เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 232 นี่ไม่ใช่คนตาบอดธรรมดา
จังหวัดจิงจีตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเส้นแบ่งเขตรัฐทงและแม่น้ำเทียมฟ้า ความจริงแล้วทั้งจังหวัดจิงจีเหมือนกับเป็นมุมพื้นที่ขนาดใหญ่ของรัฐทง ดังนั้นรัฐทงจึงถูกเรียกเล่นๆ ว่ารัฐบริวารที่ต้าเจินแห่งนี้
แม้ฝ่ายขุนนางราชสำนักต้าเจินไม่มีบันทึกอย่างชัดเจนเกี่ยวกับทางนี้ แต่ที่จริงกลับคล้ายคลึงกัน
ในวันนี้ ณ จังหวัดจางเยวี่ยแห่งรัฐทง ไม่ว่าศาลาว่าการหรือหน้าประตูเมือง ไปจนบนถนนที่คึกคักจำนวนหนึ่งและบนกำแพงสังเกตการณ์ ล้วนมีเจ้าหน้าที่เดินกันขวักไขว่
ร้านอาหารสุขสวรรค์บนถนนฉลองสุขเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง โดยรอบมีร้านค้าตั้งอยู่มากมาย ไม่ได้มีเพียงร้านอาหาร โรงน้ำชา ร้านเสื้อผ้า และร้านขายของชำ ทำให้ถนนฉลองสุขคึกคักอย่างยิ่งอย่างชัดเจน เป็นถนนของความคึกคักที่มีให้เห็นไม่มากนักในจังหวัดจางเยวี่ย
ตอนนี้ใกล้เวลาอาหาร ข้างร้านอาหารขนาดใหญ่ถึงช่วงที่คนเดินเข้าหา และมีขอทานจำนวนหนึ่งรอคนใจดีเมตตาอยู่ที่มุมกำแพงฝั่งตรงข้ามร้านอาหารด้วย
ขณะนี้เที่ยงวันอากาศร้อนมาก ตอนกลางวันเหล่าขอทานอยากขอข้าวกินจะไปรออยู่ใต้สะพาน ในสถานที่แบบนี้ พื้นที่ร่มเงาผืนหนึ่งที่มุมกำแพงจึงกลายเป็นสถานที่พักผ่อนที่หรูหราไปโดยปริยาย
กระนั้นขอทางรุ่นเยาว์อายุต่างกันเจ็ดแปดคนทางนี้ล้วนยอมตากแดดร้อนแผดเผา ใช้ผ้าขาดหลายผืนหรือพัดหัก ร่มหักมาบังแดด ส่วนพื้นที่ร่มเงาตรงมุมกำแพงก็ให้ขอทานชราขดตัวนอนหลับส่งเสียงกรนไป
“หลีกไปๆ…หลีกไป อย่าขวางทาง!”
เจ้าหน้าที่ข้างหน้าสองคนเดินมา ยื่นขาเตะขาทานหลายคนที่กำลังง่วงงุนจะหลับอย่างไม่หนักไม่เบา ไล่พวกเขาให้ห่างออกไปเล็กน้อย จากนั้นมองไปอีกมุมหนึ่ง มุ่นคิ้วทว่าไม่ได้สนใจอะไรมาก สุดท้ายกล่าวกับสองคนที่อยู่ข้างหลัง
“ติดตรงนี้เถอะ”
เจ้าหน้าที่ถือถังพยักหน้าก้าวไปข้างหน้า ใช้กระบวยในถังกวนสองสามครั้ง จากนั้นใช้แปรงทากาวในถังลงบนกำแพง
ขอทานจำนวนหนึ่งข้างๆ มองถังในมือเจ้าหน้าที่ กลืนน้ำลายหลายอึก พวกเขารู้ว่าที่จริงแล้วกาวนี้ทำจากข้าวเหนียวที่ตุ๋นจนหนืด เป็นของที่กินได้
“เอาล่ะ ติดเถอะ”
เจ้าหน้าที่ข้างหลังเริ่มกางผ้าสีเหลือง เจ้าหน้าที่อีกสองคนที่มาด้วยรีบช่วยดึงตรงมุมผ้า จากนั้นสวมคนร่วมแรงกันนำมุมผ้าติดลงบนกำแพง แล้วติดลงตามผ้าสีเหลืองที่กางออกทีละน้อย จนกระทั่งผ้าสีเหลืองผืนใหม่ติดกับกำแพงประกาศเรียบร้อย
เห็นท่าทางของเจ้าหน้าที่แล้ว ชาวบ้านรอบข้างและเศรษฐีพ่อค้าสวมชุดแวววาวต่างล้อมเข้าไปดู
“นี่ ประกาศนี้มีผ้าสีเหลืองรองอยู่ เป็นประกาศหลวง!”
