เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 241 ผู้ยินดีกับความรุ่งโรจน์ของโลกมนุษย์
ตอนที่ 241 ผู้ยินดีกับความรุ่งโรจน์ของโลกมนุษย์
งานชุมนุมวันแรกเริ่มต้นไม่ราบรื่น อีกทั้งมีคนหายไปหลายร้อยคน สำหรับขุนนางที่รับผิดชอบงานชุมนุมนั้น แม้จะรอดพ้นจากพระพักตร์ฮ่องเต้มาได้ แต่หลายวันหลังจากนี้ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดใดได้อีกแล้ว
โชคดีที่สถานที่จัดงานชุมนุมซึ่งมีแท่นพิธีสำรองเหล่านั้นไม่สูง มีห้องโถงขนาดใหญ่พื้นที่กว้างขวางไม่น้อย ตัวแปรน่าจะน้อยลงหน่อยเช่นกัน
การจัดการนักเวทเหล่านี้ค่อนข้างหละหลวมจริงๆ แม้ล้วนมีการจัดทำสถิติ แต่ไม่ได้จำการอิสรภาพของใคร หากมีผู้เข้าร่วมที่ควรมาถึงก่อนงานชุมนุมเริ่ม ทว่าความจริงแล้วมาไม่ถึงนั่นถือว่าสละสิทธิ์
ถูกต้อง เป็นงานชุมนุมเพื่อขอพรบรรเทาภัย แต่กลับมีคุณสมบัติการคัดกรองการแข่งขันที่เข้มงวด อย่างไรเสียฮ่องเต้หยวนเต๋อก็ต้องการเลือกผู้สูงส่งเพื่อแต่งตั้ง
แต่นี่ยังคงเป็นงานชุมนุมวารีปฐพี การแข่งขันที่ว่าไม่อาจใช่การต่อสู้ ดังนั้นระหว่างนี้จะแสดงความพิเศษของตนเองอย่างไร จะแสดงว่าตนเอง ‘สูงส่ง’ กว่าคนอื่นอย่างไร นั่นถือเป็นความรู้แขนงหนึ่งเช่นกัน
หลังจากฝนหยุดตก พวกนักเวทที่เหลือล้วนเป็นไปตามการจัดการของราชสำนัก ต่างคนต่างทยอยกลับไปยังสถานพักม้า
ตอนคนอื่นไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว พระหนุ่มถือไม้เท้ายืนอยู่ที่หน้าบันไดแท่นพิธีอย่างนั้น มองทั้งแท่นพิธีด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
เครื่องหน้าของพระหนุ่มได้สัดส่วน ปากแดงฟันขาว ใบหน้าดูนุ่มนวลแต่ไม่อ่อนหวาน สวมกาสาวพัสตร์และสวมหมวก ร่างกายเหยียดตรงเหมือนกับไม้เท้าในมือ หลังจากมองแท่นพิธีอยู่เนิ่นนานถึงยกมือขึ้นข้างหนึ่ง
“สาธุพระวิทยาราช…”
“ไต้ซือเกิดมามีผิวพรรณดีจริงๆ!”
