เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 2 ทรมานจิตใจ
ตอนที่ 2 ทรมานจิตใจ
ทีมช่วยค้นหาของเขาหัวโคทำงานต่อเนื่องมาสามสัปดาห์จึงสิ้นสุด ฉากจบทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าสร้อย สุดท้ายก็ช่วยจี้หยวน ชายหนุ่มสุขภาพดีวัยยี่สิบสี่ปีกลับมาไม่ได้ สาเหตุหลักของการตายคือร่างกายขาดน้ำ หรือก็คือเสียชีวิตเพราะขาดน้ำ
จากคำบอกเล่าของทีมช่วยค้นหาสองคนที่พบจี้หยวน ตอนนั้นฟ้ามืดสลัวเล็กน้อยจึงมองเห็นไม่ถนัด แต่ตอนแรกที่พบจี้หยวนเขายังเอ่ยปากพูดได้ หลังจากเป็นลมจึงรีบส่งโรงพยาบาลทันที แต่ระหว่างทางไปโรงพยาบาลกลับขาดใจ ไม่อาจช่วยชีวิตกลับมาได้
เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อเขาหัวโคและบริษัทซึ่งจี้หยวนสังกัดอยู่ไม่น้อย แต่ผู้ได้รับความสะเทือนใจมากที่สุดคือพ่อแม่และญาติพี่น้องของจี้หยวน
แต่ทั้งหมดนี้จี้หยวนล้วนมองไม่เห็นแล้ว
…
ทั่วร่างเจ็บปวดหาใดเปรียบ…ร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อน…
นี่คือความรู้สึกแรกหลังจากจี้หยวนรู้สึกตัวตื่น
สมองสับสนงงงวย ความคิดไม่ค่อยฉับไว มีแค่ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มแทงทั้งตัวอัดแน่น
ร่างไม่อาจขยับ ปากไม่อาจพูด ตามองไม่เห็น ถึงขั้นว่าแม้แต่ความรู้สึกต่อโลกภายนอกยังเลือนรางยิ่ง รับรู้แค่ความเจ็บปวดที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดความเจ็บปวดแสนทรมานนั้นก็หายไปทีละน้อย
หลังจากผ่านความทรมานครานี้ ทั้งตัวจี้หยวนอ่อนแรงหอบหายใจอยู่บนพื้นเหมือนโคลนตมกองหนึ่ง หลังจากผ่อนคลายลงสักพักก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ความรู้สึกท่อนล่างแข็งทื่อเย็นเยียบค่อนข้างราบเรียบ ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแน่ กลับเหมือนนอนบนพื้น อุณหภูมิโดยรอบต่ำเล็กน้อย ทั้งมีลมหนาวพัดแผ่วเบามาเป็นพักๆ หนาวจนจี้หยวนตัวสั่น
แต่ทำได้แค่ตัวสั่นเล็กน้อย จี้หยวนพบว่าตอนนี้ตนยังขยับไม่ได้ นอกจากหอบหายใจแล้ว แม้แต่ตายังลืมไม่ขึ้น ความรู้สึกนี้เหมือน ‘ผีอำ’ ที่เล่าลือกันอยู่บ้าง แต่มีความแตกต่างกัน อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่าร่างกายได้รับแรงกดดันอะไรเป็นพิเศษ
หลังจากฟื้นฟูการเชื่อมโยงความคิดและความรู้สึกของร่างกาย จี้หยวนอยู่ในสภาพหวาดกลัวตลอด
เห็นชัดว่าตนไม่ได้อยู่ที่บ้านหรือโรงพยาบาล โดยรอบไม่มีเสียงคนอื่น หากพูดถึงเสียงก็ได้ยินแค่เสียงแมลงและเสียงนกเป็นครั้งคราว จมูกได้กลิ่นความชื้นรางๆ
นี่ทำให้จี้หยวนอดสงสัยไม่ได้ว่าตนนอนอยู่บนถนนนอกชานเมืองสักแห่งหรือไม่ หรืออาจเป็นสถานที่ย่ำแย่ยิ่งกว่านั้น
ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าตนอาจถูกคนลักพาตัว ทั้งถูกฉีดยาทิ้งไว้ภายในโกดังร้างสักแห่ง
ระหว่างกระวนกระวายไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ไม่มีคนมา ไม่มีรถผ่าน มีแค่ความเงียบไม่เปลี่ยนแปลง
จี้หยวนเพิ่งพบว่าการรับรู้ทางเสียงของตนเหมือนเปลี่ยนเป็นฉับไว เสียงนกและแมลงที่สูงต่ำต่างกันพวกนั้นเปลี่ยนเป็นชัดเจนผิดปกติ
บางครั้งถ้าจี้หยวนไม่ถูกความคิดฟุ้งซ่านและว้าวุ่นใจมากระทบ ยามได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรยังสังเกตเห็นได้ค่อนข้างแม่นยำว่าพวกมันอยู่ตรงไหน ถึงขั้นพอรู้ว่าระหว่างทั้งสองอยู่ห่างกันเท่าไหร่
แม้ว่าการรับรู้ทางเสียงที่โดดเด่นเช่นนี้จะน่าอัศจรรย์ แต่จี้หยวนกลับหวั่นใจและกลัดกลุ้มขึ้นเรื่อยๆ
จี้หยวนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรกันแน่ แต่คิดว่าผ่านไปนานมากแล้ว ระหว่างนี้ไม่มีใครมาอยู่ข้างกาย ต่อให้ถูกลักพาตัวมาจริงก็ดี!
