เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 222 การเมืองฉ้อฉลในรัฐหวั่น
ตอนที่ 222 การเมืองฉ้อฉลในรัฐหวั่น
หากพูดให้หนักหน่อย เส้นทางของเหล่าพ่อค้าแตกต่างกับสถานที่ซึ่งพวกอิ๋นชิงวางแผนจะออกมาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งไม่สามารถข้ามภูเขาลูกใหญ่แบบอ้อมได้ จึงนับเป็นการข้ามระยะทางสั้นๆ โดยบังเอิญ
แต่เมื่อมาถึงภูเขาทางนี้แล้ว เรื่องราวก็ง่ายขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะสถานพักม้าที่นี่มีรถม้าให้ยืมใช้ด้วย
พวกอิ๋นชิงและกลุ่มพ่อค้าแม้รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน แต่มุมมองระหว่างกันของทั้งสองฝ่ายไม่เลวเลย กระนั้นมาถึงตรงนี้แล้วย่อมต้องแยกทางกัน
ถึงมีสมุนไพรที่เพิ่งหาได้เพื่อรักษาบาดแผล แต่พวกพ่อค้ายังคงต้องไปหาหมอตรวจดูบาดแผลอยู่ดี ฝ่ายอิ๋นชิงก็ต้องยืมรถม้าเร่งมุ่งหน้าไปยังจังหวัดลี่ซุ่น หลังจากบอกลากันแล้วจึงแยกย้าย ทว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้จะต้องจดจำไว้ไม่มีวันลืม
บัณฑิตทั้งสี่คนนั่งอยู่บนรถม้าซึ่งมุ่งหน้าบนถนนหลวงอย่างสงบ บัดนี้วางใจลงได้แล้วจริง
“ฮู่…เรื่องราวหลายวันนี้ หากกลับสำนักศึกษาบอกเล่าให้อาจารย์และเพื่อนร่วมห้องคนอื่นฟัง พวกเจ้าว่าพวกเขาจะเชื่อหรือไม่”
หลินชินเจี๋ยที่ชอบพูดและชอบการคาดเดาที่สุดทอดถอนใจ
“น่าจะเชื่อ…อย่างมากก็คิดเสียว่าเป็นเรื่องเล่ากระมัง”
เหลยอวี้เซิงไม่ค่อยแน่ใจ ฝ่ายโม่ซิวมองพวกเขาแล้วค่อยมองอิ๋นชิง
“ในภูเขาทะลุมีภูตจิ้งจอก คนเดินทางคนอื่นเจอเข้าแล้วจะทำอย่างไร คนที่สถานพักม้าก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินเรื่องเล่าเหมือนกัน แต่ดูเหมือนไม่คิดจะไปจัดการอย่างไรอย่างนั้น…”
ก่อนที่จะออกมาพวกเขาเล่าเรื่องที่เจอในภูเขาให้คนที่สถานพักม้าฟัง คนที่นั่นกลับทำท่าทีดูแคลน อีกทั้งบอกว่ามีคนเคยเล่าเรื่องที่ถูกสตรีล่อลวงในภูเขาเช่นกัน หลังจากออกมาแล้วสติเลอะเลือน ถึงขั้นพบว่ามีคนในกลุ่มหายตัวไป คนที่สถานพักม้าบอกว่ารายงานให้ทางการทราบนานแล้ว
แต่ดูจากสถานการณ์แล้วไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่
อิ๋นชิงมองโม่ซิว
