เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 223 ไม่เหมือนขุนนางราชสำนักพวกนั้น
ตอนที่ 223 ไม่เหมือนขุนนางราชสำนักพวกนั้น
ในฐานะที่อิ๋นจ้าวเซียนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในบรรดาปัญญาชนของต้าเจิน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องสนใจภาพลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง หลังจากเข้ารับตำแหน่งที่รัฐหวั่นและทำความเข้าใจอยู่ช่วงหนึ่งแล้ว เขายิ่งตระหนักได้ว่าตนเองแสดงความรู้สึกออกไปตามใจชอบไม่ได้
แม้อยู่ต่อหน้าภรรยาตนเอง อิ๋นจ้าวเซียนก็แสดงอารมณ์ในใจออกไปอย่างชัดเจนไม่ได้เช่นกัน ด้วยกลัวว่าภรรยาจะเป็นกังวลเกินไป แต่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าจี้หยวนกลับไม่มีความเกรงกลัวแบบนั้น นับว่าปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดอย่างหาได้ยาก
“ฮู่…ท่านจี้หัวเราะเยาะแล้ว!”
ตอนนี้อิ๋นจ้าวเซียนตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นทีจะโมโหงานราชการอยู่ไม่น้อย แม้แต่เขาที่อารมณ์มั่นคงยังเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าอาจสะสมความโกรธมาเป็นเวลานานมากแล้ว ตอนนี้ได้ปลดปล่อยออกมาจึงตื้นตันอยู่บ้าง
จี้หยวนยกถ้วยชายังไม่ได้ดื่ม เพียงจิบน้ำชาในถ้วยเล็กน้อย ความจริงแล้วสายลมสดชื่นพัดในห้อง ขจัดความหดหู่บนตัวสหายเขาไปได้ไม่น้อย ทำให้เขาสงบใจลงได้มากทีเดียว
“อาจารย์อิ๋น เห็นทีสถานที่อุดมสมบูรณ์อย่างรัฐหวั่นคงไม่ได้ดีเท่าที่จินตนาการไว้สินะ!”
ได้ยินท่านจี้เรียกตนเองว่า ‘อาจารย์อิ๋น’ ในที่สุด ในใจอิ๋นจ้าวเซียนรู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด จากนั้นเขาถอนใจเสียงหนึ่ง
“เฮ้อ…ท่านจี้อาจไม่รู้ รัฐหวั่นเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ก็จริง แต่บางคนมีเงินทองมากมายใช้ไม่หมด แต่บางคนไม่มีแม้แต่ข้าวตกถึงท้อง ฝ่ายแรกมีจำนวนน้อย ฝ่ายหลังมีจำนวนมาก นี่ย่ำแย่เหลือเกิน! ท่านลองจินตนาการดูก็ได้…”
อิ๋นจ้าวเซียนพูดพลางยื่นมือขวาออกมาจับปลายนิ้วก้อย เกือบจะสั่นมือโบกไปทางจี้หยวน
“เจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กยิ่งกว่าขนาดของเมล็ดงาและเมล็ดถั่วเขียว แต่กลับมีที่นาในครอบครองถึงห้าสิบฉิ่ง เขาได้ที่นาพวกนี้มาได้อย่างไร ในชั่วชีวิตของเขาต้องมีที่นามากขนาดนี้เลยหรือ”
อิ๋นจ้าวเซียนผ่อนลมหายใจ หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง จากนั้นกล่าวเสริมอีกว่า
“ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นคือภายในที่นาห้าสิบฉิ่งทำการเกษตรไปแล้วอย่างมากหนึ่งพันหมู่ นี่ถือเป็นสิ่งสำคัญของชาวบ้านเชียว!”
