เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 242 วาสนาจบสิ้นแล้ว
ตอนที่ 242 วาสนาจบสิ้นแล้ว
แม้เหยียนฉางจะเป็นหนึ่งในขุนนางที่ถูกตราหน้าว่าหลอกลวงฮ่องเต้แล้ว แต่ความจริงความรับผิดชอบหลักของเขาก็คือดูชะตาฟ้า ไปจนถึงคำนวณฤดูกาลและกำหนดปฏิทิน
งานเหล่านี้ต้องให้คนหัวดีจัดการ หลายครั้งดูลึกลับอยู่บ้าง แต่ปกติเหยียนฉางทำเรื่องไร้สาระน้อยมาก ท่ามกลางขุนนางทั้งหมดเขาถือเป็นพวกใช้ชีวิตเหมือนพระที่สุด ประจบไม่เป็นและพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่เป็นเช่นกัน
ทว่าเรื่องงานชุมนุมวารีปฐพีนี้ ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าหอดูดาวหลวง ก็จำต้องถูกฮ่องเต้คะยั้นคะยอไปอยู่แถวหน้า
สถานที่อย่างหอดูดาว ไม่ว่าจะยุคสมัยใดล้วนเป็นสถานที่พิเศษอย่างแท้จริง เฝ้าดูท้องฟ้าและสี่ฤดูเป็นเวลานาน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า บางทีเข้าใจความมหัศจรรย์ภายในบางอย่าง เช่นเดียวกับการดูดาว เหยียนฉางรู้สึกได้ว่าขอทานชรามีความพิเศษเหนือนักเวททุกคน และไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลอยู่ในนั้น
แต่เหยียนฉางไม่เคยคิดเลยว่าขอทานชราจะสร้างเรื่องให้ตนเอง ตอนนี้ยิ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับ
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็นจบแล้ว จึงยื่นมือชี้ลงไปข้างล่าง
“จับหัวหน้าหอดูดวงหลวงเหยียนฉาง รวมถึงขอทานชราผู้นี้ไปให้พ้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ออกคำสั่ง องครักษ์รอบข้างฮึกเหิมขึ้นทันใด ผู้ที่มีวิชายุทธ์สูงส่งยิ่งออกแรงเยอะอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นเงาคนสายหนึ่งแฉลบผ่าน บนคอของขอทางชราทั้งซ้ายขวาหลังมีดาบพาดอยู่ คอถูกล้อมอยู่ท่ามกลางคมดาบ
ดาบอีกสองเล่มพาดอยู่บนคอเหยียนฉาง องครักษ์ริบตราหยกไปแล้ว จากนั้นมัดทั้งสองมือเอาไว้ด้วยเชือก ก่อนที่เหยียนฉางจะถูกห่อหุ้มด้วยองครักษ์เหมือนกับเด็กทารก พาตัวเขาไปทั้งอย่างนั้น
เหยียนฉางหน้าซีดเผือด หัวใจเต้นดังโครมครามเหมือนจะหลุดออกจากหน้าอก ในใจเกิดความคิด ‘จบเห่ จบสิ้น…’
“เหยียนฉาง ข้าขอถามเจ้า ใครให้เจ้าแนะนำขอทานชราผู้นี้ อู๋อ๋องหรือจิ้นอ๋อง”
องค์ชายสององค์มีสีหน้าหวาดกลัว แทบคุกเล่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน แทบร้องขอความเป็นธรรมอย่างพร้อมเพรียงกันเช่นกัน
“ลูกจะกล้าทำผิดร้ายแรงเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
“ลูกไม่รู้เรื่องพ่ะย่ะค่ะ!”
นี่ถือเป็นหายนะใหญ่หลวงสำหรับองค์ชายทั้งสอง ตอนนี้ยิ่งโกรธแค้นเหยียนฉางแทบตายแล้ว
“เฮ้อ…”
เหยียนฉางหลับตาถอนหายใจเสียงเบา พยายามควบคุมอารมณ์ให้สงบลงก่อนลืมตา
“ฝ่าบาท เป็นกระหม่อมแนะนำเอง ไม่เกี่ยวกับองค์ชายทั้งสอง ท่านหลู่เป็นผู้สูงส่งจริงๆ แต่กระหม่อมไม่รู้ว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาผิดต่อเบื้องสูงเช่นนี้ กระหม่อมผิดไปแล้ว…”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อแค่นหัวเราะพลางมองขอทานชราผู้นั้น เห็นเขามีสีหน้าเป็นปกติดังเดิม โดยเฉพาะจ้องตาตนเองอยู่ด้วย แววตาเรียบสงบเป็นอย่างยิ่ง จึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
“แล้วเจ้าเล่า มีใครชี้แนะ…”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อหยุดแล้วลังเลครู่หนึ่ง กล่าวต่ออีก
“หรือเจ้าอยากพูดประโยคก่อนหน้านี้เองจริงๆ”
ในบรรดานักเวทที่อยู่ทั้งสองฝั่งของท้องพระโรง บ้างมีสีหน้าเรียบนิ่งแต่กระวนกระวายใจ บ้างดีใจที่เห็นคนอื่นโชคร้าย
พระหน้าหยกผู้นั้นอยู่ในกลุ่มนักเวท บัดนี้มองขอทานชราแล้วมองฮ่องเต้ชรา จากนั้นพึมพำเสียงเบา
“สาธุพระวิทยาราช…”
ขอทานชราเพียงมองฮ่องเต้หยวนเต๋อ ไม่ได้ตอบความเขาทันที แล้วมองเหยียนฉางที่หน้าซีดเหมือนตาย
“เฮ้อ ใต้เท้าเหยียน ข้าผิดต่อท่านจริงๆ…”
พูดถึงตรงนี้แล้วขอทานชราถึงเงยหน้ามองฮ่องเต้ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอีกครั้ง ทว่าไร้ความจริงจังและเคารพนบนอบเหมือนกับครั้งแรก กลับเป็นการล้อเล่นไม่เคารพใครตามปกติของขอทาน
“ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเพราะกระหม่อมปากพล่อยเอง ได้โปรดอย่ากล่าวโทษใต้เท้าเหยียนเลย และไม่เกี่ยวข้องกับเหล่าองค์ชายเช่นกัน เอาอย่างนี้ดีกว่า ลงโทษกระหม่อมให้ตาย ถือเป็นการระบายโทสะของฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ลงโทษให้ตาย?