“เฮ้อ คนของทางการย่อมไปดูแล้วเช่นกัน แต่ปีศาจและคนกระทำความผิดยังคงแตกต่างกันมาก คาดว่าไม่น่าจัดการง่าย แทนที่จะออกเอกสารแจกจ่ายไปยังหมู่บ้านริมภูเขาทุกหมู่บ้าน ให้นายพรานฝีมือฉกาจเหล่านั้นพาสุนัขไปล่าจิ้งจอกบนภูเขา ข้าว่าอาจจะได้ผลก็เป็นได้”
นี่เป็นผลลัพธ์ซึ่งอิ๋นชิงอนุมานออกมาด้วยตนเอง พบกับภูตจิ้งจอกเหล่านั้น รวมเข้ากับสถานการณ์ของหูอวิ๋น เขาคิดว่าเป็นเช่นที่เต่าแคยพูดไว้ ถึงอย่างไรต้าเจินก็สงบสุข ภูตที่เกิดปัญญาแล้วมีน้อยมาก ปีศาจเช่นภูตจิ้งจอกสามตัวนี้ นายพรานและสุนัขนักล่าน่าจะรับมือได้
พูดถึงตรงนี้แล้วอิ๋นชิงปลอบใจคำหนึ่ง
“ไม่ต้องคิดมากเช่นนั้น จิ้งจอกเหล่านั้นอาจตายไปแล้วก็ได้ ไม่ใช่ว่าเห็นขาจิ้งจอกเปื้อนเลือดและร่องรอยการต่อสู้หรอกหรือ หมาป่าเมื่อคืนก็มีเยอะทีเดียว…”
“จริงด้วย…”
“อืม น้องอิ๋นพูดถูก ข้าเองก็รู้สึกว่าเขาทะลุอาจมีเทพภูเขาจริงๆ”
“ใช่ ครั้งนี้พวกเราโชคดีจริงๆ…จริงสิ ยังมีจดหมายของอิ๋นชิงด้วย มันส่องแสงอย่างแท้จริง ข้าไม่ได้ตาฝาดกระมัง”
“อ้อ ตัวอักษรนั้นก็งดงามจริงๆ!”
“ถูกต้อง ต้องเป็นงานเขียนของผู้มีชื่อเป็นแน่”
“ว่ากันว่าบัณฑิตบ่มเพาะปราณต้านทานยิ่งใหญ่ จดหมายนั่นน่าจะเป็นสิ่งของที่ไม่เลว ขอเพียงพวกเรามีความเที่ยงธรรมอยู่ในใจ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ความยิ่งใหญ่คุ้มกันกาย”
ไม่ว่าคนอื่นเชื่อหรือไม่ แม้อิ๋นชิงรู้ว่าจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ตามที่พูดกัน แต่เรื่องปราณต้านทานยิ่งใหญ่ถือว่าเชื่อได้
…
จี้หยวนไม่ได้มุ่งตรงไปยังจังหวัดลี่ซุ่น ก่อนถึงเขตแดนรัฐหวั่นคำนวณตำแหน่งของอิ๋นชิงไว้โดยคร่าว เมื่อถึงเขาทะลุแล้วรับรู้ได้ถึงปราณของจดหมายฉบับนั้นเข้าพอดี จี้หยวนจึงรู้ว่าอิ๋นชิงเจอเรื่องยากแล้ว
ทว่าตอนถึงที่แล้ว จิ้งจอกสามตัวนั้นถูกพ่อค้าเร่กลุ่มหนึ่งโบกขวานไล่เตลิดไปพอดี ทำให้จี้หยวนรู้สึกว่าน่าขันนัก
พูดตามตรงว่าจิ้งจอกสามตัวนั้นยังไม่เกิดปัญญาอย่างแท้จริง แต่อย่างไรเสียก็เป็นปีศาจที่หลอมกระดูกแล้ว ถูกขับไล่ออกมาเช่นนี้ แม้แต่จี้หยวนก็ขายหน้าแทนพวกมันเหมือนกัน
เป็นเช่นที่คาดไว้ ปีศาจจิ้งจอกทั้งสามยังคงจ้องมองด้วยความแค้นอยู่บนเนินเขา อีกทั้งกล่าวว่าจะทำร้ายคนด้วย