เสียงจากข้างกายดังขึ้น ทำเอาพระหนุ่มตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ แม้เสียงนี้จริงจังทว่าอ่อนโยน แต่ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหันอยู่ดี
จี้หยวนยืนอยู่ข้างๆ พระหนุ่มรูปนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กำลังยิ้มแป้นพลางเอ่ยปาก ปฏิกิริยาตกใจจนสะดุ้งเหนือความคาดหมายของเขาอยู่บ้าง น่าสนใจเช่นกัน
พระมองจี้หยวนที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นยกมืออมิตาพุทธ
“อาตมาก็คิดเช่นนั้น ทว่านี่เป็นเพียงผิวกาย ไม่สำคัญเท่าจิตใจ”
“อืม แต่ผิวพรรณแบบไต้ซือนี้ยิ่งทำให้คนอื่นมองแต่ที่ภายนอก นับว่าเป็นรูปลักษณ์อย่างหนึ่งเช่นกัน”
จี้หยวนประสานมือคารวะ ใช้หลักการชักจูงบนอินเทอร์เน็ตจากชาติก่อนพูดขึ้นอย่างเรียบง่าย ความจริงนับว่าเป็นการแสดงความรู้สึกอย่างแท้จริง อย่างไรเสียคนมีหน้าตาแบบนี้กับพระมีหน้าตาแบบนี้ อยากให้คนมองที่เนื้อแท้มักจะฝืนใจมากจนเกินไป
พระกลับชะงักไปเล็กน้อย ยกมืออมิตาพุทธให้จี้หยวนอีกครั้ง
“สาธุพระวิทยาราช! มองให้เห็นจริงและทะลุปรุโปร่ง เป็นอาตมาเปรียบเปรยแล้ว”
ตอนนี้เมฆบนท้องฟ้ากระจายออกไปได้พอประมาณแล้ว แสงอาทิตย์ส่องบนพื้นที่ขนาดใหญ่ของจังหวัดจิงจีอีกครั้ง จี้หยวนมองไปรอบๆ คนเดินถนนเริ่มมีให้เห็นแล้ว บางคนได้ยินหรือมองเห็นว่าก่อนหน้านี้ตรงแท่นพิธีอาจเกิดเรื่อง คิดว่ามีความคึกคักอะไรให้ดูได้
“เหตุใดไต้ซือถึงมาเข้าร่วมงานชุมนุมวารีปฐพี”
จี้หยวนถามเสียงเบา
“ขอพรบรรเทาภัย!”
พระไม่ได้กล่าวเรียกพระวิทยาราช กระนั้นกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
จี้หยวนไม่ได้บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ยิ่งไม่ได้แสดงความเห็นอะไร เพียงพยักหน้าให้อีกฝ่าย จากนั้นหมุนกายจากไป
พระรูปนี้มองส่งจี้หยวนจนลับสายตา ก่อนจะมองแท่นพิธีขนาดใหญ่ทางนั้นอีกครั้ง เช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วยกไม้เท้าเร่งฝีเท้าจากไป
‘กลับไปสถานพักม้าที่ตนเองพักอยู่เร็วหน่อยดีกว่า’
…
ชาวบ้านจังหวัดจิงจีท่ามกลางงานชุมนุมเก้าวันหลังจากนั้น นอกจากเข้าใกล้แท่นพิธีแต่ละแท่น ฟังเสียงบทสวดหลายระลอกก็มักจะเห็น ‘เวทมนตร์’ ของนักเวทเหล่านั้นที่หัวถนนด้วย
เพราะแท่นพิธีสำรองหลายแห่งไม่ใหญ่ที่เหลือล้วนอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันในเมืองเหลวง โดยให้นักเวทกลุ่มต่างๆ ผลัดกันแสดงวิชา เพื่อให้ขุนนางและเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งตั้งใจสังเกตการณ์นักเวทแต่ละคนได้
ระหว่างนี้แสดงฝีมือบนแท่นพิธีได้เป็นเรื่องสำคัญมาก
ขณะเดียวกันเพื่อ ‘แยกแยะ’ ในงานชุมนุมวารีปฐพีได้ง่ายยิ่งขึ้น นักเวทกลุ่มหนึ่งอยู่ภายในจังหวัดจิงจีเช่นกัน คิดหาทางแสดงอภินิหารโดย ‘ไม่ได้ตั้งใจ’