“ใช่ หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่ที่เมืองหลวง”
“อีกเดี๋ยวดูว่าเขียนอะไรเอาไว้ก็รู้แล้ว”
“รีบติดให้เสร็จเถอะ นี่คือ…ประกาศรับสมัครบุคคลผู้มีคุณธรรม?”
เจ้าหน้าที่ติดประกาศเสร็จแล้วมองรอบๆ ไม่ได้อธิบายอะไรมาก หยิบข้าวของจากไปทันที คนข้างๆ จึงยิ่งล้อมเข้าไปมากกว่าเดิม มีชายชราอ่านประกาศออกมาอย่างไม่ขาดตกสักตัวอักษร
“ฮ่องเต้ประกาศกับใต้หล้า ข้าก่อตั้งอาณาจักรต้าเจินมาได้สองร้อยปีแล้ว บัดนี้เป็นเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรือง ทุกคนจงรักภักดี บ้านเมืองสงบร่มเย็น เนื่องในวันครบรอบวันเกิดของข้า…”
ชายชราลูบเคราไปพลาง อ่านไปพลาง บางครั้งหยุดเรียงลำดับคำพูด เพื่อให้ตนเองอ่านได้คล่องแคล่วขึ้นหน่อย
“…จึงรับสมัครบุคคลเป็นกรณีพิเศษ ผู้สูงส่งมีมรรคทั่วทั้งใต้หล้ามารวมตัว เนื่องในโอกาสสวรรค์เก้าชั้นฟ้าลงมาร่วมชุมนุม วาสนาเซียนวิชาอัศจรรย์ร่วมกันอวยพรให้ต้าเจิน อวยพรให้บุตรแห่งสวรรค์!”
ชายชราอ่านจบ หลายอึดใจให้หลังถึงเกิดเสียงพูดคุยกันโดยรอบ
“จะจัดการชุมนุมใหญ่มรรคเซียนหรือนี่”
“นี่ ไม่เห็นบนประกาศหลวงหรือไร นี่คือการชุมนุมวารีปฐพี”
“คราวนี้เมืองหลวงต้องคึกคักแน่ อาจมีเทพเซียนไปจริงๆ ก็ได้!”
“หมายความว่าหากมีเทพเซียนจริง เช่นนั้นพวกเราก็ควรไปดูใช่หรือไม่ เผื่อว่าเทพเซียนถูกชะตาข้าจะได้มอบวิชาเซียนให้ข้าสืบทอดอย่างไรเล่า”
“ฝันไปเถอะ หน้าตาเหมือนหมูอย่างเจ้าน่ะหรือ!”
“ขี้เหร่แล้วอย่างไร เทพเซียนสนใจหน้าตาด้วยหรือ”
“จะได้ชื่อปรมาจารย์นั่นก็ต้องดูมาดด้วย…”
“ชื่อเรียกนั่นมีประโยชน์อะไน เงินหนึ่งพันตำลึงต่างหากที่จับต้องได้!”