จี้หยวนทดลองใช้วิชาคุมอสนีที่ยังไม่เข้าขั้นโดยสิ้นเชิงของตนเองทันที รวมเมฆก่ออสนีเขาทำไม่ได้ แต่ดึงสายฟ้าจากท้องฟ้ายามฝนตกเช่นนี้สำเร็จแล้ว น่าเสียดายที่ไม่อาจควบคุมได้
เดิมคิดถือโอกาสเก็บจิ้งจอกสามตัวนั้นไว้ แต่ตลอดทางมานี้ จิตวิญญาณมนุษย์ของรัฐหวั่นซึ่งควรจะเป็นสถานที่เจริญรุ่งเรืองดูเหมือนผิดปกติอยู่บ้าง เขาทะลุลูกนี้ไม่นับว่าเป็นภูเขาใหญ่ เกิดภูตจิ้งจอกที่มีความคิดชั่วร้ายอย่างยิ่งสามตน ชัดเจนว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่พื้นที่นี้จะทำให้สัตว์ทั่วไปเกิดปัญญาได้
เนื่องจากเป็นที่ตั้งของภูเขา ปราณที่บรรจบกันหนาทึบบนเขาทะลุชักนำทุกทิศทาง อีกทั้งรวมปราณมารของทุกพื้นที่โดยรอบไว้ด้วยอย่างแน่นอน หากไม่จัดการต้นตอของปัญหา เขาทะลุแห่งนี้อาจสะสมปราณมารต่อไป
ทุกคนมีด้านที่เชี่ยวชาญแตกต่างกัน ต้องการจัดการต้นตอของปัญหายังจำเป็นต้องดูฝ่ายราชการและประชาชน แต่ในฐานะที่จี้หยวนเห็นว่าตนเองเป็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง เขายังพอแก้ไขไปตามสถานการณ์ได้ เมื่อจัดการเขาทะลุได้แล้ว อย่างน้อยก็ลดความคุกคามจากมารต่อคนที่อยู่รอบๆ ไปได้บ้าง
ตอนจี้หยวนลาดตระเวนอยู่บนภูเขา เขาไม่พบพลังปราณเทพ ขณะเดินลงเขาจึงลองใช้วิชาคุมเทพ ไม่คิดเลยว่าจะมีภูตที่เริ่มเชื่อมโยงกับปราณพิภพตนหนึ่งโผล่ออกมา
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จี้หยวนใช้ตาทิพย์สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีจิตมาร รวมถึงบอกฐานะของตนเองกับอีกฝ่ายอย่างชัดเจน นอกจากนี้บอกอีกว่านี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับเทพภูเขาที่จะฝึกปราณ
และในฐานะภูตที่อยากสำเร็จเป็นเทพภูเขา บางครั้งอาจไม่สนใจเรื่องใหญ่ว่าถูกผิดหรือไม่ มรรควิถีสู่ความเป็นเซียนตรงหน้าลึกล้ำยากหยั่งคาดทว่าเป็นสิ่งที่แน่นอน เขาย่อมไม่กล้าบอดปัด รวมถึงมีเรื่องหลังจากนั้นของพวกอิ๋นชิงด้วย
ฝากฝังธุระเรียบร้อยจี้หยวนย่อมไม่รั้งอยู่นาน เขาเดินวนเวียนไปมาบริเวณใกล้เคียง นอกจากเห็นป่าทึบขนาดใหญ่บนฟ้าแล้ว แน่นอนว่ามองสิ่งที่ทำให้สวรรค์รังเกียจ
