เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 234 หัวเราะจวนฉู่หรือหัวเราะผู้สูงส่ง
บางครั้งพูดคุยกับคนคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องถามคำถามละลาบละล้วงอย่างมาจากที่ใด กำลังจะไปที่ใด เพียงสนทนากันอย่างสบายใจสักครั้งก็เพียงพอ ระหว่างจี้หยวนนั่งอยู่กับขอทานชรา เขารับรู้ได้ถึงจิตใจและทัศนคติของอีกฝ่าย
ต้าเจินแห่งนี้ไม่ใช่ของจี้หยวน เขาไม่เคยคิดพูดเองเออเองฝ่ายเดียว ยิ่งตอนนี้อารมณ์ดีมาก ในเมื่อรู้สึกได้ว่าขอทานชราไม่อยากพูดเรื่องที่มาของตนเองมากนัก เช่นนั้นเขาก็ไม่ถาม อีกฝ่ายไม่ถามเรื่องราวของจี้หยวนละเอียดเช่นกัน
‘แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน’
เมื่อมีความคิดนี้แล้ว จี้หยวนยิ่งพูดคุยกับขอทานชราด้วยความสบายใจยิ่งขึ้น อย่างไรเสียตนเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากอีกฝ่าย เพิ่งพบกันทว่าพูดคุยกันถูกคอถือว่าหาได้ยากทีเดียว
พวกเขาดื่มชาช้าๆ น้ำชาก็ไม่เย็นเสียที รอจนน้ำชาในกาขนาดใหญ่หมดเกลี้ยงแล้ว ตำนานแม่ทัพหวงที่นักเล่าเรื่องเล่าอยู่ในโรงน้ำชาก็จบสมบูรณ์
ไม้ปลุกสติฟาดลงดังปัง ด้วยความจงรักภักดีของตระกูลหวง สุดจบตายตกเพราะหมดประโยชน์ ทำให้เหล่าผู้ฟังซึ่งเป็นลูกค้าในโรงน้ำชาต่างรู้สึกเศร้า
เพราะเริ่มใกล้เที่ยงวันแล้ว อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ การเล่าเรื่องเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะที่อาศัยทั้งแรงกายและสมอง ดังนั้นผู้อาวุโสนักเล่าเรื่องจึงมีเหงื่อเต็มใบหน้าในตอนนี้ ขณะใช้ผ้าเปียกเช็ดหน้าก็ฟังเสียงปรบมือรอบๆ และเก็บเหรียญทองแดงอันเป็นเงินรางวัลจากบนโต๊ะด้วย
“อืม ได้เวลาแล้ว”
จี้หยวนฟังเรื่องเล่าจบ ดื่มน้ำชาอึกสุดท้ายในถ้วยแล้วลุกขึ้นยืนโดยตรง
ขอทานชราไม่ขยับ ขอทานเด็กกลับลุกขึ้นยืนตามจิตใต้สำนึก เขารู้สึกว่าม้านั่งตัวนี้ต้องนำกลับไปคืน ส่วนจานบนนั้นต้องว่างเปล่า
ม้านั่งตัวหนึ่งเหลือให้ขอทานชราและขอทานเด็กนั่ง จี้หยวนนำม้านั่งอีกตัวหนึ่ง รวมถึงจานและกาน้ำชาบนนั้นกลับโรงน้ำชา ก่อนจะถือโอกาสรับเงินมัดจำเมื่อครู่นี้คืนมาด้วย จากนั้นพยักหน้าให้ขอทานชราแล้วหมุนกายจาดไป
ขอทานหนึ่งชราหนึ่งเด็กล้วนน่าสนใจทีเดียว แต่มีจี้หยวนอยู่ด้วยขอทานเด็กระมัดระวังตัวอย่างชัดเจน สิ่งที่ควรพูดคุยกันก็พูดคุยไปหมดแล้ว เขาจึงไม่คิดพัวพันอะไรมากอีก
เมื่อจี้หยวนจากไปแล้ว พนักงานโรงน้ำชาเดินไปที่โต๊ะหน้าโรงน้ำชา ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวกับหลงจู๊
“หลงจู๊ ให้ข้าไปเอาม้านั่งตัวนั้นกลับมาไหม”
หลงจู๊ยื่นมือไปตบศีรษะเขาเบาๆ
“เจ้าโง่หรืออย่างไร!”
