เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 22 บังเอิญ
ตอนที่ 22 บังเอิญ
แต่สำหรับสัญญาซื้อขายพวกนี้ จี้หยวนแค่เหลือบมองเท่านั้น สายตากระจอกอย่างเขายังหวังมองเห็นว่าบนนั้นเขียนว่าอะไรอย่างชัดเจนหรือ ถึงอย่างไรสำหรับลู่เฉิงเฟิงตอนนี้จี้หยวนค่อนข้างเชื่อมั่นแล้ว
ทันใดนั้นความรู้สึกชาหนึบเริ่มแผ่กระจายทั่วร่าง จี้หยวนรีบจดจ่อกับความรู้สึกในกายโดยละเอียดต่อ
เรื่องแปลกคือเขายิ่งคิดสัมผัสโดยละเอียดก็ยิ่งเข้าใจความรู้สึกนี้ยาก กลายเป็นว่าการผ่อนคลายจิตใจสลัดความคิดฟุ้งซ่านกลับคืบหน้าอย่างอัศจรรย์
ดูเหมือนร่างกายสูงใหญ่ขยายโดยไร้ข้อจำกัดทันที คล้ายเห็นเส้นลมปราณทั่วร่างกลายเป็นแม่น้ำใหญ่ ร่างกายเลือดกระดูกโดยรอบเคลื่อนไหวตามธรรมชาติเหมือนภูผาธาราสายน้ำไหล…
เมื่อจี้หยวนไร้ความคิดกำจัดอารมณ์สับสนไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเหมือนเห็นฟ้าดินนั้นก็ยิ่งเป็นธรรมชาติ ภายใต้การแทรกซึมจิตวิญญาณ จิตรับรู้เหมือนกลายเป็นไอวิญญาณ ท่องกลางฟ้าดินด้วยสภาพไร้น้ำหนัก มีภูผาธาราทับซ้อน มีกระแสคลื่นเหวลึก มีลมฝนเลือนราง มีฟ้าโปร่งครึ้มหมอก ยามนี้ทุกลักษณ์ประหลาดตัดสลับแปรปรวนเกินคาดเดา…
ท่ามกลางความเลือนรางเปี่ยมภูผาธาราหมอกควันตาข่ายดาวเจิดจรัสแถบนี้ แม้ว่าไม่สามารถมองเห็น แต่จี้หยวนรู้สึกถึงการมีอยู่ของหมากมายาตัวหนึ่ง ล่องลอยอยู่กลางฟ้าดิน
“ท่านจี้? เอ่อ คือ บันทึกทางการบอกว่าเรือนหลังนี้อาจเป็นบ้านผีสิง ท่านมองออกอยู่แล้วใช่หรือไม่”
ลู่เฉิงเฟิงทนไม่ไหว อยากยืนยันกับจี้หยวนด้วยตัวเองสักหน่อย
แต่ตอนนี้จิตใจของจี้หยวนไร้ความคิดฟุ้งซ่าน กายใจทั้งหมดดื่มด่ำอยู่กับนิมิตภายในใจซึ่งหาได้ยาก เมื่อเสียงของลู่เฉิงเฟิงดังเข้ามาในใจกลับกลายเป็นเสียงอสนีบาตดังครั่นครื้นเป็นระลอก
ความรู้สึกนี้อัศจรรย์ยิ่ง ทำให้จี้หยวนฮึกเหิมมาก ยามนี้เขารู้สึกเป็นครั้งแรกว่าตนต้องใช้ชีวิตนี้อย่างมีสีสันแน่ ใบหน้าอดเผยรอยยิ้มไม่ได้ ปราณวิญญาณเขียวนั่นมีโอกาสสูงว่าเป็นปราณวิญญาณในตำนาน
ลู่เฉิงเฟิงยิ้มแล้ว ท่านจี้ก็คือท่านจี้ มีหรือจะดูไม่ออก คนอื่นซื้อเรือนนี้คือการกลัวว่าชีวิตจะยืนยาว มาถึงมือท่านจี้ที่นี่ช่างได้ประโยชน์จริงๆ
“เช่นนั้นท่านจี้คิดกำจัดสิ่งสกปรกที่นั่นเมื่อไหร่ ต้องการให้พวกเราช่วยหรือไม่”
ลู่เฉิงเฟิงถามอย่างคาดหวังอยู่บ้าง วิชาลับของผู้สูงส่งหายากยิ่งกว่าวิชายุทธ์ของจอมยุทธ์ชั้นยอดมาก
แต่ครั้งนี้เขาเห็นว่าจี้หยวนแค่ยิ้มเล็กน้อยไม่ตอบ รออยู่ครู่หนึ่งก็เห็นแค่ท่านจี้นั่งหลับตาอย่างสบายใจ
ลู่เฉิงเฟิงอักอ่วนอยู่บ้าง คิดว่าท่านน่าจะไม่พูดเพื่อปฏิเสธ ทั้งเมื่อครู่ตนเหมือนจะรบกวนการฝึกปราณของท่านจี้ด้วย
“ถ้าท่านจี้มีธุระอะไรเชิญสั่งความ สองวันนี้พวกเรายังอยู่อำเภอหนิงอัน รออาการบาดเจ็บของพวกเยี่ยนเฟยกับศิษย์น้องลั่วทรงตัวอีกหน่อยค่อยจากไป…”
จี้หยวนยังไม่ตอบสนองอะไร ลู่เฉิงเฟิงเองไม่กล้าเฝ้ารออยู่บ้างเช่นกัน คล้ายว่าตนกำลังรบกวนท่าน ระวังทำให้ท่านไม่พอใจ
“เชิญท่านพักผ่อนตามสบาย เฉิงเฟิงขอลา!”
