี้หยวนไม่ได้อธิบายอะไร แต่ผู้สวมชุดคลุมผ้าไหมทั้งสองไม่ใช่มนุษย์ เรื่องนี้ชัดเจนยิ่งนัก
ยุคสมัยนี้ไม่เหมือนกับชาติก่อนของจี้หยวน วิธีการขนส่งไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น ปลาซ่งหนักหลายสิบชั่งจากแม่น้ำเทียมฟ้ายังคงมีชีวิตจนถึงบนภูเขา กอปรกับมองโหงวเฮ้งไม่ชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเทพเซียนอย่างแน่นอน
ต้องขอบคุณปลาตัวใหญ่ตัวนี้ ในห้องครัวของอารามเขาเมฆาจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่การฆ่าปลาไปจนถึงการทำอาหาร
โชคดีที่เตาไฟและหม้อใหญ่พอ ไม่เช่นนั้นอยากประกอบอาหารจากปลาตัวใหญ่ล้วนยากเย็นอยู่บ้าง
เมื่อถึงเวลากินอาหารเย็น นอกจากผักและเนื้อตากแห้งจำนวนหนึ่ง ตัวละครหลักย่อมเป็นเนื้อปลานี่แหละ
ขิงแก่ซึ่งเกิดขึ้นในป่า กอปรกับผักกะหล่ำปลีดองใหม่ที่ซึ่งมาจากชาวบ้านด้านล่างของภูเขา รวมไปถึงพริกไทยแก่และเครื่องปรุงที่เรียกว่าพริกแห้ง ได้ออกมาเป็นน้ำแกงหัวปลาที่ออกรสเค็มและเผ็ดเล็กๆ
โต๊ะแปดเซียนตัวหนึ่งตั้งอยู่หน้าอารามเต๋า อาหารวางไว้เต็มโต๊ะแล้ว สิ่งที่เตะตาเป็นที่สุดก็คือหม้อขนาดใหญ่ใบหนึ่ง
ถูกต้อง เพราะไม่มีถ้วยที่ใหญ่มากพอและไม่อยากทำลายความสมบูรณ์แบบของน้ำแกงปลา นักพรตชิงซงกับลูกศิษย์จึงใช้หม้อต่างอุปกรณ์ใส่อาหาร วางไว้บนก้อนหินขนาดพอเหมาะสี่ก้อน แล้วยกขึ้นโต๊ะโดยตรง
วิธีการกินแบบนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ รสชาติพอใช้ได้จริงๆ บวกกับวันนี้อารมณ์ดี มังกรเฒ่ายังคงมีท่าทีเฉยๆ แต่ฝ่ายบุตรมังกรอิงเฟิงกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยรู้สึกว่าฝีมือการทำอาหารของนักพรตชิงซงได้เรื่องจริงๆ
สำหรับมังกรทั้งสองตัว อาหารมือนี้เป็นเพียงการลิ้มรสชาติเท่านั้น อยากกินให้อิ่มเป็นไปไม่ได้เลย
อาหารเป็นอาหารคนธรรมดา สุราเป็นสุราท้องถิ่นที่หวงซิ่งเยี่ยมอบให้ในวันนั้น ไม่นับว่ามีค่าราคาแพงอะไร แต่บรรยากาศกลับดียิ่งกว่างานฉลองวันเกิดที่จวนบาดาลตอนนั้นเสียอีก ยิ่งได้ฟังเรื่องรนหาที่ตายดูดวงจากนักพรตชิงซงหลายเรื่อง ก็ทำให้โต๊ะอาหารยิ่งครึกครื้นขึ้นมาทันควัน
เมื่อดื่มสุราจนพอและกินจนอิ่ม ท้องฟ้ามืดสนิทโดยสมบูรณ์แล้ว
สองบุตรบิดาตระกูลอิงคุยเล่นกับจี้หยวนอยู่ภายในอารามจนดึกดื่น หลักๆ เป็นจี้หยวนสนทนากับมังกรเฒ่า คลังความรู้ประหลาดในชาติก่อนยังคงอยู่ รวมกับจิตใจและมุมมองของชาตินี้ ไม่ว่าพูดอะไรล้วนมีข้อมูลมากมาย มรรควิถีและประสบการณ์ส่วนตัวก็มีพร้อม พูดเรื่องไหนจึงมีความเห็นของตนเองไปเสียหมด