นอกโรงน้ำชา บนม้านั่งตัวยาวตอนนี้กลายเป็นว่าสองขอทานนั่งอยู่ด้วยกัน สำหรับคนเดินเท้าที่ผ่านไปมา อัตราการเลี้ยวกลับลดลงอย่างรวดเร็ว
ขอทานเด็กมองโรงน้ำชาแล้วมองทิศทางที่จี้หยวนจากไป จากนั้นใช้ข้อศอกกระทุ้งขอทานชราที่กำลังเกาแก้คันพลางครุ่นคิด ราวกับอยากมอบของล้ำค่าให้
“ท่านปู่หลู่ ดูสิ!”
ขอทานชราหันไปมอง เห็นข้างๆ ขอทานเด็กมีห่อผ้าขนาดใหญ่ ในนั้นใส่ขนม ผลไม้แห้ง และเมล็ดแตงเอาไว้
“ไอ้หยา ขอบคุณที่เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้กินหมด!”
“ไหนเลยจะไม่เก็บไว้ให้ท่านปู่หลู่ได้ ข้าซ่อนไว้มากกว่าครึ่งเชียวนะ!”
ขอทานเด็กพึมพำอย่างประหม่า “ข้าเห็นว่าเขาไม่กิน อีกทั้งเขาไม่เสียดายเงินด้วย…”
ขอทานชรายิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
พวกเขาไม่ได้นั่งอยู่บนม้านั่งนานก็รู้สึกว่าขอทานสองคนนั่งอยู่บนม้านั่งมองคนเดินผ่านไปมาออกจะแปลกอยู่บ้าง จึงกลับไปนั่งบนพื้นดังเดิม แล้ววางชามแตกไว้บนม้านั่งแทน
ประมาณหนึ่งเค่อกว่าให้หลัง กลิ่นหอมของอาหารจากร้านอาหารโดยรอบยิ่งมายิ่งเข้มข้น ขอทานเด็กต่อให้เติมขนมใส่ท้องจนเต็มแล้ว แต่ได้กลิ่นแล้วก็ยังคงน้ำลายสอ ส่วนขอทานชราหลับตาพิงหลังกับมุมกำแพง
“โหยวเอ๋อร์ ของดีมาแล้ว!”
ขอทานชราพูดขึ้นมาอย่างยากจะเข้าใจ ทำให้ขอทานเด็กงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ถึงเข้าใจได้บ้างในที่สุด เพราะพนักงานโรงน้ำชาหอใบเขียวกำลังยกถาดใบหนึ่งเดินมาทางพวกเขา
บนถาดคือชามกระเบื้องที่ใหญ่กว่าศีรษะของขอทานเด็ก ในชามมีบะหมี่ส่งกลิ่นหอมฉุยเต็มไปหมด ราดด้วยน้ำราดเนื้อ อีกทั้งเสียบตะเกียบไว้สองคู่
พนักงานโรงน้ำชาวางชามกระเบื้องใหญ่ลงบนม้านั่งยาว เมื่อประสานมือแล้วก็ถอยกลับไปในโรงน้ำชา ขอทานชรามองในนั้น หลงจู๊โรงน้ำชาประสานมือมาทางนี้เช่นกัน
ง้างมือไม่ตบผู้ยิ้มตอบ ขอทานชราผู้นี้ก็ประสานมืออย่างมีมารยาทเช่นกัน
“ท่านปู่หลู่…นี่…ให้พวกเรากินหรือ”
“กินสิ ใครไม่กินก็โง่แล้ว! ไยเจ้าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เช่นนั้น”
ขอทานชรามองขอทานเด็กอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่ได้กินอาหารดีๆ แบบนี้มานานครึ่งปีแล้ว
“เอ่อ…ถ้ารู้แต่แรกคงไม่กินขนมเยอะนาดนั้น…”
ขอทานชราชะงัก ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างอดไม่ได้ ทำให้คนเดินถนนโดยรอบหันมามองอยู่บ่อยครั้ง
จากนั้นขอทานทั้งสองก็หยิบตะเกียบขึ้น ใช้ม้านั่งยาวต่างโต๊ะ ยกชามกระเบื้องใหญ่สวาปามอย่างบ้าคลั่ง ขอทานเด็กถึงแม้อิ่มแล้ว แต่ก็ไม่อาจให้บะหมี่ชามนี้เสียเปล่าไปได้
พวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อย ทำเอาคนเดินผ่านจำนวนหนึ่งเปลี่ยนใจเลี้ยวเข้าร้านบะหมี่ข้างๆ เพราะเห็นสองคนกินแล้วดูน่าอร่อยจริงๆ
…
ใกล้กลางฤดูใบไม้ร่วงขึ้นทุกที ผู้สูงส่งจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วต้าเจินมารวมตัวกันที่จังหวัดจิงจีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันผู้ชอบความคึกคักที่มีทั้งเงินและเวลาว่างจากทั้งอาณาจักรล้วนตบเท้ามาที่เมืองหลวงด้วย
ดังนั้นจังหวัดจิงจีที่แต่เดิมก็คึกคักมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งคึกคักไม่ต่างจากวันปีใหม่ มองเห็นสิ่งของสวยงามมากมายตรงหัวถนนอยู่เรื่อยๆ
หากเดินบนถนนแล้วมองเห็นคนแต่งตัวแปลกหรือหน้าตาไม่เข้าพวก หรือแปลกตาไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าได้พบ ‘ผู้สูงส่ง’ แล้ว
ชาวบ้านที่เมืองหลวงและผู้ชอบความคึกคักสนใจในงานชุมนุมวารีปฐพีมากอยู่แล้ว จึงกลายเป็นเทศกาลใหญ่ที่ใครหลายๆ คนรอคอย
ทว่าสำหรับขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องนี้ในราชสำนักกลับบ่นตลอดเวลา เพราะต้องสร้างแท่นพิธีทีละแท่น สร้างสนามทีละสนาม อีกทั้งต้องรีบทำงานตลอดเวลา ใช้จ่ายเงินออกไปราวกับกระแสน้ำ
โดยเฉพาะผู้สูงส่งที่มารวมตัวกันเหล่านั้น หลังจากรายงานตัวแล้วราชสำนักต้องรับผิดชอบเรื่องอาหาร ที่พักอาศัย และเรื่องจิปาถะจำนวนหนึ่งของพวกเขา ลำบากยังพอว่า แต่ใช้เงินไม่น้อยเลย เล่ากันว่าแม้แต่ขอทานก็ยังมี เจ้าหน้าที่เล็กๆ ของสถานพักม้าไล่คนหลายรอบล้วนไม่สำเร็จ สุดท้ายกลัวว่าเรื่องราวจะบานปลายเลวร้ายลง จึงทำได้เพียงปล่อยให้ขอทานอยู่ในสถานพักม้า
วันที่หกเดือนแปด ถนนสันตินิรันดร์นอกจวนตระกูลฉู่
วันนี้นายใหญ่ตระกูลฉู่ต้องการเชิญบุคคลที่เล่ากันว่ายอดเยี่ยมมาเป็นแขกที่จวน ทำให้วันนี้ทั้งจวนยุ่งวุ่นวายกันไปหมด
ตกเย็น นายใหญ่ตระกูลฉู่และคุณชายตระกูลฉู่สองคนขี่ม้านำข้ารับใช้ของตระกูลเดินทางไป ยกเกี้ยวขนาดใหญ่แปดหลังเดินออกจากจวนตระกูลฉู่สู่ถนนสันตินิรันดร์ ขบวนนี้ไม่ใช่เล็กๆ เลยจริงๆ
จนกระทั่งถึงนอกจวนโอ่อ่า ผู้อาวุโสสวี่ที่เป็นพ่อบ้านออกมาต้อนรับและจูงม้าให้นายใหญ่ฉู่แล้ว
“ท่านอาสวี่ เตรียมงานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง”
นายใหญ่ฉู่มองเกี้ยว และเพื่อความมั่นใจ เขาถามพ่อบ้านสวี่อีกครั้ง
“นายใหญ่โปรดวางใจ เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”
“อืม!”