บางคนเลือกยึดติดกับขุนนางมีฐานะสูงในเวลาว่าง บางคนเลือกตั้งแผงดูบนที่ตลาด ถึงขนาดมีคนตั้งใจแสดงอะไรแปลกๆ เพื่อดึงดูดความสนใจด้วย
สำหรับผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกที่ยากนักจะได้ออกเขาถือว่าแปลกใหม่ยิ่งนัก อย่าว่าแต่พวกเขาเลย จี้หยวนและมังกรเฒ่า ไปจนถึงผีสางเทวดาของจังหวัดจิงจีก็มุงดูความคึกคักด้วยเช่นกัน
ตอนนี้จี้หยวนกำลังดื่มชาอยู่ริมหน้าต่างชั้นสองของหอใบเขียว ฝั่งตรงข้ามคือบุตรมังกรอิงเฟิง ส่วนที่นั่งริมหน้าต่างคือธิดามังกรอิงรั่วหลี
ชั้นล่างเป็นแผงเวท ตั้งโดยนักเวทชราที่มีมรรคเซียนแก่กล้า แผงเวทประกอบขึ้นด้วยรถเข็นขนาดเล็ก บนนั้นแปะเทียบอักษรไว้มากมาย
ใจความส่วนใหญ่ของเทียบอักษรอธิบายว่าดูดวงและแก้ไขปัญหาได้ ผู้มีวาสนานั่งลงถึงดูดวงให้ หากเป็นผู้ไร้วาสนาแม้ถือทองมาก็ไม่รับไว้ จากนั้นเขียนไว้ว่าหากไม่ได้ผลไม่รับเงิน หรือหากไม่มีเงินจ่ายก็ขอบคุณด้วยความจริงใจเป็นอันจบ
สรุปว่าคล้ายกับเรื่องหนึ่งมาก
จี้หยวนดื่มชาอยู่ทางนี้ ฟังเสียงเล่าเรื่องดังมาจากชั้นหนึ่ง บางครั้งมองออกไปข้างนอก
“ท่านอาจี้ ชายชราข้างล่างนั้นท่าทางเหมือนใกล้ตายแล้ว มรรควิถีตื้นเขินอย่างถึงที่สุด อย่างมากมีลมปราณไม่เท่าไหร่ เป็นวิชายุทธ์หรือวิชาอื่นเล็กน้อย ไยท่านถึงเลือกเขา เขาไม่มีทางเอาชนะบิดาข้าได้!”
ในที่สุดบุตรมังกรก็อดไม่ได้ถามขึ้น ธิดามังกรไม่แสดงความรู้สึกเท่าไหร่ ทีแรกทั้งสองคนคิดว่าข้างล่างนั่นเป็นผู้สูงส่งที่เก็บงำพลังไม่สำแดงออกมา จึงอดทนมองซ้ายมองขวาสังเกตการณ์อย่างละเอียด ถึงขนาดที่มังกรเฒ่าแปลงกายระหว่างนั้นอยู่ครั้งหนึ่งด้วย เพื่อไปค้นหาความจริงที่แผง ปรากฏว่าไม่สมปรารถนาดังคาด
จี้หยวนและมังกรเฒ่าพนันกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างเลือกหนึ่งหรือสองคนในบรรดานักเวทที่เหลือ ดูว่าคนใดที่เลือกแล้วแสดงความสามารถโดดเด่นที่สุด บุตรมังกรและธิดามังกรจึงมาดูเรื่องสนุกด้วย
“หึ เรื่องสนุกยังมาไม่ถึง โอ้ มาแล้ว ดูทางนั้นหน่อย”
ระหว่างที่จี้หยวนพูด บนถนนข้างล่างมีหญิงสาวและชายหนุ่มอัธยาศัยดีเดินมา มุ่งหน้าไปยังแผงของนักเวทคนนั้นโดยตรง
“สามี อยู่นั่น!”
“อ้อๆๆ!”
ชายคนนั้นตอบรับหลายเสียง เมื่อเดินไปถึงหน้าแผงแล้วมองซ้ายขวา จากนั้นคุกเข่าลงดังตึง หญิงสาวข้างๆ ก็คุกเข่าลงด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยเหลือพวกข้า…”
ชายคนนั้นดูเหมือนพูดไม่เป็น แต่เสียงกลับไม่เบาเลย ทำเอาคนเดินถนนรอบข้างสะดุ้งตกใจไปหมด
นักเวทข้างหลังแผงลุกขึ้นยืนทันที อ้อมแผงมาประคองสองคนลุกขึ้น
“ทั้งสองท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธี เชิญเถอะ!”
“ไม่ ไต้ซือมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกข้า ทว่าไม่ยอมรับเงินที่ภรรยาข้านำมา คิดว่าคงตอบแทนบุญคุณได้ด้วยการคุกเข่าเท่านั้นแล้ว!”
“ทำเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน! ลุกขึ้นเถอะ!”