จี้หยวนถามถึงสิ่งที่ตนเองไม่รู้ทว่ารู้สึกสนใจอย่างอดไม่ได้ อย่างเช่นสถานการณ์ทั่วหล้าในปัจจุบันนี้ เพื่อฟังความคิดเห็นของมังกรเฒ่าที่มีต่อเรื่องราวบางอย่าง
มังกรเฒ่าถามถึงสิ่งที่ตนเองอยากเข้าใจอย่างใคร่รู้เช่นกัน อย่างเช่นร่องรอยของกระบี่ที่ชายแดนจังหวัดชุนฮุ่ยแห่งรัฐจี จี้หยวนจึงรวบรวมคำพูดแล้วเล่าเรื่องกระบี่บินพันลี้เพื่อสังหารปีศาจที่รัฐอี๋รอบหนึ่ง แม้คำพูดจะเรียบง่าย แต่กลับทำให้บุตรมังกรและนักพรตสองคนล้วนตกอยู่ในภวังค์
แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาสับสนบางครั้ง เช่นเพราะจี้หยวนพูดถึงเนื้อปลาในมื้ออาหารเย็นขึ้นมา หัวข้อสนทนาก็วกไปที่วิธีการทำให้ภูตวารีอย่างปลาโพรงเงินสุกดี เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยครั้งอยู่บ้าง
จี้หยวนพูดด้วยความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคำถามอันเกิดจากความสงสัยของเขาหรือหัวข้อสนทนาบางเรื่อง มังกรเฒ่าก็พูดอยู่หลายคำ ตั้งแต่มาที่โลกนี้มีบทสนทนาสนุกๆ แบบนี้น้อยมาก เขาย่อมรู้สึกว่ามังกรเฒ่าอารมณ์ดีมากเช่นกัน
ที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้นคือพวกเขาสองคนไม่มีความกระดากใจในเรื่องสำคัญๆ เห็นธาตุแท้ในจิตใจของกันและกัน อยากพูดอะไรก็พูดสิ่งนั้น ต่อว่าเซียนและดูถูกมังกรตัวอื่นได้เช่นกัน
จากนั้นจากดวงดาวตะวันจันทราจนถึงสรรพสิ่ง จากปีศาจมารเส้นทางนอกรีตจนถึงการฝึกฝนและมรรคทางหลัก จากการเปลี่ยนผ่านของราชวงศ์จนถึงความรุ่งเรืองและเสื่อมทรามของขุนนาง เรื่องใดที่อยากพูดล้วนพูดออกไปทั้งหมด
หลักการบางอย่างพิจารณาจนถึงที่สุดแล้วติดขัดอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เวลาแบบนี้จี้หยวนมักจะหวนรำลึกถึงหลักศีลธรรมในคัมภีร์หวงถิงเมื่อชาติก่อน เมื่อพูดออกไปแล้วย่อมมีความคิดเห็นของตนเองด้วย วันนี้พูดขึ้นมาแล้วยิ่งมีความรู้สึกได้พูดขึ้นเรื่องปรัชญาอยู่เรื่อยๆ
ยิ่งถึงตอนท้าย แม้แต่บุตรมังกรอิงเฟิงก็ไม่กล้าพูดแทรกตามใจชอบ เพียงตั้งอกตั้งใจฟังเท่านั้น
…
“หาว…ง่วงแล้วๆ…ท่านจี้ พวกท่านคุยกันเถอะ ข้าอยากไปนอนแล้ว”
“อืม ข้าก็เหมือนกัน…”
เสียงหาวของนักพรตทั้งสองนับว่าทำให้หัวข้อสนทนาจบลง
ฉีเซวียนและฉีเหวินทำความเข้าใจกับเรื่องหลายเรื่องได้เล็กน้อย ส่วนใหญ่ล้วนงุนงง ทีแรกอาศัยความอยากรู้นั่งฟังอยู่ข้างๆ แต่ตอนนี้ง่วงจนทนไม่ไหวแล้ว
“นี่ๆๆ อย่าเพิ่งไปๆ ฟังแล้วมีประโยชน์นัก พวกเจ้าสองคนไม่รู้จักหาโชคใส่ตัวเลย รู้หรือไม่ว่ามีใครหลายคนอยากให้มีเหตุการณ์ในคืนนี้เกิดขึ้นกับตนเองบ้างแล้วไม่มีโอกาส”
