เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 233 ผู้สูงส่งรวมตัวมากมายจริงๆ
หลังจากทำความเข้าใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จี้หยวนรู้ว่ารูปลักษณ์ของตนเองน่าจะถูกเล่าต่อกันในหมู่ผู้มีมรรคเทพระดับบนของต้าเจินเท่านั้น
ถูกเล่าต่อกันในหมู่เทพหลักเมืองและเจ้าที่ซึ่งมีฐานะค่อนข้างสูงจำนวนหนึ่ง หรือเทพแม่น้ำเทพทะเลสาบที่เดินบนเส้นทางใกล้เคียงกับมนุษย์อาจรู้ ข้อมูลอย่างอื่นค่อนข้างมีอภินิหาร ส่วนมากรู้ว่าภายในต้าเจินซ่อนผู้ทรงพลังที่สามารถ ‘ชักกระบี่ทลายฟ้า’ ได้
ความจริงแล้วใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ยิ่งนาน เรื่องที่เข้าใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จี้หยวนยิ้มด้วยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมรรคในโลกของการฝึกปราณ จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่าซับซ้อนก็ซับซ้อน แม้มีความใกล้เคียงกันในระดับหนึ่ง แต่ความจริงแล้วไม่ข้องเกี่ยวกันและไม่เป็นของกันและกัน มีความรู้สึกของการฝึกฝนอย่างเป็นอิสระภายใต้สมมติฐานของความเข้าใจโดยปริยายบางอย่าง
พูดโดยทั่วไปแล้วโลกการฝึกปราณค่อนข้างกระจัดกระจาย มีจุดร่วมกันคือมรรคเซียน กลุ่มเทพหลักเมืองที่อาศัยพลังมนุษย์เหมือนกัน แท้จริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
แต่ครั้งนี้ฮ่องเต้หยวนเต๋อแห่งต้าเจินจัดงานชุมนุมวารีปฐพีท่ามกลางอุปสรรคมากมาย นอกจากการรวมตัวกันของ ‘ผู้สูงส่งมีชื่อเสียง’ ที่ภายนอก ก็นับว่าเป็นการดึงดูดกองกำลังฝึกปราณดั้งเดิมภายในอาณาเขตต้าเจินให้มารวมตัวกันที่ค่อนข้างหาได้ยากโดยนัย อย่างเขาล้อมหยก ตัวแทนของจวนเซียน ประมุขมังกร ตัวแทนเผ่าปีศาจฝึกปราณสายตรง ไปจนถึงท่านเทพทั่วพื้นที่ของจังหวัดจิงจี
ไม่ว่ามีเรื่องหอความลับสวรรค์หรือไม่ ต้าเจินก็ยังคงเป็นสถานที่ฝึกปราณเป็นเวลานานของทุกคน พลังของมนุษย์ซับซ้อนเกินไป นำความไม่บริสุทธิ์มาสู่จิตวิญญาณได้ง่าย แต่คงยอมให้มารนอกรีตจอมยุ่งมาสร้างปัญหาไม่ได้