จี้หยวนมุ่นคิ้ว ตอนนี้เขาลองนึกดู ขณะขี่เมฆผ่านอาณาเขตของรัฐหวั่นพบว่าป่าหม่อนมากที่ทำการเกษตรน้อย ดูแล้วไม่ใช่ว่าทุกคนจะปลูกหม่อนเลี้ยงไหมร่ำรวยไปด้วยกัน แต่ที่นาของชาวบ้านถูกผนวกเข้าไปหรือ
ทีแรกสุดอาจใช้ผลกำไรมหาศาลที่เกิดจากการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมาล่อชาวนา จากนั้นอาศัยภัยธรรมชาติต่างๆ หรือการบ่อนทำลายอันเกิดจากมนุษย์ซื้อไร่หม่อนในราคาที่ ‘ยุติธรรม’ ปัจจุบันนี้ไร่หม่อนมากที่นาน้อย อุตสาหกรรมระดับนี้ยิ่งมีเศรษฐีครอบครองอยู่ ฝ่ายชาวบ้านไม่มีทางเลือก
มองภาพรวมจากภาพเล็ก จังหวัดลี่ซุ่นไปจนถึงทั่วทั้งรัฐจี ชาวนาชาวบ้านมากมายมีที่นาที่เป็นของตนเองน้อยมากจนน่าสงสาร หากอยากกินอิ่ม ส่วนใหญ่จำเป็นต้องสยบยอมต่อเจ้าของที่ดินเท่านั้น แต่ปลูกข้าวยังดี การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมใช้กำลังคนไม่เยอะขนาดนั้น กำไรที่ชาวนาได้รับมากกว่าครึ่งล้วนกลับเข้ากระเป๋าเศรษฐี กอปรกับตนเองยังต้องแบกภาระมากมาย จึงไม่เคยมีวันใดมีความสุขเลย
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือค่าตอบแทนที่ชาวนาได้จากการช่วยเศรษฐีปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมีเพียงเงิน เสบียงอาหารของรัฐหวั่นไม่เพียงพอก็จำต้องซื้อมาจากต่างถิ่น สำหรับการซื้อเสบียงอาหารก็ต้องผ่านการขูดรีดจากพ่อค้าหลายทาง ราคาขึ้นลงเป็นลูกคลื่น ชาวนาจะไปกำหนดก็ไม่ได้เช่นกัน ราคาเสบียงอาหารเปลี่ยนผันใครเล่าจะตัดสินได้ เพราะนั่นสัมพันธ์กับภัยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ที่มากกว่านั้นคือพ่อค้าเศรษฐีและขุนนางใหญ่ตัดสินได้
บางครั้งเงินไม่พอจะทำอย่างไร ก็นำทรัพย์สินมาจำนองใช้ในปีหน้า!
ฟังอิ๋นจ้าวเซียนวิเคราะห์เช่นนี้ ต่อให้เป็นเซียนในสายตาคนธรรมดาอย่างจี้หยวนก็รู้สึกขยะแขยงอย่างอดไม่ได้ เกษตรกรรัฐหวั่นในหลายปีมานี้ถูกกลืนกินที่ดินที่ตนเองใช้ทำมาหากินไปทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับหนอนไหมรัฐหวั่นกินใบหม่อน
อิ๋นจ้าวเซียนดื่มน้ำชาในจอกชาจนเหลี้ยง ถากถางอย่างเยือกเย็นคำหนึ่ง
“ทุกคนในทุกที่ของต้าเจินล้วนกล่าวว่า ธัญญาหารแห่งรัฐปิง ไหมแห่งรัฐหวั่น หึๆ แต่ดินแดนของชาวบ้านรัฐหวั่นจะไปเทียบกับรัฐปิงได้หรือ”
จี้หยวนอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า เขาเคยอยู่ที่รัฐปิงช่วงสั้นๆ แม้เวลาส่วนใหญ่ฝึกปราณอยู่บนเขาเมฆาเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่พื้นที่ส่วนใหญ่ในรัฐปิงถึงเวลาเก็บเกี่ยว เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะระหว่างทำงานชองชาวนามีให้ได้ยินไม่น้อยเลย
“เช่นนั้นอาจารย์อิ๋นกำลังลงมือหรือ”
อิ๋นจ้าวเซียนส่ายหน้า
“ข้าอยากลงมือได้จริงๆ ทว่าหดหู่ใจนัก สองปีนี้ที่ข้าอยู่ในรัฐหวั่น อันดับแรกสังเกตความรู้สึกของประชาชนอย่างรอบคอบโดยไม่แสดงทัศนคติใด พอจะรู้จักจังหวัดลี่ซุ่นและรัฐหวั่นขึ้นเรื่อยๆ เข้าใจเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างถ้วนทั่วขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แม้เป็นเพียงก้าวแรก ทว่าไม่อาจจัดการเขาได้โดยง่าย!”