บุตรมังกรอิงเฟิงรั้งนักพรตชิงซงและฉีเหวินไว้ไม่ให้ไป คนที่หาวอย่างต่อเนื่องทำได้เพียงขอร้องจี้หยวน พวกเขาไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าแยกแยะความน่าสนใจของเนื้อหาได้ เริ่มต้นยังดี แต่จนแล้วจนรอดยิ่งฟังยิ่งเกินจะรับไหว ตอนนี้ฝืนต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ
“ให้พวกเขาไปนอนเถอะ นักพรตทั้งสองไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงเหมือนองค์ชาย”
จี้หยวนพูดเช่นนี้แล้ว บุตรมังกรทำได้เพียงปล่อยมือ ความเสียใจฉายชัดอยู่ในดวงตาขณะมองฉีเซวียนและฉีเหวิน
เมื่อนักพรตสองคนไปแล้ว บุตรมังกรที่คาดหวังเต็มที่ว่าจะได้ฟังเรื่องราวต่อ กลับพบว่าบิดาตนเองและท่านอาจี้ล้วนไม่พูดจาแล้ว
มังกรเฒ่าลุกขึ้นช้าๆ ประสานมือให้จี้หยวน
“ได้สนทนากับท่านจี้ในคืนนี้ ข้าผู้ชรานับว่าได้กำไรนัก!”
จี้หยวนก็ลุกขึ้นคารวะกลับอย่างจริงจัง
“เช่นกัน ข้าคนแซ่จี้ก็ได้รับประโยชน์มากมายทีเดียว”
บุตรมังกรชะงักเล็กน้อย มองสีท้องฟ้าทางตะวันออก แม้ยังคงมืดมน แต่กลับรู้สึกได้ว่ารุ่งอรุณกำลังมาเยือน ที่แท้ผ่านไปหนึ่งคืนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว
ตอนนี้มังกรเฒ่าและจี้หยวนลุกออกจากโต๊ะ
“สมควรแก่เวลาแล้ว ข้าผู้ชราควรบอกลาเสียที อำพันมังกรหมักใหม่รอบหน้า ข้าต้องนำมาดื่มกับท่านจี้เป็นคนแรกแน่นอน”
“อืม ครั้งหน้าข้าไปจะไปซื้อวสันต์พันวันหมักหลายปีหน่อยจากร้านในสวนเช่นกัน ให้ผู้อาวุโสลิ้มรสจนพอใจ”
“ตกลงตามนี้!”
“ตกลงตามนี้!”
มังกรเฒ่ายิ้มกว้าง มองบุตรมังกรที่ยังคงอยู่ตรงหน้าโต๊ะ
“ยังตะลึงอะไรอยู่อีก ไปสิ!”
“อือ เอ๊ะ? ไยรีบร้อนไปขนาดนี้ แม่น้ำเทียมฟ้ายังมีน้องหญิงอยู่ ท่านไม่ใช่เทพแม่น้ำเสียหน่อย”
มังกรเฒ่าส่ายหน้า จับร่างบุตรมังกรกลายร่างเป็นเงาลอยไป ขืนอยู่ต่อไปบุตรชายตนเองคงต้องหน้าหนาขอร้องบางอย่างกับท่านจี้เป็นแน่
จี้หยวนมองส่งเงามังกรลอยไป อารมณ์ดียิ่งนัก มังกรเฒ่าบอกว่าได้กำไรจากการสนทนาในคืนนี้ เช่นนั้นเขาคนแซ่จี้ก็ยิ่งเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
เขาคิดไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ยังคงมีเรื่องต้องทำ
จี้หยวนกระโจนตัว ก้าวออกจากอารามเขาเมฆาราวลมพัด จากนั้นหยุดลงที่หน้าไม้พุ่มข้างห้องครัวนอกอาราม เขาโค้งตัวลงค้นหาไม้พุ่มอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหยิบของชิ้นเล็กที่มีขนสีเทาและขาวออกมาสองชิ้น
นี่ก็คือเตียวที่บาดแผลเก่ายังไม่หายดี ตอนนี้สลบเหมือดไปแล้ว
“จิ๊ๆๆ พวกเจ้าสองตัวโชคดีนัก แต่หากสลบไปเช่นนี้แล้วถูกแมวป่าสัตว์เดรัจฉานคาบไปกินก็คงน่าเวทนายิ่ง เปลี่ยนที่นอนเถอะ”