จี้หยวนเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ผูกมัด และคงไม่เกินไปหากพูดว่าเขาเป็นผู้นำ ด้วยอำนาจและชื่อเสียงของท่านจี้ผู้อยู่ในระดับของโลกการฝึกปราณแห่งต้าเจินปัจจุบันนี้ เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถโน้มน้าวทุกฝ่าย หรือเรียกได้ว่าเป็นเพียงผู้เดียวที่กล้าทำให้ทางฝั่งประมุขมังกรร่วมมือด้วยได้
เพื่อเรื่องนี้ ระหว่างหนึ่งเดือนกว่าที่ออกจากจวนของอาจารย์อิ๋น จี้หยวนไม่ได้ว่างเลยสักนิด เหมือนจะยุ่งและเหนื่อยยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำไป
ในฐานะที่เป็นสถานที่จัดงานชุมนุมวารีปฐพี จังหวัดจิงจีย่อมเป็นเวทีแสดงในใจของจี้หยวน สุดท้ายเขากลับจังหวัดจิงจีเร็วหน่อย แต่อย่างน้อยก็ก่อนงานชุมนุมจะเริ่ม ที่นี่ค่อนข้างสงบอย่างแน่นอน อย่างไรเสีย ‘เหล่าผู้สูงส่ง’ เดินทางมาก็ต้องใช้เวลา
วันนี้ดวงตะวันยามเช้าตรู่แหวกเมฆหมอก มือข้างหนึ่งของจี้หยวนไพล่หลัง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งถือแผ่นไม้ไผ่เดินอยู่ในเมือง
“มาๆๆ ต่อได้แล้วกระมัง”
“ท่านดื่มชาก่อนสิ”
“เอาขนมถั่วเหลืองให้คุณชายกล่องหนึ่ง คิดบัญชีที่ข้า”
“ได้เลย…”
…
เสียงจากโถงน้ำชาบริเวณใกล้เคียงทำให้จี้หยวนผ่อนฝีเท้า น่าจะมีคนกำลังเล่าเรื่อง
ปัง
เสียงไม้ปลุกสติดังขึ้น บ่งบอกว่านักเล่าเรื่องเข้าถึงอารมณ์แล้ว
“ครั้งก่อนเล่าถึงแม่ทัพหวงสร้างความสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพโดยที่อายุสามสิบเกือบสี่สิบปีเท่านั้น…จากนั้นเป็นแม่ทัพหวงนำชื่อเสียงชิงชัยไปทั่วหล้า จนได้ชื่อว่า ‘นักรบเขาบูรพา’!”
เมื่อได้ยินดังนั้น จี้หยวนหยุดฝีเท้า จำได้ว่าในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งของจังหวัดจวินเทียนแห่งรัฐอี๋ เขาก็เคยฟัง ‘ตำนานแม่ทัพหวง’ เช่นกัน ครั้งนั้นได้ฟังช่วงแรกพอดี ทว่าไม่ได้ฟังช่วงหลังเพราะมีธุระ วันนี้ยังเอิญได้ยินคนเตรียมเล่าถึงช่วงหลัง นับว่ามีวาสนาทีเดียว
ดังนั้นจี้หยวนเปลี่ยนทิศทาง เข้าไปในโรงน้ำชาแล้ว
คนเพิ่งถึงหน้าประตู พนักงานโรงน้ำชาก็เดินมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“โอ้ ลูกค้ารีบเข้ามาเถอะ ยินดีต้อนรับสู่โถงใบเขียว ท่านต้องการห้องส่วนตัวข้างบนหรือ…”
จี้หยวนส่งเสียงชู่ จากนั้นชี้ไปยังโต๊ะใกล้ๆ นักเล่าเรื่อง
“หาโต๊ะว่างชั้นล่าง ข้ามาฟังเรื่องเล่า”
“ฮ่าๆๆ ตกลง ลูกค้าตามข้ามา!”