ถึงจี้หยวนไม่เข้าใจการเมือง แต่คำพูดเหล่านี้ของสหายตนก็เพียงพอที่จะมองออกว่าอาจารย์อิ๋นเข้าใจการเมืองอย่างถ่องแท้ ไม่ใช่คนโง่ทำงานราชการคนหนึ่ง เขาจึงละวางความกังวลในบางด้านลงไม่น้อย
“อาจารย์อิ๋นมีตำแหน่งเจ้าเมือง ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชสำนัก ทว่ากลัวเรื่องนี้เช่นกันหรือนี่”
จี้หยวนพูดแล้วยกกาเติมน้ำชาให้สหาย พูดคุยกันไปเรื่อยตลอดทั้งบ่ายเหมือนกับตอนที่อยู่ในเรือนสันติ
ตอนนี้อิ๋นจ้าวเซียนสงบใจลงแล้ว เช่นเดียวกับจี้หยวนที่ไม่รู้สึกอึดอัด ยกน้ำชาขึ้นดื่ม
“แม้ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ผู้ลาดตระเวนของราชสำนักกลับไปแล้วบอกว่าไม่มีอะไรที่รัฐหวั่น แต่แค่เท่านี้ไม่พอ เกรงว่าในราชสำนักก็มีผลประโยชน์ที่หยั่งรากลึกเช่นกัน จังหวัดลี่ซุ่น รัฐหวั่น ความเกี่ยวข้องต่อกันไม่น้อย!”
คำพูดของอิ๋นจ้าวเซียนในตอนนี้เหมือนกับขุนนางทำงานราชการมานานโขอย่างแท้จริง ไม่ใช่ขุนนางใหม่ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งมาไม่เท่าไหร่
แม้จี้หยวนรู้สึกถึงความทุกข์ยากของชาวบ้านรัฐหวั่น แต่หลังจากพูดคุยกันแล้วกลับไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่แล้ว จากนั้นเขาถามอีกครั้งราวกับว่าล้อเล่น ทว่าไม่มีน้ำเสียงล้อเล่นแต่อย่างใด
“เช่นนั้นอาจารย์อิ๋นถูกส่งมาที่รัฐหวั่น กลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์ที่นี่ไม่ใช่ว่าเห็นท่านเป็นเข็มตำตาหรือ”
“เข็มตำตานั่นไม่เท่าไหร่ แต่ข้าอดกลัวไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่ข้าคนแซ่อิ๋นเพิ่งรับตำแหน่ง ข้าคอยเฝ้าระแวงทั้งวันทั้งคืน ฮ่าๆ ตอนนี้คิดดูแล้วน่าขันยิ่งนัก!”
อิ๋นจ้าวเซียนพูดถึงตรงนี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“แต่ข้าคนแซ่อิ๋นมาแล้วแม้ตรวจสอบสถานการณ์ของชาวบ้านอย่างละเอียด กลับไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมากนัก ทำท่าทางเหมือนกับสนใจแค่ธุระของตนเอง ทำให้พวกเขาวางใจลง ตอนนี้ขุนนางจังหวัดลี่ซุ่นไปจนถึงรัฐหวั่นล้วนคิดว่าข้าคนแซ่อิ๋นสอบผ่านระดับสูงได้ไม่นาน ได้รับบำเหน็จของรัฐหวั่นแล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องไต่เต้าถึงเมืองหลวง และไม่หวังว่าระหว่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น เพียงอาศัยอยู่อย่างสงบ!”