ลู่เฉิงเฟิงวางกระบอกพู่กันลงบนโต๊ะเงียบๆ จากนั้นจึงรีบซอยเท้าจากไป ทั้งยังปิดประตูห้องเบาๆ
…
ผ่านไปชั่วยามกว่า จี้หยวนเพิ่งถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น ใช่ว่าไม่อยากสัมผัสต่อ แต่รู้สึกว่านานเข้ายิ่งอ่อนแอ ทนต่อสภาพนั้นไม่ไหวแล้ว
หลังจากดึงสติกลับมาทีละน้อยแล้วลองมองภายในห้อง พวกเอกสารสัญญาซื้อขายยังวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนลู่เฉิงเฟิงไม่รู้ว่าจากไปเมื่อไหร่ ช่วยไม่ได้ สถานการณ์เมื่อครู่เหนือการคาดเดาของจี้หยวนอยู่บ้าง ถึงกับเปลี่ยนเป็นหลงลืมตัวตนทันที
แน่นอนว่าจี้หยวนเห็นกระบอกพู่กันบนโต๊ะด้วย เขาแอบกล่าวชมว่าลู่เฉิงเฟิงมีน้ำใจอย่างอดไม่ได้
เวลานี้จี้หยวนสังเกตเห็นโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์บ้านพวกนี้แล้ว ความยินดีจากการซื้อบ้านเด่นชัดขึ้นมา
เขาหยิบขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด
แม้ว่าการมองเห็นของจี้หยวนใช้ไม่ได้ แต่ยกกระดาษดูจนแทบติดตาแล้วยังเห็นตัวอักษรประณีตบนสัญญาซื้อขายกับเอกสารพวกนี้รางๆ ข้อปลีกย่อยมากมายจัดวางสมบูรณ์ รวมถึงตราประทับแดงเล็กใหญ่กับตราราชการที่ใหญ่ที่สุดด้วย
แน่นอนว่าในสายตาจี้หยวนตราประทับก็คือลายกลมสีแดง
กอปรกับได้ยินลู่เฉิงเฟิงบอกว่าทางการยังมีบันทึกด้วย ทำให้จี้หยวนรู้สึกว่าสัญญาซื้อขายเช่นนี้น่าจะถือว่าค่อนข้างเคร่งครัด
แต่เพราะเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง จี้หยวนคิดจะคลำดูว่ารายละเอียดบนนั้นเขียนว่าอะไรก็ลำบากนัก เรื่องนี้ทำให้เขาพลันนึกถึงปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรงข้อหนึ่งเช่นกัน
ตอนนี้เขาไม่อาจรู้ภูมิหลังยุคสมัย ทิวทัศน์วัฒนธรรมแต่ละพื้นที่ซึ่งตนอยู่ผ่านการซื้อตำราและวิธีอื่นได้!