พนักงานโรงน้ำชาพูดเสียงเบาตามสัญชาตญาณ พยักหน้าโค้งตัวผายมือเชื้อเชิญ จากนั้นนำทางอยู่ข้างหน้า สุดท้ายนำทางจี้หยวนไปยังโต๊ะสะอาดตัวหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าต่าง อีกทั้งใช้ผ้าเช็ดโต๊ะให้อีกด้วย
ขนมแป้งข้าวจานหนึ่ง ขนมถั่วเหลืองจานหนึ่ง เมล็ดทานตะวันจานหนึ่ง และผลซิ่งแห้งจานหนึ่ง กอปรกับชาใสที่เพิ่งชงใหม่กาหนึ่ง ทั้งหมดนี้คือของจี้หยวน นั่งฟังนักเล่าเรื่องอย่างสบายใจเฉิบอยู่ตรงนั้น
“โอ้! ตรงนี้ไม่เลวเลย ได้กลิ่นอาหารจากสองข้างทาง มองเห็นคนเดินจากทุกทิศทาง”
เสียงชราค่อนข้างน่าขบขันดังมาจากข้างนอก แค่ได้ยินเสียงก็ดึงดูดความสนใจของจี้หยวนจากนักเล่าเรื่องแล้ว จากนั้นเขาเห็นสองขอทานหนึ่งชราหนึ่งเด็กนั่งอยู่ที่มุมกำแพงฝั่งตรงข้าม ขอทานเด็กผู้นั้นวางชามกระเบื้องแล้วเรียบร้อย
“ท่านปู่หลู่ ที่โรงน้ำชาเหมือนกับมีคนตาบอดกำลังมองพวกเราอยู่…”
เมื่อได้ยินดังนั้น จี้หยวนยิ้มเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ จากนั้นมองเห็นขอทานชราชำเลืองมองมาทางนี้เช่นกัน วินาทีที่สายตาสบกัน จี้หยวนเห็นความอึ้งงันชัดเจนของขอทานชราได้ในทันที
ตอนที่ขอทานชรากำลังพูดพึมพำ จี้หยวนอมยิ้มแล้วพยักหน้าให้ฝ่ายตรงข้าม
ในสถานการณ์แบบนี้ ขอทานชรารู้ว่าอีกฝ่ายมองความเป็นมาของเขาออกอย่างชัดเจน
ขอทานเด็กมองท่าทางที่ยากนักจะปรากฏให้เห็นของขอทานชรา จากนั้นมองคุณชายตาสีเทาที่อยู่ตรงโรงน้ำชา
“ท่านปู่หลู่…ท่านรู้จักเขาหรือ”
“ไม่รู้จัก…แต่อีกไม่นานจะรู้จักแล้ว”
เป็นไปตามคาด จี้หยวนเรียกพนักงานโรงน้ำชามา พูดสองสามประโยคก่อนวางเหรียญเงินพวงหนึ่ง หลังจากพนักงานโรงน้ำชาพยักหน้าแล้วถึงลุกขึ้นยืน
แต่จี้หยวนไม่ได้คิดเชิญขอทานสองคนเข้ามาในหอใบเขียว ปีนั้นเขามีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกัน เมื่อเข้าไปในร้านอาหารแล้วส่งผลกระทบต่อกิจการของอีกฝ่าย อีกอย่างรูปลักษณ์ของทั้งสองคนยังย่ำแย่กว่าเขาในปีนั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
ดังนั้นจี้หยวนวางกาน้ำชา จานขนม และอย่างอื่นบนโต๊ะบนม้านั่งตัวยาว จากนั้นใช้มือขวารองม้านั่งตัวยาวนี้ ส่วนมือซ้ายยกม้านั่งตัวยาวอีกตัวขึ้น แล้วก้าวออกจากโรงน้ำชาแบบนี้ไปยังมุมกำแพงฝั่งตรงข้าม
ตอนเดินไป ขอทานหนึ่งชราหนึ่งเด็กล้วนมองจี้หยวน ทว่าจุดสนใจของผู้ชราคือตัวจี้หยวน ส่วนจุดสนใจของผู้เยาว์ย้ายไปยังบนม้านั่งตัวยาวที่มือขวา พูดให้ถูกต้องคือขนม
จี้หยวนวางม้านั่งตัวยาวที่ขนม กาน้ำชา และของอย่างอื่นลงก่อน จากนั้นค่อยวางม้านั่งตัวยาวที่มือซ้ายลง แล้วถึงประสานมือทักทายขอทานทั้งสองคน
“ข้าจี้หยวน ขอทักทายผู้เดินทางไกลทั้งสอง หากไม่รังเกียจก็ดื่มชาด้วยกันหน่อยเถอะ”
จี้หยวนพูดพลางชี้ไปยังม้านั่งที่ยังว่างอยู่ กล่าวเสริมอีก
“ชากับขนมหยิบกินได้ตามสบาย ข้าจ่ายเงินแล้ว”
ขอทานเด็กมองขอทานชราด้วยสายตาคาดหวังในทันที ฝ่ายหลังเกาคอลุกขึ้นยืน ประสานมือให้จี้หยวนอย่างไม่ค่อยจะถูกต้องนัก
“ข้าชื่อว่าหลู่เนี่ยนเซิง เด็กคนนี้ชื่อว่าหลู่เสี่ยวโหยว”
จี้หยวนประหลาดใจเล็กน้อย
“หลานชายท่านหรือ”
“ฮ่าๆๆ…ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ไม่มีชื่อแซ่ ข้าเติมแซ่หลู่ไปที่หน้าชื่อเขาเอง”
ขอทานชราพูดพลางปัดก้น ก่อนจะหยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปากแล้วนั่งลงบนม้านั่งยาว ปากพูดกับขอทานเด็กว่า
“กินเถอะ”
“เยี่ยมไปเลย!”