คนข้างๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ บ้างก็ตื่นเต้น บ้างก็รู้สึกสนุกที่ได้ฟัง บางคนยิ่งปรึกษากันแล้วว่าจะไปดูความคึกคักเมื่อไปถึงเมืองหลวง ถึงอย่างไรก็ต้องสนุกกว่างานชุมนุมศาลมากแน่นอน
แต่สำหรับขอทานตรงมุมกำแพงที่แค่การหาอาหารยังเป็นปัญหา เรื่องใหญ่พรรค์นี้ไกลเกินเอื้อมถึงอยู่บ้าง แต่ละคนล้วนหมดอาลัยตายอยาก มีเพียงขอทานชราที่เดิมทีหลับสนิทลืมตาขึ้นมาแล้ว
‘ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในตอนนี้ ฮ่องเต้ต้าเจินกลับจัดการชุมนุมวารีปฐพี วาสนาเซียนรวมตัวที่ว่า เมื่อถึงเวลาแล้วเกรงจะกลายเป็นกลุ่มมารก่อความวุ่นวายมากกว่า’
แต่เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง ขอทานชราคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ทว่าความคิดนี้ทำให้นอนหลับต่อไปไม่ได้แล้ว
“หาว…”
ขอทานชราหาวพลางลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตาเล็กน้อย แคะขี้ตาที่หางตามาปั้นบนมือสองสามครั้งก่อนดีดทิ้งไป
“ท่านปู่หลู่ ไยท่านไม่นอนแล้วเล่า วันนี้ยังได้ไม่พอกินเลย”
เห็นขอทานชราตื่นแล้ว ขอทานเด็กท่าทางอายุสิบเอ็ดสิบสองปีข้างๆ กล่าวกับเขา เมื่อขอทานชราจะลุกขึ้นยืนก็รีบไปประคองทันที
“ท่านลุงหลู่ตื่นแล้วหรือ”
“ท่านลุงหลู่ดื่มน้ำหน่อย”
“ข้ามีอาหารอยู่บ้าง เมื่อครู่เก็บขนมได้สองชิ้น ไม่เลวเลย!”
พอขอทานชราตื่น ขอทานที่อยู่ข้างๆ เหล่านั้นล้วนถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ฝ่ายแรกเพียงรับกระบอกไม้ไผ่มาดื่มน้ำสองสามอึก จากนั้นรับขนมชิ้นหนึ่งใส่ปากแล้วโบกมือให้คนอื่นๆ
“เอาล่ะๆ เก็บไว้ให้ตนเองเถอะ ตอนนี้ข้ายังไม่หิว”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ ขอทานชราลุกขึ้นยืน เคี้ยวขนมในปากพลางยืดเส้นยืดสายอย่างสบายใจ คนเดินผ่านไปมารอบๆ ยังคงอ่านประกาศหลวง และมีบางคนชำเลืองมองขอทานที่ส่งเสียงดังทางนี้ด้วย
ทันทีที่ขอทานชราบิดขี้เกียจเสร็จ เขากวักมือเรียกขอทานเด็กที่ถามเขาเป็นคนแรก
“โหยวเอ๋อร์ พวกเราไปเดินเที่ยวที่เมืองหลวงดีหรือไม่”
ขอทานเด็กยืนขึ้นพร้อมชามกระเบื้องแตก มองประกาศหลวงทางนั้น ในใจคิดว่าท่านปู่หลู่ได้ยินคนอ่านประกาศหลวงเมื่อครู่ตอนนอนหลับใช่หรือไม่ กระนั้นคำตอบของเขาค่อนข้างกำกวม
“เมืองหลวง…ไกลขนาดนั้น…”
“อืม เจ้าจะบอกว่าไม่อยากไปกระมัง”
ขอทานชรายื่นมือเข้าไปในรูขาดของเสื้อผ้า เการักแร้แก้คันเล็กน้อย ดวงตาข้างหนึ่งลืมอยู่ ส่วนดวงตาอีกข้างหนึ่งหรี่ลง ถามขอทานเด็กพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“อยาก! สถานที่ที่คึกคักและดูดีที่สุดในใต้หล้านี้ แน่นอนว่าข้าอยากไป!”
“ฮ่าๆ…เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
ขอทานชรายื่นมือไปลูบหลังขอทานเด็ก จากนั้นกึ่งดันร่างเขาเดินไปข้างหน้า
ขอทานเด็กเดินไปหลายก้าวด้วยความงุนงงแล้วหันกลับไปมอง ขอทานกลุ่มหนึ่งข้างหลังล้วนมองเขาและขอทานชราเดินไปไกล พลันตระหนักได้ว่าตนเองกำลังออกเดินทางกับท่านปู่หลู่หรือนี่
ตอนนี้เอง ขอทานข้างหลังถึงพากันส่งเสียงบอกลา
“ท่านลุงหลู่รักษาตัวด้วย!”