ในสถานการณ์ที่วิชาทำนายชะตาจำเป็นต้องมีข้อมูลบางอย่าง ทำนายชะตาคนธรรมดาคนหนึ่งจี้หยวนยังพอลองได้ ทว่าเกี่ยวพันถึงปราณมนุษย์แล้วไม่ได้เด็ดขาด คนอื่นทำได้หรือไม่เขาไม่รู้ อย่างไรเสียจี้หยวนก็ไม่มีความสามารถนั้น อยากทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ทำได้เพียงไปหาคนที่เชี่ยวชาญแล้ว โชคดีที่สหายอิ๋นจ้าวเซียนที่เป็นขุนนางมาแล้วหลายปีนับว่าเป็นคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ถึงจังหวัดลี่ซุ่นไม่ใช่จังหวัดหลักในรัฐหวั่น แต่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสามจังหวัดชั้นนำในอุตสาหกรรมทอผ้าไหมของรัฐหวั่น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นหนึ่งในสามเมืองอันดับต้น ๆ ในแง่ของเศรษฐกิจ
จี้หยวนเหยียบอากาศลอยขึ้น ระหว่างทางมองเห็นว่าทั่วบริเวณมีไร่หม่อนมากมาย มีอาคารทอไหมและอาคารย้อมไหมไม่น้อย ค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองทีเดียว
จังหวัดลี่ซุ่นไม่ถือว่าเล็ก จี้หยวนตกลงบนพื้นก่อนเข้าเมือง ไม่ได้เดินเล่นในเมืองเท่าไหร่ ทว่าตลอดทางถามไถ่และมุ่งตรงไปยังศาลาว่าการจังหวัด
จะไปหาคนสนิท จี้หยวนย่อมไม่ใช่วิชาบังตาเพื่อปิดบังดวงตาอีก
แม้ความจริงแล้วเขาเปิดเปลือกตาได้กึ่งหนึ่ง หากไม่สังเกตให้ดีน้อยคนนักจะมองเห็นสภาพดวงตาทั้งสองข้าง ทว่าอยากพบเจ้าเมือง เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องตรวจตราให้ดี เมื่อได้ยินว่าผู้มาเยือนได้รับคำเชิญเดินทางจากรัฐจีมาถึงจังหวัดลี่ซุ่น เจ้าหน้าที่ไม่กล้าชักช้า ไปบอกกล่าวใต้เท้าของตนเองทันที
…
“ผู้มาเยือนมีนามว่าจี้หยวนหรือ”
เมื่อเช้าอิ๋นจ้าวเซียนออกไปตรวจตราการดำเนินการตามราชโองการใหม่ล่าสุดในหมู่บ้านโดยรอบหลายแห่ง ตอนนี้อยู่ในห้องนอนเป็นเพื่อนภรรยา ได้ยินเจ้าที่มารายงานพลันตกใจและยินดี
“ขอรับใต้เท้า เขาดูสง่างามทีเดียว ดวงตาสองข้างแปลกเป็นเอกลักษณ์ มีสีขาวเทา”
“ใช่แล้วๆ เป็นท่านจี้! ท่านจี้มาคนเดียวหรือ”
อิ๋นจ้าวเซียนและภรรยาเขาย่อมหวังให้อิ๋นชิงเดินทางมาด้วยกัน ทว่าเจ้าหน้าที่ส่ายหน้า
“มาคนเดียวขอรับ”
“สามี ท่านไปพบท่านจี้เถอะ อย่าให้เขารอนาน!”
อิ๋นจ้าวเซียนจับมือภรรยาตนเองแล้วพยักหน้า
“ตกลง ฮูหยินพักผ่อนเถอะ ข้าจะไปพบท่านจี้แล้ว คาดว่าชิงเอ๋อร์ก็ใกล้มาถึงแล้วเช่นกัน ท่านจี้ไม่มีทางไม่พาเขามาด้วย”
“อืม!”