ขอทานเด็กร้องด้วยความยินดี มองจี้หยวนแล้วคารวะเขาอย่างถูกต้องเมื่อเทียบกับขอทานชรา จากนั้นนั่งลงที่มุมหนึ่งของม้านั่งยาวอีกตัว หยิบขนมหลายชิ้นยัดใส่ปาก
การปัดก้นของชายชราทำให้ฝุ่นตลบ แต่จี้หยวนกลับไม่คิดใส่ใจ นั่งลงข้างขอทานชราโดยตรง ครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งที่เหลือของม้านั่วยาว จากนั้นพลิกแก้วชาสามใบในถาดชา แล้วยกกาน้ำชาเทใส่แก้วทั้งสามใบ
แก้วแรกมอบให้ขอทานเด็กที่ยัดขนมใส่เต็มปาก
“ระวังสำลัก”
“อึก...ข้ารู้…”
ขอทานเด็กกอบถ้วยชาด้วยสองมือ กลืนขนมอย่างยากลำบากแล้วถึงกรอกน้ำชาใส่ปากเพื่อล้างปาก จากนั้นกล่าวคำว่า “ขอบคุณ”
ขอทานชรามองเห็นตอนฝุ่นผงปลิวมาใกล้ตัวคุณชายผู้นี้ ฝุ่นผงกลิ้งลงกับพื้นด้วยตนเองเสียอย่างนั้น ดวงตาสองข้างเบิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นมีท่าทีสบายๆ เหมือนกับจี้หยวน ยกถ้วยชาอีกใบหนึ่งที่เหลือบนถาดน้ำชาขึ้น
“เดิมทีคิดว่างานชุมนุมวารีปฐพีควรจะเต็มไปด้วยปีศาจวิญญาณร้าย ไม่คิดเลยว่าจะมีผู้สูงส่งมาถึงที่จริงๆ”
ขอทานชราผู้นี้ไม่ใช่คนของเขาล้อมหยกอย่างแน่นอน เรื่องนี้จี้หยวนแน่ใจได้ ความใคร่รู้ในคำพูดนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นขอทานชรายกน้ำชาขึ้นดื่มอึกใหญ่ หรี่ตาสัมผัสถึงรสชาติ แล้วพนักหน้าเบาๆ ให้คำพูดของจี้หยวน
“สิ่งที่คุณชายว่า ข้าผู้ชราก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!”