ความจริงจี้หยวนสงสัยมาตลอด ตนถือว่าอยู่ยุคโบราณของประเทศจีนหรืออยู่ในมิติอื่นที่เหมือนกัน สองวันนี้ยังไม่ทันหาข้อพิสูจน์
ถ้ากล่าวกันตามการคาดเดาจากมุมมองส่วนตัวตอนนี้ การเจออสูรเสือและผีชางในระยะประชิด เห็นวิชายุทธ์ที่แท้จริงของพวกเยี่ยนเฟย จี้หยวนยิ่งเอียงไปทางข้อสันนิษฐานว่าตนอยู่อีกมิติ
บางทีหลังพวกลู่เฉิงเฟิงออกจากอำเภอหนิงอันแล้ว เชิญบัณฑิตผู้มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์มาขอคำชี้แนะหน่อยจะเหมาะสมกว่าหรือไม่
จี้หยวนค่อนข้างมองโลกแง่ดีมาตลอด สถานการณ์ปิดตายยามเปิดฉากชีวิตนี้ยังผ่านมาแล้ว เรื่องอื่นคงมีวิธี ไม่ต้องรีบจัดการในคราวเดียว
เขามองสี่สมบัติประจำห้องหนังสือที่ตนนำมาวางบนโต๊ะโรงเตี๊ยมอีกด้านหนึ่ง จี้หยวนซึ่งอารมณ์ไม่เลวฉุกคิดขึ้นมาได้ พลันอยากลองเป็น ‘คนตาบอดเขียนอักษร’
แต่หลังจากฝนหมึกเสร็จแล้วหยิบพู่กัน สัมผัสทางมือดูแปลกผิดปกติ เหมือนว่ามีการจดจำทางกาย จรดพู่กันบนกระดาษขาวลื่นไหลราวสายน้ำหลาก อักษรลี่[1] อักษรจ้วน[2] อักษรข่าย[3] ซับซ้อนเรียบง่ายเขียนคล่องไม่ติดขัดแม้แต่น้อย
“เชี่ย เรานี่มันโคตรเจ๋ง!”
จี้หยวนอดเอ่ยเสียงเบาอย่างตื่นเต้นไม่ได้ ตัวอักษรเขียนดีหรือไม่ มีความรู้สึกเช่นนี้คงพอทำเนา!
ดูท่าว่าก่อนขอทานคนเดิมตกต่ำคงมีเรื่องราวช่วงหนึ่ง
เวลาคัดอักษรนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กอปรกับผลาญพลังกาย จี้หยวนเริ่มหิวอยู่บ้างแล้ว
จี้หยวนมองลำแสงนอกหน้าต่าง ต่อให้ยังไม่ถึงเวลาอาหารก็ใกล้แล้ว
เขาลุกขึ้นเหยียดกายเล็กน้อย เก็บกรรมสิทธิ์บ้านบนโต๊ะอย่างดี เตรียมไปเยี่ยมพวกจอมยุทธ์น้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ถือโอกาสเตือนพวกเขาว่าควรกินข้าวแล้ว ไม่ใช่เพื่อขอกินแต่เป็นการเตือนด้วยความหวังดี!
ทุกคนจองห้องอยู่โรงเตี๊ยมเดียวกัน ระยะห่างมีจำกัด เมื่อออกมาจากห้อง เดินตามโถงทางเดินชั้นสามของโรงเตี๊ยมสองสามก้าวก็ถึงห้องที่พวกจอมยุทธ์น้อยอยู่แล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็ก พื้นฐานร่างกายล้วนไม่เลวนัก ประกอบกับรักษาตัวทันเวลาพอดี สองสามวันมานี้อาการบาดเจ็บจึงทรงตัว ถึงขั้นเดินด้วยตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องมีคนดูแลตลอด
จี้หยวนไปหาแต่กลับพบความว่างเปล่า แม้แต่ภายในห้องซึ่งลู่เฉิงเฟิงอยู่ก็ไม่มีเสียงลมหายใจ
โชคดีที่ลองเงี่ยหูฟัง แยกเสียงเฉพาะตัวพวกนั้นจากเสียงสภาพแวดล้อมเซ็งแซ่ได้ ฟังแล้วเหมือนฝึกมวยอยู่ตรงสวนหลังโรงเตี๊ยม
…
สวนหลังโรงเตี๊ยมเมฆามีพื้นที่ว่างกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง เชื่อมต่อกับเรือนเล็กสองหลังของกิจการโรงเตี๊ยม คอกม้าโรงหญ้าเลี้ยงสัตว์ห้องเก็บฟืนล้วนติดกับที่นี่
สถานที่นี้เหลือไว้สร้างขยายในภายหน้าได้ ยังเป็นที่ซึ่งโรงเตี๊ยมตากผ้าปูผ้าห่ม วางผักหมักดองทุกวัน