กอปรกับร่างกายไม่อาจขยับและลืมตาไม่ขึ้น ความรู้สึกเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าถูกขังอยู่ในห้องมืดเล็กๆ เพื่อไม่ให้ตนถูกบีบจนเป็นบ้า จี้หยวนได้แต่ใคร่ครวญสถานการณ์ไม่หยุด นึกคิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ข้ามไปตอนหมดสติ ความทรงจำสุดท้ายหยุดอยู่ช่วงเจอคนริมลำธารนั่น ตอนนั้นตนสลบไปแต่ยังได้ยินเสียงอุทานของทั้งสองคน
ทั้งสองคนบอกว่ามาตามหาผู้สูญหายเกือบเดือนแล้ว ถ้ามองจากชุดเครื่องแบบที่พวกเขาสวมใส่ ทั้งสองคนน่าจะเป็นทีมช่วยค้นหา แต่ทำไมตนไม่อยู่โรงพยาบาลแล้วมาอยู่ที่นี่
ระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้น หรือทีมช่วยเหลือสองคนนี้มีบางอย่างผิดปกติ
คำถามพวกนี้จี้หยวนแค่ใคร่ครวญและคาดเดา ย้ายความคิดไปตรงอื่น
สิ่งสำคัญซึ่งไม่อาจมองข้ามที่สุดก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าคือกระดานหมากประหลาดนั่น ถ้าไม่มีกระดานหมากนั่น ทุกอย่างนี้คงไม่เกิดขึ้น
เมื่อก่อนหากจี้หยวนเป็นผู้เชื่อว่าไม่มีเทพเจ้า เช่นนั้นก็เห็นชัดว่าตอนนี้จี้หยวนเปลี่ยนความคิดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการหายไปของค่ายบริษัทหรือคำพูดของทีมค้นหาช่วยเหลือสองคนหลังจากออกมา รวมถึงตอนร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในเวลาอันสั้นนั้น ล้วนเป็นความจริงที่จี้หยวนประสบด้วยตัวเอง สองอย่างแรกอาจมีโอกาสที่จะเป็นการหลอกลวง แต่การเปลี่ยนแปลงทางกายกลับเป็นเรื่องจริง
หรือพูดได้ว่าในสายตาคนนอกตอนนั้นตนหายตัวไปเกือบเดือนจริงๆ แต่ตัวเขากลับรู้สึกว่าผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีหรือสั้นกว่านั้น
นี่ทำให้จี้หยวนนึกถึงนิทานที่คุณปู่เคยเล่าตอนเด็กอย่างอดไม่ได้
ลือว่าสมัยโบราณมีคนตัดฟืนผู้หนึ่ง วันหนึ่งขึ้นเขาตัดฟืนแล้วเจอตาเฒ่าสองคนเล่นหมากอยู่กลางป่า
คนตัดฟืนจึงวางฟืนกับขวานไว้ข้างต้นไม้ ยืนอยู่ด้านข้างคิดดูชายชราสองคนเล่นหมากกันสักพัก ชายชราคนหนึ่งยังยิ้มพลางแบ่งลูกท้อครึ่งหนึ่งให้เขากินดับกระหายคลายหิวด้วย
หลังจากมองดูอยู่นาน ชายชราพลันหันมากล่าวกับคนตัดฟืน ‘เจ้าควรกลับบ้านแล้ว’
คราวนี้คนตัดฟืนจึงตกใจว่าท้องฟ้ามืดแล้ว เมื่อยื่นมือไปหยิบหาบฟืนและตัวขวานกลับพบว่าฟืนไม่อยู่ ด้ามขวานตัดฟืนเปื่อยยุ่ย เหลือแค่ขวานสนิมเขรอะเกินทน
คนตัดฟืนประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูกรีบเดินกลับบ้านตามทางภูเขาที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกใหม่ ลักษณะหมู่บ้านเปลี่ยนไปมาก ภายในหมู่บ้านยากจะเจอใบหน้าคุ้นตาสักคน