“พูดแล้วก็เหมือนกับประชด หลังจากนั้นคนที่ส่งของขวัญมาให้ข้าคนแซ่อิ๋นเพิ่มขึ้นมาก ตั้งแต่ตระกูลเล็กจนตระกูลใหญ่ต่างเข้ามาตีสนิททั้งสิ้น”
“โอ้? ของที่ส่งมามีมูลค่ามากเลยหรือ”
จี้หยวนยื่นมือไปจับกาน้ำชา ทำให้น้ำชาอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมอีกครั้ง จากนั้นเทให้ตนเองและสหายแก้วหนึ่ง
“มีมูลค่ามาก พูดได้ว่าส่วนใหญ่ที่ส่งมาให้เดิมทีเป็นเงิน! เงินขาวระยิบระยิบและทองเจิดจ้า อย่างไรเสียทุกคนล้วนเห็นว่าวันหน้าข้าคนแซ่อิ๋นจะได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจเป็นที่พึ่งใหม่ของราชสำนักในอนาคต”
อิ๋นจ้าวเซียนยิ้ม กล่าวกับจี้หยวนเชิงถากถาง
“ของขวัญเหล่านี้ข้าคนแซ่อิ๋นปฏิเสธไม่ได้ รับเอาไว้ทั้งหมด!”
จี้หยวนฟังแล้วไม่แสดงสีหน้าอะไร ในใจกลับอึ้งงันไปชั่วขณะ ทว่าพริบตาเดียวก็เข้าใจบางอย่าง เขายังคงมั่นใจในจิตใจของสหายคนนี้ ความมั่นใจนี้มาจากความเข้าใจที่มีต่ออาจารย์อิ๋น และมาจากปราณต้านทานยิ่งใหญ่ที่บริสุทธิ์บนตัวอาจารย์อิ๋นเช่นกัน
“ทำไม อาจารย์อิ๋นคิดรับของก่อนค่อยคิดบัญชีหรือ”
“บิดามารดาให้กำเนิดข้า แต่ท่านจี้รู้จักข้าดียิ่งกว่า! ของทุกชิ้น เงินทุกก้อน ข้าจดจำไว้อย่างละเอียด!”
ตอนนี้อิ๋นจ้าวเซียนกลายเป็นผู้ที่คาดเดาได้ยากเสียอย่างนั้น
“หากพูดถึงราชสำนักต้าเจิน นอกจากข้าอิ๋นจ้าวเซียนแล้วยังมีใครเกลียดเรื่องนี้ เช่นนั้นก็คงได้เป็นฮ่องเต้ไปนานแล้ว”
จี้หยวนมองอิ๋นจ้าวเซียน ส่ายหน้าพลางถอนใจเสียงหนึ่ง
“ตามที่ข้าคนแซ่จี้รู้ ฮ่องเต้ชราไม่เคยลืมนิมิตมงคลในครั้งนั้น บัดนี้กำลังเตรียมจัดงานชุมนุมวารีปฐพี เตรียมรวมตัวผู้สูงส่งจากทั่วทุกที่ของต้าเจิน บอกได้ยากนักว่ามีกี่คนที่เป็นห่วงรัฐหวั่นอย่างแท้จริง”
อิ๋นจ้าวเซียนนอกจากขมวดคิ้วก็ไม่มีสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ ยิ่งไม่มีทางบอกว่าน้ำเสียงของสหายส่อไปทางเป็นปฏิปักษ์
จี้หยวนยิ้ม พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยต่อ
“ตัวเขาผูกพันกับปราณต้าเจิน รับการเคารพนบนอบจากคนเป็นพันเป็นหมื่น มีอายุขัยยืนยาวย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่ต้องการพบมรรคเซียนเรื่องนี้ นอกเสียจากเขาละทิ้งตำแหน่งได้ เขาอยากจับปลาสองมือเช่นนี้ไม่มีทางเป็นไปได้”
อิ๋นจ้าวเซียนไม่พูดเรื่องนี้มากอีก
“ฝ่าบาทอาจไม่อายุยืนแข็งแรง แต่ไม่มีทางนิ่งดูดายกับเรื่องของรัฐหวั่นแน่ และจิ้นอ๋องผู้ทะเยอทะยานยิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เมื่อครึ่งปีก่อนข้าได้ฟังจิ้นอ๋องเล่าเรื่องด้วยตนเอง ตอนนั้นข้าไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงบอกจำนวนของขวัญที่ทุกคนส่งมาให้ข้า ท่านจี้ลองเดาได้ว่ามากน้อยเท่าไหร่”
จี้หยวนมองท่าทางของอาจารย์อิ๋น ในใจคิดว่าเช่นนั้นไม่ข้อคาดเดาสูงเกินไป จึงเอ่ยปากว่า
“เงินห้าหมื่นตำลึง?”