ฮูหยินอิ๋นท้องแก่ นั่งอยู่บนเตียงโดยมีผ้าคลุมร่างกาย นางพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
ไม่พบอิ๋นชิงมานานมากแล้ว ในฐานะที่เป็นบิดามารดาย่อมคิดถึงอย่างแน่นอน
ภายในโถงรับแขกด้านหลังศาลาว่าการ จี้หยวนดื่มชาคอยอยู่ที่นี่นานแล้ว ทว่ายังดื่มชาจอกแรกไม่หมดก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังมาจากข้างนอก ประเด็นคือปราณยิ่งใหญ่สายหนึ่งอยู่ในสายตาเขายิ่งไม่อาจมองข้าม แทบจะทะลุกำแพงมาเลยทีเดียว
ผู้มีความสามารถเข้ามาแล้วประสานมือทักทาย
“ท่านจี้! ในที่สุดท่านก็มารัฐหวั่นแล้ว ข้าคนแซ่อิ๋นรอนานเชียว! อืม พวกเจ้าออกไปเถอะ”
“ขอรับ”
ข้ารับใช้สองคนข้างๆ ได้ยินแล้วโค้งกายถอยหลังออกไป จี้หยวนวางจอกชาลงเช่นกัน ยิ้มแล้วลุกขึ้นประสานมือให้
“อาจารย์อิ๋น ไม่ใช่สิ เจ้าเมืองอิ๋น!”
“ท่านจี้อย่าเย้าข้าเล่นเลย ตำแหน่งนี้ไม่ได้เป็นได้ง่ายดายเพียงนั้น! จริงสิ อิ๋นชิงเล่า เขาไม่ได้มากับท่านหรือ”
จี้หยวนยื่นมือชี้ที่นั่งข้างโต๊ะ จากนั้นยกกาน้ำชาขึ้นเทชาร้อนให้อิ๋นจ้าวเซียน ราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของตนเองอย่างไรอย่างนั้น ฝ่ายหลังย่อมไม่เกรงใจเช่นกัน นั่งลงข้างๆ ทันที
“อิ๋นชิงทัศนศึกษาร่วมกับเพื่อนร่วมห้องสามคน คาดว่าอีกสามหรือห้าวันจะมาถึง”
“อ๋อ เป็นเช่นนั้นก็ดี”
อิ๋นจ้าวเซียนลูบเคราพลางพยักหน้า
จี้หยวนมองสหายคนนี้ ไม่พบกันไม่กี่ปี อีกฝ่ายมีผมขาวเกิดขึ้นไม่น้อยเลย เห็นทีทำงานหนักเหนื่อยทั้งกายและใจจริงๆ
“เจ้าเมืองอิ๋นเป็นผู้มีความสามารถสอบผ่านสามด่านเป็นคนที่สองของต้าเจิน นับเป็นคนดังในราชสำนัก ในเรื่องงานเขียนยิ่งโดดเด่นที่สุดในยุคนี้ ทำไม ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้ายอมแพ้ได้หรือ”
อิ๋นจ้าวเซียนโบกมืออย่างเก้ๆ กังๆ ถึงแม้ชินกับตำแหน่งในปัจจุบันนี้แล้ว แต่ฐานะเหล่านี้อยู่ต่อหน้าจี้หยวนแล้วแปลกไปบ้าง
“ท่านจี้อย่าเย้าข้าเลย ข้าเองก็มีเรื่องกลุ้มเช่นกัน อย่ามองว่ารัฐหวั่นรุ่งเรืองนัก ความจริงบิดเบี้ยวทีเดียว…เฮ้อ ข้าเล่าให้ท่านฟังดีกว่า ก่อนข้ามารับตำแหน่ง โดยเฉพาะเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน ที่นามากกว่าเจ็ดส่วนกลายเป็นไร่หม่อน ในนั้นมีเก้าส่วนทำกำไรอยู่ในกำมือของลูกหลานผู้รากมากดี ชาวบ้านอาศัยเงินน้อยนิดจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ข้าเป็นถึงเจ้าเมือง…เฮ้อ น่าโมโหนัก!”
ปัง
อิ๋นจ้าวเซียนพูดแล้วตีโต๊ะน้ำชาอย่างแรงครั้งหนึ่ง นี่นับเป็นครั้งแรกที่จี้หยวนเห็นอาจารย์อิ๋นโมโหขนาดนี้