เมื่อลองถามโดยละเอียด คนตัดฟืนเพิ่งรู้ว่าตนถึงกับอยู่กลางภูเขามาหกสิบปี คนทางบ้านล้วนคิดว่าตนถูกสัตว์กินไปเมื่อปีนั้น พ่อแม่ผู้อาวุโสในบ้านเสียชีวิตกันนานแล้ว…
นิทานเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนิทานที่จี้หยวนชอบมากตอนเด็ก เล่าลือว่าชายชราในเรื่องเป็นเซียนสองคน แหล่งกำเนิดของนิทานยังมีเขาขวานผุที่โด่งดังด้วย
แน่นอนว่าสถานที่ซึ่งจี้หยวนกับเพื่อนร่วมงานไปตั้งค่ายกลางแจ้งไม่ใช่เขาขวานผุ แต่เป็นเขาหัวโค ส่วนต้นไม้เก่าแก่ กระดานหมาก ขวานขึ้นสนิมที่จี้หยวนเห็นล้วนสอดคล้องกับตำนานกระดานหมากขวานผุ
หากกล่าวโดยยึดตามเรื่องนี้ ย่อมอธิบายได้ไม่ยากว่าเหตุใดจี้หยวนถึงรู้สึกว่าเพิ่งผ่านไปเพียงไม่นาน แต่กาลเวลาข้างนอกกลับผันผ่านไปเกือบเดือนแล้ว
โชคของจี้หยวนมีทั้งดีและแย่กว่าคนตัดฟืน ดีที่เขาอยู่ไม่นานก็ออกมา ข้างนอกเพิ่งผ่านไปเกือบเดือน ชีวิตยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก สิ่งที่แย่คือไม่มีเซียนมอบโอสถวิเศษอะไรให้เขากิน ดังนั้นเท่ากับไม่ได้กินไม่ได้ดื่มมาเกือบเดือน ไม่ตายทันทีถือว่าสวรรค์คุ้มครองแล้ว
ยามนี้จี้หยวนยังไม่รู้ความจริงว่าตนตายไปแล้ว
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น การเชื่อมโยงเรื่องทุกอย่างนี้ไม่ได้ใช้เวลานานเท่าไรนัก จี้หยวนถูกความเดียวดาย ตื่นตระหนก และกลัดกลุ้มปกคลุมอีกครั้ง ต่อให้ฝืนบังคับตัวเองไปคิดและใคร่ครวญเรื่องพวกนั้นมากขึ้นหน่อย แต่ความรู้สึกกดดันนั่นกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีใครพูด ไม่มีเสียงเท้า ไม่มีคนมา…
เวลาเนิ่นนานเช่นนั้น ไม่มีใคร ไม่มีใครเลย…
ภายใต้สถานการณ์ชวนวิตกกังวล ตอนนี้จี้หยวนลืมเรื่องเวลาแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านไปหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งวัน ไม่ฝืนบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์อีก
มิน่าถึงมีคุกของประเทศทางตะวันตกบางแห่ง ลงโทษสถานหนักด้วยการขังนักโทษไว้ในห้องมืดเล็กๆ นี่คือการทรมานจิตใจผู้คนอย่างรุนแรง
สภาพของจี้หยวนตอนนี้ไม่ห่วงว่าใครลักพาตัวตนแล้ว เปลี่ยนเป็นตั้งตารอโจรลักพาตัวให้รีบมาหน่อย แค่ได้ยินเสียงก่นด่าสาปแช่งของพวกเขาหรือมาเตะตนสักรอบก็ดี
แต่ยังไม่มีใคร ไม่มีใครมาเลย!
‘รีบมาสักคนเถอะ! รีบมาสักคนเถอะ! ใครก็ได้ทั้งนั้น!’
จี้หยวนตะโกนในใจนับครั้งไม่ถ้วน สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือไม่มีโจรลักพาตัว ตนเป็นลมตรงทุ่งรกร้างนอกชานเมืองอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้ นอกจากสัตว์ป่างูแมลงแล้วไม่มีใครมาอีก…