ไต้ซือโคจรพลังที่สองมือ ฉุดหนึ่งชายหนึ่งหญิงให้ลุกขึ้นยืน ทั้งสองคนอยากคุกเข่าลงอีก แต่กลับต้านทานแรงมือของไต้ซือไม่ได้
หลายคนส่งเสียงวิจารณ์ ไม่รู้ว่าไต้ซือผู้นี้ทำอะไร ถึงทำให้สองสามีภรรยาซาบซึ้งขนาดนี้
“เฮ้อ เงินก็ไม่รับ คุกเข่าให้ก็ไม่ยอม แล้วพวกข้าจะทดแทนบุญคุณของไต้ซือได้อย่างไรเล่า! ทุกท่านที่อยู่ตรงนี้ พวกท่านบอกมาสิว่าพวกข้าจะทนแทนบุญคุณได้อย่างไร!”
คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านที่ล้อมเข้ามาพูดขึ้น
“ไต้ซือช่วยอะไรพวกเจ้าหรือ”
“ใช่ เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“จริงด้วย”
ชายหนุ่มเห็นไต้ซือถอนใจส่ายหน้าและกลับไปอยู่ข้างหลังแผงแล้ว จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ร่วมกับภรรยาตนเอง เล่าว่าไต้ซือท่านนี้บรรเทาภัยคลายทุกข์ให้พวกเขาอย่างไร ระหว่างนั้นเกิดเรื่องปาฏิหาริย์อยู่บ้าง คนโดยรอบฟังแล้วจุ๊ปากชมเชยเช่นกัน
สุดท้ายสองสามีภรรยาเดินจากไปอย่างสำนึกในบุญคุณ ผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่ามีหญิงชราคนหนึ่งมากล่าวขอบคุณ ไต้ซือช่วยเหลือนางโดยไม่รับเงินเช่นกัน หลังจากนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งมากล่าวขอบคุณอีก ไต้ซือเพียงรับเหรียญทองแดงไว้สิบเหรียญเท่านั้น
เมื่อไต้ซือเก็บแผงไปแล้ว บุตรมังกรและธิดามังกรมองหน้ากัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะมองจี้หยวน
“ท่านอาจี้ หรือข้ามองพลาดไปแล้ว”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่หรอก ไปเถอะ ยังดูไม่จบเลย”
จี้หยวนลุกขึ้นยืน จ่ายเงินค่าน้ำชาแล้วนำทางบุตรธิดามังกรออกจากตรอกไป ยิ่งเดินไปเงาร่างยิ่งจางลง ไม่นานนักก็มาถึงด้านหลังเพิงไร้กลิ่นอายผู้คนในตรอกแห่งหนึ่ง
“นี่ๆ ข้าแสดงเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เลวๆ!”
“ข้าล่ะ ของข้าเล่า!”
“เอาไป!”
“ขอบคุณไต้ซือ ขอบคุณไต้ซือ!”
…
ตอนไต้ซือพาบุตรธิดามังกรมาถึง สิ่งที่มองเห็นก็คือชาวบ้านที่ไปกล่าวขอบคุณเหล่านั้นรับเงินจากมือไต้ซือ ล้วนเป็นเศษเงินและอัญมณี
“แบบนี้ก็ได้หรือ”
บุตรมังกรมองภาพนี้ด้วยความงุนงง หันไปมองจี้หยวน
“ท่านอาจี้ ท่ามกลางมนุษย์มากมาย เขานับว่าหลอกลวงฮ่องเต้กระมัง ไม่กลัวถูกตัดศีรษะหรือ”
จี้หยวนหัวเราะ ทิ้งท้ายไว้คำหนึ่งแล้วหมุนกายจากไป
“คล้ายคลึงกับฮ่องเต้หยวนเต๋อเช่นกัน”
บุตรมังกรมุ่นคิ้ว มองไปทางธิดามังกร
“น้องหญิง เจ้าเข้าใจหรือไม่”
อิงรั่วหลีขมวดคิ้วพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง มองไต้ซือที่กำลังหยิบเงินออกจากกระเป๋าเงินอีกครั้ง แม้มีกลิ่นอายเซียนมรรคเข้มข้น แต่กลับชราและผอมแห้งมาก
“ท่านอาจี้อาจกำลังพูดว่า คนผู้นี้จนถึงตอนนี้แล้วเพื่อ ‘การแต่งตั้ง’ นั้นก็ไม่กลัวถูกตัดศีรษะแล้ว”
“เอ่อ เช่นนั้นท่านพ่อจะแพ้หรือไม่”
ธิดามังกรถลึงตามองบุตรมังกรอย่างไม่สบอารมณ์
“คนที่ท่านพ่อเลือกมีความสามารถจริง จะแพ้ได้อย่างไร ข้าว่าเทียบกับท่านอาจี้แล้ว ท่านพ่อนับว่าโกงแล้ว!”