นายใหญ่ฉู่พยักหน้า จากนั้นเดินไปทางเกี้ยวพร้อมบุตรชายสองคนที่ลงจากม้าแล้ว โค้งกายประสานมือกล่าว
“ไต้ซือทั้งสอง ถึงบ้านของข้าแล้วขอรับ”
“อืม!”
เสียงอืมไม่ดังไม่เบาดังมาจากในเกี้ยว หลังจากนั้นมีผู้อาวุโสชายหนึ่งหญิงหนึ่งอายุประมาณหกหรือเจ็บสิบปีเดินออกมา สวมชุดคลุมยาว ฝ่ายชายดูเคร่งขรึม ฝ่ายหญิงดูใจดี มีมาดของผู้สูงส่งมรรคเซียนอย่างยิ่ง
พ่อบ้านสวี่ที่อยุ่ข้างๆ หรี่ตามองทั้งสองคนอย่างละเอียด ทุกทวงท่าไม่เหมือนลูกหลานตระกูลใหญ่เลยสักนิด ทว่าหากเป็นนักต้มตุ๋นหลอกลวงคนก็อาจไม่ใช่ กระนั้นด้วยสัญชาตญาณของผู้มีวรยุทธ์ เลือดลมปะทะกันอย่างหนัก มองพวกเขาแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างน่าประหลาด
ไต้ซือสองคนที่นายใหญ่ฉู่เรียกออกจากเกี้ยวแล้วมองขื่อบนประตูของจวนตระกูลฉู่เป็นอันดับแรก บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม แค่มองขื่อบนประตูอย่างเดียวก็รู้ว่าจวนตระกูลฉู่ต้องร่ำรวยไม่ธรรมดา
นายใหญ่ฉู่ประสานมืออีกครั้งก่อนจะผายมือ
“เชิญไต้ซือ!”
“อืม นายใหญ่ฉู่นำทางเถอะ”
พ่อบ้านสวี่ขมวดคิ้วในทันที ปราณแท้ภายในกายปะทุขึ้นเล็กน้อย กล้าให้นายใหญ่ของตนเองนำทางหรือนี้ คิดว่าเขาเป็นข้ารับใช้หรืออย่างไร
นายใหญ่ฉู่ยิ้มรับ นำทางทั้งสองคนเข้าจวนจริงๆ ส่วนข้ารับใช้ตามหลังไปเช่นกัน
“ดี ไต้ซือเชิญเถอะ!”
เมื่อไต้ซือสองคนนั้นเข้าไปแล้ว พ่อบ้านสวี่สอบถามคุณชายสองคนที่เดินช้าเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“คุณชาย ไต้ซือสองคนนั้นเก่งกาจอย่างไร เหตุใดเรียกใช้นายใหญ่ได้”
คุณชายใหญ่มองทุกคนที่เดินไปไกลแล้ว จากนั้นกระซิบกับพ่อบ้าน
“ท่านลุงสวี่ สองคนนั้นเป็นผู้สูงส่ง พวกข้าเห็นมากับตา พวกเขาทำให้ก้อนดินบนพื้นรวมตัวกันเป็นร่างคนเต้นระบำได้ คว้าลูกไฟไว้ในมือแล้วกลืนลงท้องได้ อีกทั้งเก็บน้ำที่สาดออกไปแล้วกลับใส่กะละมังได้”
“ใช่ๆ ข้าก็เห็นเช่นกัน โบราณว่าไว้น้ำที่สาดไปแล้วยากจะเก็บกลับคืน แต่พวกเขาก็ทำได้ เล่ากันว่าวิชานี้เรียกว่าวิชาคุมวารี ไต้ซือยังบอกอีกว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะแสดงความสามารถต่อหน้าพวกข้า หากลงมือจริงจังขึ้นมา นั่นอาจคว่ำแม่น้ำพลิกทะเลสาบได้ทีเดียว”