จี้หยวนกระโจนตัวกระโดดเข้าไปในอารามเขาเมฆาอีกครั้ง วางเตียวน้อยสองตัวไว้ใต้กองฟืนที่ห้องครัวของอารามอย่างเบามือ เสร็จแล้วเหยียบเมฆมุ่งหน้าไปยังยอดเขาชมตะวันของเขาเมฆา
เมื่อท้องฟ้าเป็นสีท้องปลา พระอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือทะเลเมฆ พลังของพระอาทิตย์ทำให้จิตใจแจ่มใส เพลิงก่อเกิดดิน ดินบ่มเพาะทอง ทองกลายเป็นน้ำ น้ำหล่อเลี่ยงไม้ ห้าธาตุเกิดขึ้นหมุนเวียนเป็นวัฏจักร
…
จี้หยวนรู้สึกเอาเองว่าการฝึกปราณรุดหน้าไร้อุปสรรค ฝึกวิชาสัมผัสอภินิหารบนเขาเมฆา บางครั้งอยู่ที่ยอดเขาหมอกอำพราง บางครั้งอยู่ที่ยอดเขาชมตะวัน บางครั้งอยู่ที่ยอดเขาอื่น
ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครรบกวนให้ฟุ้งซ่าน ก็มักจะทดสอบแนวความคิดอาศัยสายลมสื่อจิตอยู่หลายวัน จี้หยวนถึงขนาดเหยียบเมฆไล่จับสายลมเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง ต้องการผลัดจิตวิญญาณและไขกระดูก
และทดสอบเพลิงสมาธิทั้งวันทั้งคืนอย่างต่อเนื่อง
จี้หยวนนอนหลับที่เขาเมฆาน้อยมาก เวลาส่วนใหญ่กลับนั่งอยู่กลางภูเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากนอน แต่วิชากายสัมผัสอัศจรรย์จนทำให้หลงลืมเวลา ลืมกินลืมนอนอย่างแท้จริง
ในฐานะที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องดึงดูดปีศาจ หวงซิ่งเยี่ยยังคงมีเรื่องวุ่นวายกองใหญ่ เรื่องของเทพและผีหากไม่มีคำสั่งของเจ้าที่เป็นการเฉพาะ หวงซิ่งเยี่ยไม่คิดป่าวประกาศเช่นกัน แต่เรื่องฉู่หมิงไฉตายที่ตระกูลหวงยังต้องฝากฝังทางจังหวัดฉางชวน ขณะเดียวกันก็ต้องติดต่อฝ่ายราชการด้วย
แม้ระหว่างนั้นมีเรื่องยุ่งยากชวนกลุ้มใจอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วหวงซิ่งเยี่ยยังคงมีจิตใจสงบนิ่ง อย่างไรความเสี่ยงถึงชีวิตก็ไม่มีแล้ว
เมื่อเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น หวงซิ่งเยี่ยพาคนไปกล่าวขอบคุณที่เขาเมฆา ต่อให้รู้แล้วว่าคนที่ตามเขาลงเขาทีแรกไม่ใช่นักพรตชิงซง แต่สุดท้ายแล้วเป็นดวงดาวช่วยชีวิตที่มาจากเขาเมฆา ไม่อาจขาดมารยาทไปได้ อีกทั้งวางแผนว่าจะมามอบขอบขวัญที่เขาเมฆาในช่วงปีใหม่โดยเฉพาะด้วย
…
ฤดูใบไม้ผลิลาจาก ฤดูร้อนมาเยือนพาให้นกร้อง ฤดูร้อนจบสิ้น ฤดูใบไม้ร่วงนำสายลมสีทองพัดขึ้น
นี่เป็นฤดูใบไม้ร่วงที่สองแล้วที่จี้หยวนฝึกปราณอยู่บนเขาเมฆา ทางฟากอำเภอหนิงอันในจังหวัดเต๋อเซิ่งแห่งรัฐจี กลางเรือนสันติ ปีนี้ต้นพุทราเริ่มออกดอกแต่ไม่ออกผล