“เช่นนั้นก็เสมอกันน่ะสิ!”
บุตรมังกรหัวเราะ หมุนกายจากไปเช่นกัน…
วันที่สามสิบเดือนแปด วันเฉลิมพระชนมายุของฮ่องเต้หยวนเต๋อ ดังนั้นวันนี้ถือเป็นวันมงคลอย่างยิ่งยวด
ทั่วทั้งวังหลวงประดับโคมหลากสี นางกำนัลทั้งภายในและนอกตำหนักยุ่งหัวหมุน ห้องเครื่องและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกันบ้างแห่งยิ่งเริ่มการเตรียมงานของวันนี้ตั้งแต่เช้าตรู่
วันนี้ขุนนางพยายามควบคุมอารมณ์ในช่วงว่าราชการเช้า หากไม่ใช่เพราะสำคัญและเร่งด่วนมาก ก็จะไม่ทูลเรื่องที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย
เมื่อช่วงเวลาพูดคุยเรื่องการเมืองผ่านไปแล้ว ขุนนางในท้องพระโรงล้วนเงียบเสียงลง
ฮ่องเต้หยวนเต๋อมองขันทีชราที่อยู่ข้างบัลลังก์มังกร
“เรียกพวกนักเวทเข้ามาเถอะ”
ขันทีชราโค้งกายและพยักหน้า จากนั้นสูดลมหายใจเข้า พอหายใจออกค่อยประกาศเสียงดัง
“นักเวทจากงานชุมนุมวารีปฐพีทุกท่านเชิญเข้าท้องพระโรง!”
ข้างนอกตำหนักก็มีขันทีพูดซ้ำเสียงดังเช่นกัน
“นักเวทจากงานชุมนุมวารีปฐพีทุกท่านเชิญเข้าท้องพระโรง!”
หลังจากนั้นไม่นาน ภายใต้สายตาจับจ้องของขุนนางที่หันไปมองนอกตำหนัก มีขันทีนำทางคนกลุ่มเล็กผ่านประตูตำหนักเข้าสู่ท้องพระโรง
ท่ามกลางขุนนางบางคนหรี่ตา บางคนยิ้ม บางคนแค่นหัวเราะ และมีคนสนใจใคร่รู้เช่นกัน
ในกลุ่มคนที่เข้ามามีพระ มีนักพรต มีคนชรา มีเด็ก ถึงขั้นมีขอทานเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง รวมแล้วมีมากถึงสิบหกคน
ฮ่องเต้หรี่ตาพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกัน
คนกลุ่มนั้นยืนตรง จากนั้นพากันก้มหน้าถวายบังคม
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
“ตามสบายเถอะ!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
จำต้องพูดว่าหากตั้งใจมองดู จะพบว่านักเวททุกคนตื่นเต้น ทว่ามีสีหน้าเรียบเฉย อย่างน้อยไม่มีใครแสดงความหวาดกลัว คนที่ดึงดูดสายตามากที่สุดก็คือขอทานชรา ช่วยไม่ได้ ก็เขาไม่เข้าพวกมากที่สุดจริงๆ
“ขุนนางเหยียน ผู้สูงส่งที่เจ้าแนะนำเป็นใคร”
เหยียนฉางก้าวออกมาจากฝูงคน ประสานมือคารวะ
“ทูลฮ่องเต้ กระหม่อมขอแนะนำท่านหลู่ เป็นท่านผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
เหยียนฉางยื่นมือชี้ขอทานคนนั้น ทำเอาขุนนางบางคนที่เห็นเขาต่ำต้อยตั้งแต่แรกรู้สึกแปลกใจ
ฮ่องเต้หยวนเต๋อมองเหยียนฉาง จากนั้นพิจารณาขอทานคนนี้อย่างละเอียด
“เจ้ามีวิชาอภินิหารอะไร”
ขอทานชราก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้เกียจคร้านเหมือนปกติ เขาประสานมือให้ฮ่องเต้ เรื่องที่กล่าวกลับไม่เกี่ยวข้องกับคำถามของฮ่องเต้เลย
“กระหม่อมผู้ชรามาด้วยความตั้งใจ เตรียมรับศิษย์สองคน คนหนึ่งได้รับความทุกข์ทนตั้งแต่เด็ก อีกคนหนึ่งเพลิดเพลินกับความสุขในวัยชรา กระหม่อมคิดว่างานชุมนุมวารีปฐพีอาจเป็นโอกาสหนึ่ง ดังนั้นขอทูลถามฮ่องเต้ว่ายอมสละบัลลังก์มังกรของพระองค์หรือไม่”
“กล้านัก!”