“อ๋อ…”
พ่อบ้านสวี่ฟังแล้วไม่เชื่ออยู่บ้าง ทว่านายใหญ่และคุณชายตนเองไม่ใช่คนเลอะเลือนเชื่อคนง่ายขนาดนั้น
ภายในห้องโถงของจวนหลังจากนั้นสองเค่อ ไต้ซือทั้งสองข่มอารมณ์ให้ตนเองใจเย็น ทว่ายากจะปิดยังความปีติบนใบหน้า ในห้องโถงนอกจากบนโต๊ะสองตัวซ้ายขวาวางของมีค่าทำจากเงินทองอยู่ไม่น้อย ยังเตรียมเนื้อสัตว์ปรุงสุกห้าชนิด เนื้อสัตว์ดิบห้าชนิด และสัตว์มีชีวิตห้าชนิดอันเป็นตัวแทนของวัว สุนัข แกะ หมู และไก่ปรุงสุก ไปจนถึงฆ่าสัตว์ที่ยังไม่สุกและมีชีวิตอยู่ตามคำขอของพวกเขา
ถึงแม้จุดตะเกียงแล้ว ภายในห้องโถงกลับยังคงมืดมนอยู่บ้างอย่างชัดเจน แสงส่องบนใบหน้าไต้ซือจนประหลาดตา
“มอ”
“แหมะ…”
“กะต๊ากๆๆ…”
สัตว์เป็นห้าชนิดไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆๆๆ…พวกข้าพอใจกับการเตรียมการของจวนตระกูลฉู่มาก นายใหญ่ฉู่ พวกท่านหลบไปก่อนเถอะ พวกข้าจะฝึกปราณแล้ว!”
นายใหญ่ฉู่และข้ารับใช้ทั้งหมดพยักหน้า ถอยออกจากห้องโถงอย่างระมัดระวัง
พ่อบ้านสวี่ที่อยู่ตรงทางเดินข้างนอกยังคงขมวดคิ้ว ไต้ซือสองคนนี้แปลกเกินไปแล้ว
“นายใหญ่…”
นายใหญ่ฉู่ยกมือห้ามเขาทันที ยื่นหน้าไปทางสวนดอกไม้
“ไปคุยกัน”
ทุกคนออกห่างจากทางเดินใกล้ห้องโถงชั่วคราว จนกระทั่งถึงสวนดอกไม้
“ท่านลุงสวี่ วันนี้ฮ่องเต้ประกาศจัดงานชุมนุมวารีปฐพี ย่อมอยากพบเจอผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง ไต้ซือสองคนนี้เป็นหนึ่งในนั้นชัดเจน แตกต่างกับอันธพาลเหล่านั้นและยอดฝีมือยุทธภพผู้แสร้งทำยิ่งนัก ขอเพียง…”
นายใหญ่ฉู่เพิ่งพูดได้ครึ่งเดียว ทันใดนั้น…
ฉ่า…
แสงสีขาวสายหนึ่งสว่างขึ้นจากลานด้านหลังภายในจวน ปรากฏรัศมีโค้งแผ่กระจายเป็นระลอกคลื่นอย่างรวดเร็ว แทบจะย่างกรายมาถึงตรงที่พวกเขายืนอยู่ในพริบตาเดียว
“อ๊าก...”
“อ๊าก...”
ปึง…กึก…
ประตูห้องโถงถูกเปิดออกจากข้างใน ประตูไม้แกะสลักอย่างประณีตสองบ้านกระแทกจนหลุดออกจากกรอบประตู
“ไว้ชีวิตด้วย!”
“ไว้ชีวิตด้วย…”
“พวกข้าจะไปแล้ว ไปเดี๋ยวนี้!”