อิ๋นจ้าวเซียนส่ายหน้า
“ไม่ใช่ๆ”
“หนึ่งแสนตำลึง”
อิ๋นจ้าวเซียนยังคงส่ายหน้า จี้หยวนรีบเอ่ยต่อ
“ทองห้าหมื่นตำลึง”
“ท่านจี้ลองเดาอีกครั้ง ของที่ข้าคนแซ่อิ๋นได้มามีทั้งสีทองและสีขาว ต่างก็เก่าแก่หายากทั้งสิ้น”
จี้หยวนหัวเราะเสียงหนึ่ง มือขวาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนับนิ้วดู จากนั้นส่งเสียงประหลาดใจเล็กน้อย
“ทองสองแสนหนึ่งหมื่นตำลึงเชียวหรือ”
จำนวนที่แม่นยำนี้ทำให้อิ๋นจ้าวเซียนชะงัก จากนั้นพยักหน้า
“ถูกต้อง หลายปีนี้มาหากนับรวมของมีค่าทั้งหมด เช่นนั้นก็มีค่าประมาณเงินสองล้านกว่าตำลึงเงินแล้ว หึๆ เป็นขุนนางรัฐขวัญเพียงครึ่งปีได้เงินหลวงมากเท่านี้แล้ว!”
“ข้าเป็นเจ้าเมืองจังหวัดลี่ซุ่น แม้พูดได้ว่ามีอนาคตอยู่บ้าง ทว่าภายในสองปีที่ดำรงตำแหน่งได้รับผลประโยชน์มากมาย ท่านว่าเงินทองของมีค่าที่พวกเขาขูดรีดจากประชาชน และเงินสกปรกที่ยักยอกจากราชสำนักมีมากเท่าไหร่กัน ฝ่าบาทจะไม่โมโหได้หรือ”
อิ๋นจ้าวเซียนพูดถึงตรงนี้แล้วหัวเราะเสียงเย็น
“จากคำพูดของจิ้นอ๋อง ฝ่าบาทได้รับฎีกาลับจากข้าแล้วทุบกาชาจอกชาชุดโปรดในห้องทรงอักษรทั้งหมด!”
เกิดแก่เจ็บตาย แม้หลายราชวงศ์ที่ผ่านมาฮ่องเต้มากมายล้วนเป็นเช่นนั้น แต่ฮ่องเต้หยวนเต๋อไม่คิดว่าเขาจะเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้พบว่าตนเองถูกคนเบื้องล่างหลอกลวง ในใจโกรธเพียงใดแค่จินตนาการก็รู้แล้ว
ฟังถึงตรงนี้แล้วจี้หยวนไหนเลยจะไม่รู้ว่าสหายคนนี้วางแผนการไว้ในใจแล้ว เขาทั้งปลื้มปีติและนึกเศร้าอยู่ในที
‘อิ๋นจ้าวเซียนไม่เหมือนขุนนางราชสำนักพวกนั้นจริงๆ!’