“เสี่ยวโหยวระมัดระวังด้วยนะ!”
“ท่านอาหลู่คอยดูเสี่ยวโหยวด้วยล่ะ!”
ขอทานชราหัวเราะฮ่าๆ หันกลับไปมอง อีกทั้งโบกมือด้วย ท่องคำว่ารักษาตัวด้วยซ้ำอยู่หลายครั้งโดยไม่คิดอะไร พร้อมกับพาเสี่ยวเดินไปตามถนนข้างหน้าต่อไป
ขอทานกลุ่มนั้นมองเงาหลังของพวกเขา สุดท้ายนั่งลงทีเดิม รอคอยอาหารเหลือและของอย่างอื่นหลังจากช่วงเที่ยงของวันนี้
“ท่านปู่หลู่ พวกเราไปแล้วพวกท่านอาจางจะทำอย่างไร”
ขอทานชราราวกับมีตัวหมัดมากมายอยู่ทั่วไป มือหนึ่งเกาข้างหน้า มือหนึ่งเกาข้างหลัง เมื่อได้ยินที่ขอทานเด็กพูดแล้วก็บ่นระลอกหนึ่ง
“พวกเขาใช่ว่าต้องพึ่งพาพวกเราหาเลี้ยงชีพ ความสามารถในการหาอาหารยิ่งยอดเยี่ยมกว่าเจ้า อีกอย่าง หลายคนในนั้นตอนนี้ทั้งไม่ได้ขาขาดและไม่ได้แขนขาด บนตัวยิ่งไม่มีฝี ทำงานอะไรจริงจังไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าอย่าเป็นกังวลนักเลย”
ไม่ว่าจะเป็นพระหรือผู้มีความสามารถบนโลกมนุษย์ หรือภูต มาร และปีศาจจำนวนหนึ่ง รวมถึงขโมยและอันธพาล คนที่รู้เรื่องงานชุมนุมวารีปฐพีแล้วไปจังหวัดจิงจีอย่างขอทานชราไม่มีทางน้อยอย่างแน่นอน
ถึงแม้ไม่มีวิญญาณร้ายมาเลย แค่คิดว่าเทพอันธพาลรวมตัวกันที่งานใหญ่ในเมืองหลวง ในบางระดับก็นับว่าเป็น ‘กลุ่มมารก่อความวุ่นวาย’ แล้ว
แม้รัฐทงใกล้กับจังหวัดจิงจี แต่จังหวัดจางเยวี่ยและจังหวัดจิงจีกลับกั้นไว้ด้วยพื้นที่ของสองจังหวัด ขอทานชราและขอทานเด็กตื่นนอนแล้วหาข้าวกินไปพลาง เดินทางไปพลาง เหนื่อยแล้วก็หาสถานที่บังลมกันฝนได้นอนหลับ อย่างไรเสียวันนี้ก็อากาศไม่ร้อนไม่หนาว
การเดินเท้าเช่นนี้ไม่นับว่าช้า ทว่าใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็ม อาศัยสองขาเดินจากจังหวัดจางเยวี่ยไปยังจังหวัดจิงจี
วันนี้ขอทานหนึ่งชราหนึ่งเด็กต่อแถวรอเข้าเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะเมื่อคืนนอนใกล้ประตูเมือง ดังนั้นเช้าวันนี้ตื่นขึ้นมายังไม่ถึงเวลาเปิดประตูเมือง ขอทานทั้งสองจึงได้ต่อแถวอยู่ข้างหน้าสุด
ชาวนาแบกหามที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังทิ้งระยะห่างจากพวกเขาสองคนอย่างอดไม่ได้ เพราะขอทานทั้งสองไม่เพียงกลิ่นตัวแรง ขอทานชราผู้นั้นยังเการ่างกายอยู่เรื่อยๆ เกรงว่าบนตัวจะมีเหากระมัง
ขอทานชราหาว มองคนที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังหลายครั้ง เห็นแถวยาวขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเห็นผู้แต่งกายเหมือนผู้สูงส่งจำนวนหนึ่งอยู่ในแถว จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ตึก...เอี๊ยด…
“ประตูเมืองเปิดแล้ว!”