ความจริงแล้วเมื่อปีก่อนต้นพุทราของเรือนสันติออกดอกบานสะพรั่ง กระนั้นกลับออกผลน้อยมาก อิ๋นชิงว่างไม่มีอะไรทำปีนขึ้นไปนับไม่รู้กี่รอบ รวมกับพุทราแดงที่ยังเหลืออยู่บนกิ่งยังไม่ถึงหนึ่งร้อยผล
ผลพุทราเหล่านี้ทั้งใหญ่ทั้งเป็นสีแดงดึงดูดใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพุทราเพลิงชุดแรกสุดที่เก็บไว้เมื่อสองปีก่อนยิ่งสดสวยเหมือนไฟ บางครั้งอิ๋นชิงรู้สึกไปเองว่าพุทราเพลิงเรืองแสงเล็กน้อยในเวลากลางคืน
วันนี้อิ๋นชิงนั่งอ่านตำราที่โต๊ะหินของเรือนสันติ เพราะอยู่ใต้ต้นพุทราใหญ่ เขารู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งง่ายต่อการตั้งสมาธิ รับความรู้รวดเร็วขึ้นเช่นกัน อีกทั้งในช่วงเวลาฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ เมื่ออยู่ใต้ต้นพุทราแล้วรู้สึกว่ามีลมเอื่อยพัดมาอยู่เสมอ เย็นสบายยิ่งนัก
หลังจากอ่านวิชามารยาทเล่มหนึ่งจนเข้าใจถ่องแท้แล้ว อิ๋นชิงวางตำราลง แล้วเงยหน้ามองผลพุทรายวนใจที่อยู่บนต้นพุทราใหญ่
“เฮ้อ…เจ้าไม่ออกผลมาเกือบสองปีแล้ว ขี้เหนียวจริงๆ…ท่านพ่อเป็นจ้วงหยวนผู้ซึ่งสอบได้ที่หนึ่งถึงสามสนาม แต่จนสุดท้ายกลับอยู่ที่เมืองหลวงไม่ได้ ไปเป็นเจ้าเมืองแห่งหนึ่งที่เกาะเมฆา มารดาข้าไปเกาะเมฆาด้วยเช่นกัน ทว่าข้าไปด้วยไม่ได้ ข้าไปแล้วใครเล่าจะทำความสะอาดบ้านและเรือนเล็กหลักนี้ ใครเล่าจะดูแลต้นพุทราใหญ่เจ้า ข้าลำบากขนาดนี้ เจ้ามอบพุทราให้ข้ากินเป็นการปลอบใจสักผลไม่ได้หรือ!”
อิ๋นชิงบ่นยาวเหยียด ต้นพุทราพลิ้วไหวตามลมไม่ได้ตอบสนองอะไร เหมือนกับต้นไม้ธรรมดาต้นหนึ่ง
“เฮ้อ…อีกสักพักข้าก็ต้องไปสำนักศึกษาแล้ว มาดูเจ้าไม่ได้ทุกวัน กลับมาได้สักครั้งในรอบครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน เฮ้อ…”
เขาถอนใจแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ต้นพุทรายังคงส่ายไหวตามลม
“เจ้าต้นพุทราใจแข็ง ไม่ใช่สิ หัวแข็ง!”
ขณะกำลังกล่าวด้วยความโมโห อิ๋นชิงก้มหน้าลง พลันพบว่าก้อนสีแดงเพลิงกระโจนเข้ามาจากประตูเรือนที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
“จิ้งจอกน้อย!”
เสียงร้องด้วยความยินดีดังออกจากปากอิ๋นชิง ยังพูดไม่ทันจบดีก็พบว่ามีผลพุทราแดงตกลงมาถูกศีรษะของจิ้งจอกพอดี
ปัก
จิ้งจอกกระโดดหนีเพราะตกใจ กุมศีรษะตนเองก่อนจะเงยหน้ามอง ปรากฏว่าเห็นพุทราผลใหญ่อยู่ตรงหน้า
ปัก
“หงิง..”
จิ้งจอกใช้อุ้งเท้าถูจมูก ยังไม่ทันได้พักหายใจเท่าไหร่ เหนือศีรษะก็มีเสียงดังปักดังขึ้นอีกสามครั้ง
อิ๋นชิงเบิกตามองภาพนี้ด้วยความงุนงง จากนั้นชี้ต้นพุทราใหญ่ด้วยมือสั่นๆ
“เจ้า…เจ้าลำเอียง! เจ้าลำเอียงเกินไปแล้ว!”