ไต้ซือทั้งสองผู้มีปราณเทพเต็มเปี่ยมเมื่อครู่ ล้มลุกคุกคลานหนีออกมาจากข้างใน ราวกับข้างหลังมีเสือร้ายไล่ตามอยู่
นายใหญ่ฉู่กวักมือร้องเรียกเสียงหนึ่งเท่านั้น เห็นพวกเขาหนีออกจากสายตาไปแล้ว จึงรีบนำคนตามไป
จนกระทั่งถึงประตูจวนตระกูลฉู่ คนทั้งตระกูลฉู่ตามไต้ซือสองคนนั้นไม่ทัน เพียงเห็นพวกเขาสะดุดธรณีประตูแล้วกลิ้งหลุนๆ ลงบันไดไป หลังจากลุกขึ้นมาได้ก็ไม่ชักช้า สนใจแต่วิ่งหนีโดยไม่คิดจะหยุด ไต้ซือหนึ่งคนในนั้นถึงขนาดลืมลุกขึ้นยืนวิ่งต่อ ใช้สองมือยันพื้นแล้วเตะขาวิ่งไป
ทุกคนในตระกูลฉู่ตะลึงตาค้างอยู่ที่หน้าประตู ผ่านไปเนิ่นนานนัก เสียงหัวเราะของพ่อบ้านสวี่ถึงทำให้ทุกคนตื่นจากภวังค์
“ฮ่าๆ…ผู้สูงส่ง!?”
นายใหญ่ฉู่มองเขา พลันนึกอะไรขึ้นได้
“แสงสีขาวนั่นคืออะไร”
“เอ่อ ไม่รู้สิ เหมือนจะปรากฏตรงลานหลังในจวนนะ”
“ไปๆ ไปดูหน่อย!”
ดูจากท่าทางของไต้ซือสองคน ตอนนี้ไม่มีใครอยากไปตามพวกเขากลับมาแล้ว ล้วนเร่งฝีเท้ากลับเข้าไปในจวน ระหว่างทางสอบถามข้ารับใช้เหล่านั้น รู้จากปากพวกเขาว่าแสงสีขาวส่องออกมาจากทางห้องหนังสือ
คนตระกูลฉู่เข้าไปในห้องหนังสือทันที ประกายแสงข้างในยังไม่จางหายไปจนเกลี้ยง มุมชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่แห่งหนึ่งมีแสงเรืองรองรางๆ
พ่อบ้านสวี่สาวเท้าก้าวใหญ่ไปข้างหน้า ไม่ต้องอาศัยเก้าอี้ เพียงกระโจนตัวเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วหยิบตำราชุดหนึ่งลงมาจากด้านบน แสงเรืองรองส่องมาจากตรงนี้
“ประวัติศาสตร์ร้อยจังหวัด?”
นายใหญ่ฉู่มองซ้ายมองขวา จากนั้นหยิบตำราออกมาทีละเล่ม ตอนถึงเล่มที่สองมีกระดาษแผ่นเล็กติดมาด้วย แสงสว่างส่องมาจากตัวอักษรบนนั้น แสงเรืองรองจากตัวอักษรหายไปในทันที ราวกับกลายเป็นเทียบอักษรธรรมดาแผ่นหนึ่ง
“อักษรดี…”
นายใหญ่ฉู่อ่านเนื้อหาบนกระดาศออกมาอย่างอดไม่ได้
“พักในหอตำราสังการณ์จิตวิญญาณดินร้อยจังหวัด ใช้เวลาว่างจัดการไอมารข้างหน้า”
ตัวอักษรชัดเจนเป็นระเบียบ ท่วงทำนองภายในมีพลังเป็นพิเศษ เป็นบัญชาที่จี้หยวนทิ้งไว้ก่อนออกจากห้องหนังสือในปีนั้น
เดิมทีตัวอักษรที่จี้หยวนทิ้งไว้ในปีนั้นถูกคนตระกูลฉู่เห็นแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ข้ารับใช้ทำความสะอาดห้องหนังสือ คิดว่าใครในจวนอ่านตำราเสร็จแล้วลืมเก็บกลับไป และกระดาษแผ่นนี้เกี่ยวข้องกับร้อยจังหวัดอย่างชัดเจน จึงเสียบไว้ในหนังสือแล้ววางกลับบนชั้น จนกระทั้งวันนี้ถึงได้เห็นดวงตะวัน
ตอนนี้จี้หยวนที่เช่าบ้านหลังหนึ่งไว้พักอาศัยกำลังฝึกปราณในความฝัน ด้วยในความฝันมีความรู้สึก เขาจึงเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ไม่รู้ว่าหัวเราะจวนฉู่หรือหัวเราะผู้สูงส่ง