ทหารข้างในเปิดประตูเมือง ถนนของจังหวัดจิงจีปรากฏแก่สายตาของผู้ที่ต้องการเข้าเมือง
เดิมทีขอทานไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป แต่ขอทานเด็กเห็นว่าแม้ขอทานชราจะสกปรกรุงรัง กระนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าทหารเฝ้าประตูสอบถามกลับทำท่าทางสง่างามออกมา
“ข้ามาเข้าร่วมชุมนุมวารีปฐพี” เขาพูดอย่างมั่นใจ สายตามองตรงไปยังอีกฝ่ายโดยไม่หลบเลี่ยง ทำให้ทหารลังเลเล็กน้อย และปล่อยให้เข้าไปในที่สุด
เมืองหลวงคึกคักไม่ธรรมดาจริงๆ ต่อให้เป็นในอดีตจังหวัดจางเยวี่ยก็ไม่อาจเทียบได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันแบบนี้ ทำเอาขอทานเด็กมองแล้วลายตาไปหมด
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หลังขอทานทั้งสองเดินเล่นในเมืองแล้วรอบหนึ่งก็ยังคงทำนิสัยเก่า เตรียมหาที่เหมาะสมนั่งลงขอข้าวกิน
“โอ้! ตรงนี้ไม่เลวเลย ได้กลิ่นอาหารจากสองข้างทาง มองเห็นคนเดินจากทุกทิศทาง”
ขอทานชราจูงมือขอทานเด็ก เดินไปยังมุมกำแพงฝั่งตรงข้ามโรงน้ำชาอย่างอารมณ์ดี บริเวณนั้นมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ทั้งสองคนนั่งลงแล้วขอทานเด็กถือโอกาสวางชามแตกไว้ตรงหน้า
เห็นขอทานชรากำลังเริ่มงีบหลับ ขอทานเด็กมองซ้ายมองขวาสังเกตรอบข้างด้วยความสนใจ
‘เมืองหลวงคึกคักมากจริงๆ มีขอทานแค่ไม่กี่คนเอง!’
สายตาสาดส่อง มองเห็นคนผู้หนึ่งที่โต๊ะหน้าประตูโรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม กำลังยกถ้วยน้ำชาสังเกตตนเองอย่างสงบ คนผู้นั้นราวกับเป็นแม่เหล็กที่พิเศษชิ้นหนึ่ง ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของขอทานเด็กได้ในทันที
ถนนที่กั้นไว้ไม่นับว่ากว้าง เป็นระยะห่างสี่ถึงห้าจั้ง ด้วยสายตาของขอทานเด็กมองเห็นรูปลักษณ์ของคนผู้นี้อย่างชัดเจน ท่าทางเป็นคุณชายสง่างามมีการศึกษา แม้ดวงตาคู่นั้นเปิดออกเพียงครึ่งเดียว แต่มองอย่างละเอียดก็มองออกว่าเป็นสีเทา
“ท่านปู่หลู่ ที่โรงน้ำชาเหมือนกับมีคนตาบอดกำลังมองพวกเราอยู่…”
“หึๆ เด็กโง่ คนตาบอดอะไรมองพวกเรา คำพูดนี้ของเจ้าแปลกยิ่งนัก!”
“แต่ข้ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ…”
ขอทานชราเกาแก้คัน ลุกขึ้นนั่งชำเลืองมองไปตามสายตาของขอทานเด็ก การชำเลืองมองนี้ทำให้เขาชะงักงัน หลังจากหันไปมองอย่างละเอียดแล้วละสายตาไม่ได้เลย
ท่าทางนิ่งสงบ ดวงตาสีเทาไร้ระลอกคลื่น ไม่ได้เผยแสงเทพทว่าเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกบริสุทธิ์จากการมองครั้งนี้เกิดขึ้นทั้งในความรู้สึก ดวงตา และหัวใจ
ขอทานชราเหลือบของขอทานเด็กข้างๆ กล่าวพึมพำด้วยความงุนงงอยู่บ้าง
“โหยวเอ๋อร์…นี่ไม่ใช่คนตาบอดธรรมดา!”