เวลานี้พวกคนเจ็บนั่งพักผ่อนอยู่ด้านข้าง พวกลู่เฉิงเฟิงกำลังจับคู่ฝึก แขกของโรงเตี๊ยมมากมายกับเด็กรับใช้ที่ไม่ค่อยยุ่งบางคนเฝ้าดูตรงประตูหลังโรงเตี๊ยม
อำเภอหนิงอันเป็นสถานที่เล็กห่างไกลแห่งหนึ่ง คนในยุทธภพไม่มาก ยิ่งไม่มีพวกวิชายุทธ์ล้ำเลิศอะไร ดูจอมยุทธ์แห่งยุทธภพพวกนี้ออกหมัดต่อยกันไปมาแล้วสะใจนัก
ท่ามกลางเสียงหมัดเท้า ต้นหลิวสองสามต้นโดยรอบส่ายสั่นตามลม
เมื่อจี้หยวนมาถึงประตูด้านหลังโรงเตี๊ยม ประตูด้านหลังถูกเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมบางคนขวางไว้แล้ว แม้แต่พวกแม่ครัวโรงเตี๊ยมกับหญิงช่วยงานสองคนก็รวมกลุ่มเฝ้าดูอยู่ที่นี่
ลู่เฉิงเฟิงกับชายหนุ่มนามหวังเค่ออีกคนกำลังสู้จนยากจะชี้ขาด ไม่ได้ใช้อาวุธ ทั้งสองฝ่ายใช้หมัดเท้าแลกเปลี่ยนความรู้กัน
หวังเค่อใช้กระบี่เป็น แต่ถนัดวิชาฝ่ามือมากกว่า ส่วนลู่เฉิงเฟิงถนัดวิชาหมัดกับวิชากรงเล็บ
ปึกๆ! ตึง…
เวลานี้ทั้งสองฝ่ายใช้แขนตั้งกระบวนท่าโจมตีพอดี ขณะเดียวกันยังยื่นขาเตะอีกฝ่าย หลังจากมือเท้าปะทะกันหลายครั้ง ลู่เฉิงเฟิงเอนกายถลาไปด้านหลัง หวังเค่อลอยตัวไปยังต้นหลิวด้านหลังเขาเหมือนผีเสื้อ ม้วนตัวเหยียบลำต้นก่อนบิดขาถีบ อาศัยแรงซัดฝ่ามือใส่ลู่เฉิงเฟิงทันที
ลู่เฉิงเฟิงเพิ่งยืนมั่นร่างกายก็สัมผัสถึงเสียงทลายอากาศพุ่งเข้ามา เขาทิ้งตัวนอนราบโดยไม่แม้แต่จะคิด ถือโอกาสใช้มือยันพื้น ขาซ้ายเตะหวังเค่อที่ซัดฝ่ามือมาเหนือตัว ขาขวาที่ออมแรงมากกว่าตามหลังไปติดๆ
ปึง! ปึง!
หวังเค่อคิดเองว่าเปลี่ยนกระบวนท่าเร็วพอแล้ว แต่ความเร็วกับความแรงของลูกเตะสองครั้งนี้มากกว่า ฝ่ามือทั้งสองกันสองขาจนทำให้มือไม้ชาไปหมด ทั้งตัวยิ่งถูกเตะจนลอยไปกลางอากาศ
“ระวังด้วย!”
ลู่เฉิงเฟิงตวาดเตือนพลางบิดตัวกลับ สองแขนยันพื้นจนเส้นเลือดปูดโปน
“ฮึบ!”
ขาซ้ายงอเล็กน้อย ขาขวาตั้งตรง ขยับร่างก่อนดีดตัวเหมือนขดลวด เตะใส่หวังเค่อกลางอากาศ
ปึง!
ลูกเตะเดียวคลายการป้องกันหวังเค่อ กระแทกใส่หน้าอกอีกฝ่าย แต่เห็นชัดว่าความแรงลดลงกว่าครึ่ง
การโจมตีนี้ตัดสินแพ้ชนะแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างใช้วิชาของตนโรยตัวลงพื้นอย่างแผ่วเบา
พวกลูกจ้างโรงเตี๊ยมตรงหน้าจี้หยวนปรบมืออย่างอดไม่ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“สู้ได้ดี!”
“สนุกกว่าละครหน้าอารามนัก!”
“ร้ายกาจ จอมยุทธ์น้อยลู่ร้ายกาจจริง!”
“จอมยุทธ์น้อยหวังก็ไม่แย่!”
“เอาอีกๆ!”
…
จี้หยวนปรบมือด้วย แม้ว่าเขามองไม่ค่อยชัด แต่จากภาพที่เห็นกับเสียงต่อสู้เป็นจังหวะที่ได้ยินพวกนั้น ถือว่าสู้กันอย่างยอดเยี่ยมนัก
[1] อักษรลี่ คือ อักษรมาตรฐานสมัยราชวงศ์ฮั่น
[2] อักษรจ้วน คือ รูปแบบอักษรช่วงราชวงศ์ฉิน
[3] อักษรข่าย คือ ตัวอักษรที่พัฒนามาจากอักษรลี่