เช่นเดียวกัน ขอทานชรารู้ว่าจี้หยวนเป็นคนแน่ๆ ทว่าไม่ใช่ผู้ฝึกปราณจากเขาล้อมหยก บนตัวของท่านจี้ผู้นี้ไม่มี ‘ปราณสูงส่ง’ ที่อาจมากหรือน้อยเหมือนผู้ฝึกปราณทั่วไปเลย
“ผู้อาวุโสมาเข้าร่วมงานชุมนุมวารีปฐพีจริงหรือ”
จี้หยวนมองขอทานผู้นี้ ไม่มีแสงเทพพลังใดฉายชัดเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะตาทิพย์ของเขามองเห็นท่วงทำนองวิญญาณที่ไหลเวียนซ่อนอยู่โดยรอบ ก็ง่ายยิ่งนักจะมองข้ามไปได้
“ท่านจี้มาเข้าร่วมงานชุมนุมไม่ใช่หรือ”
ขอทานชรามองจี้หยวนเช่นกัน
“ย่อมไม่ใช่”
เห็นขอทานชราไม่เปิดเผยอะไร จี้หยวนตอบกลับคำหนึ่งแล้วจึงดื่มน้ำชา ขณะเดียวกันเงี่ยหูฟังการเล่าเรื่องอันยอดเยี่ยมจากนักเล่าเรื่องภายในโรงน้ำชา ตอนนี้ถึงช่วงตื่นเต้นแล้ว ขอทานชรายังอยากพูดอีก จี้หยวนพลันยกมือซ้ายขึ้นห้ามเขาตามสัญชาตญาณ
จนกระทั่งจุดสำคัญของเรื่องแม่ทัพหวงนักรบเขาบูรพาปิดฉากลง จี้หยวนถึงดื่มชาในถ้วยจนหมด แล้วยกกาน้ำชาเทเติมให้ตนเองและขอทานชรา
ตอนจี้หยวนฟังเรื่องเล่า ขอทานชราสังเกตเขาอย่างละเอียดตลอดเวลา พบว่าคนผู้นี้ไม่ได้แสร้งทำ ตั้งอกตั้งใจฟังจริงๆ จึงเกิดความสนใจต่อจี้หยวนอย่างอดไม่ได้
“ท่านจี้สนใจเรื่องเล่าชาวบ้านพรรค์นี้ด้วยหรือ”
จี้หยวนยิ้ม
“โลกมนุษย์มีสิ่งต่างๆ มากมาย เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมหัศจรรย์”
แม้พูดด้วยความนัยลึกซึ้ง แต่ความจริงแล้วฟังเพื่อให้สร้างความสนุกตอนที่เบื่อเท่านั้นเอง
ขอทานเด็กกินขนมไปพลาง ฟังสองคนสนทนากันไปพลาง แม้เขางุนงงอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่อยู่ในปากหอมหวานพาให้มีความสุข จี้หยวนและขอทานชราผลัดกันพูด ถึงทั้งหมดเกี่ยวข้องกับงานชุมนุมวารีปฐพี ทว่าไม่ได้เลือกพูดเรื่องปีศาจมารอะไรสักเท่าไหร่
สองฝ่ายล้วนเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกปราณสายตรง และมรรควิถีไม่ต่ำอย่างแน่นอน ตอนนี้บังเอิญพบกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน ให้ความรู้สึกชนิดที่เพิ่งรู้จักกันแต่ไม่จำเป็นต้องถามที่มา พูดคุยกันอย่างสบายใจเพียงเท่านั้น
ลูกค้าหลายคนในโรงน้ำชา พนักงานโรงน้ำชาที่กระตือรือร้นเสมอคนนั้น ไปจนถึงคนเดินถนนผ่านมา หลายต่อหลายคนให้ความสนใจคนแปลกกลุ่มหนึ่ง เพราะพวกเขาเตะตาและพิเศษเหลือเกิน
โดยเฉพาะขอทานชราที่เนื้อตัวสกปรกจนเหลือเชื่อและจี้หยวนที่เพียบพร้อมสง่างามนั่งอยู่บนม้านั่งเดียวกัน แต่ชัดเจนว่าเข้ากันอย่างน่าประหลาด คนหนึ่งประคองถ้วยชา คนหนึ่งบีบถ้วยชา เมื่อดื่มชาสนทนากันก็เป็นธรรมชาติยิ่งนัก
หลงจู๊หอใบเขียวมองผ่านประตูมาทางนี้เช่นกัน ในใจครุ่นคิดอย่างอดไม่ได้
‘ฮ่องเต้ประกาศกับใต้หล้าว่าจะจัดงานชุมนุมวารีปฐพี เห็นทีจะมีผู้สูงส่งมารวมตัวกันจริงๆ…’