“บังอาจ!”
“ท่านหลู่พูดมั่วอะไร รีบขอประทานอภัยจากฝ่าบาทเร็ว!”
“บังอาจลบหลู่ฝ่าบาท!”
ขุนนางข้างๆ ถลึงตามองด้วยความโมโห เหยียนฉางเหงื่อแตกพลั่ก แม้แต่นักเวทเหล่านั้นก็ถอยห่างจากขอทานชราคนนี้ตามสัญชาตญาณ องครักษ์ภายในท้องพระโรงยิ่งชักกระบี่เตรียมพร้อม
บนบัลลังก์มังกร ฮ่องเต้หยวนเต๋อควบคุมโทสะไว้แล้วถามเสียงเย็น
“หมายความว่าเจ้ามีวิธีทำให้เป็นอมตะหรือ”
ขอทานชรามุ่นคิ้วครุ่นคิดก่อนส่ายหน้าตอบ
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะมั่งคั่งและมีอำนาจเกินกว่าตำแหน่งบุตรแห่งสวรรค์ ได้รับอิสรภาพที่เหนือกว่าฮ่องเต้ทั้งหลายหรือ”
เดิมคิดว่าในเมื่อฮ่องเต้ชราอยากเป็นเซียน เช่นนั้นแม้คำถามของตนเองดูจะไม่เหมาะสม อีกฝ่ายก็ควรจริงจังกับเรื่องนี้ถึงจะถูก แต่บางเรื่องเหมือนจะขัดกับความปรารถนา ฮ่องเต้องค์นี้คล้ายกับทนต่อการไม่เชื่อฟังไม่ได้เลยแม้สักนิด…
ขอทานชราหน้าซีดลง
“อิสรภาพเช่นนั้น เกรงว่าจะไม่ได้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ เช่นนั้นหากข้าลงจากบัลลังก์มังกร ตำแหน่งบุตรแห่งสวรรค์ว่างเปล่า ไม่มีใครจัดการดูแลอาณาจักรแล้วจะทำอย่างไร”
ใบหน้าของขอทานชราไร้ความรู้สึกแล้ว
“อาณาจักรไม่อาจไร้ประมุขได้แม้สักวัน อีกทั้งต้าเจินอาจมีอำนาจล้นฟ้า ย่อมต้องมอบตำแหน่งให้องค์ชาย เหล่าองค์ชายก็อายุถึงเกณฑ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อกวาดสายตามององค์ชายทุกองค์ ความโมโหยิ่งทำให้เขาคิดเรื่องต่างๆ ในใจมากมายกว่าเดิม ตอนนี้โทสะเปลี่ยนกลับเป็นความขบขันแล้ว
“ฮ่าๆๆ…ฮ่าๆๆๆๆ…เหยียนฉาง นี่ก็คือคนที่เจ้าแนะนำหรือ”
“ฝ่าบาท! กระหม่อมสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!”
เหยียนฉางตกใจกลัวคุกเข่าลงบนพื้นแล้ว ประสานมือก้มศีรษะต่ำไม่กล้าลุกขึ้น