ตอนนี้เหยียนฉางอ่อนไหวต่อคำพูดเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นตระหนักได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง เป็นขอทานชราผู้นี้กำลังร้องขอความตาย
ขุนนางที่อยู่ข้างๆ แม้คาดเดาไว้ในใจไว้มากมาย เช่นอาจบอกว่ามีคนชี้แนะอยู่เบื้องหลังเพื่อความปลอดภัยของตนเอง แต่กลับไม่กล้าพูดคุยกันตอนนี้ ในท้องพระโรงจึงเงียบเป็นป่าสาก
ฮ่องเต้ชรามีสีหน้าหม่นลง จ้องขอทานชราไม่วางตา
เนิ่นนานให้หลังถึงกล่าวออกมาได้
“หากเจ้ามีวิชาอภินิหารจริงๆ มีวิชาเทพอัศจรรย์จริงๆ ก็แสดงออกมาให้ข้าดูหน่อยเถอะ ขอเพียงเป็นความจริง ข้าไม่เพียงละเว้นโทษเจ้า ยังจะแต่งตั้งเจ้าอีกต่างหาก!”
เมื่อพูดออกไปแล้ว ท่ามกลางขุนนางราชสำนักพลันเกิดการวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา แม้แต่เหยียนฉางก็มองขอทานชราด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เขาเคยเห็นจี้หยวนรำกระบี่ใต้แสงจันทร์ อีกทั้งเห็นขอทานชราผู้นี้จับแมวตัวหนึ่ง แต่ตอนนั้นฟังจากบทสนทนาของผู้สูงส่งทั้งสองแล้ว เหมือนกับว่าแมวตัวนั้นไม่ธรรมดา
ทว่าขอทานชรายิ้มเยาะ ส่ายหน้าพลางกล่าว
“ไม่ต้องหรอก ประหารขอทานชราเลยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…”
สองมือของฮ่องเต้ชราจับพนักบัลลังก์มังกรจนแน่น ร่างกายเอนไปข้างหน้า สีหน้าดุร้าย
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าประหารเจ้าจริงหรือ!”
ถึงจะมีดาบยาวคมกริบสามเล่มจ่ออยู่บนบ่า แต่เขากลับเหมือนว่ามองไม่เห็น สองมือถูกองครักษ์มัดไว้ จึงเอียงศีรษะถูไถกับคบดาบแก้อาการคันบนหัวไหล่โดยตรง
แม้แต่องครักษ์ข้างๆ ก็อดพูดในใจไม่ได้ว่าขอทานชราผู้นี้ใจกล้านัก พวกเขามัดมือเขาไว้ ทว่าตรวจสอบปราณแท้แล้วรู้ว่าภายในร่างกายอีกฝ่ายว่างเปล่า ไม่ใช่ยอดฝีมือจากยุทธภพอะไร
ขอทานชราถูแก้คันเสร็จแล้วปั้นหน้ามองฮ่องเต้ชรา ในแววตาถึงขั้นมีความเย็นชา
“ฝ่าบาทประหารขอทานชราคนหนึ่งคงไม่ต้องเปลืองแรงมาก ฝ่าบาทลงมือเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
มือเหี่ยวของฮ่องเต้มีเส้นเลือดปูดขึ้นเพราะออกแรงและเกิดโมโหขึ้นมา หน้าอกกระเพื่อมด้วยแรงโทสะ เห็นท่าทางขอทานชราผู้นี้แล้วเขายิ่งกริ้วหนัก
“ส่วนหัวหน้าหอดูดาวหลวง ขุนนางเหยียนฉาง…”
เหยียนฉางที่อยู่ข้างๆ ตัวสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ เหงื่อเม็ดเล็กไหลออกจากข้างแก้ม
“ปลดออกจำตำแหน่ง นำตัวไปขังคุก!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ทั้งร่างเหยียนฉางอ่อนยวบล้มลงเหมือนกับสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด องครักษ์สองคนหามเขาออกจากตำหนักไป เขาใช้เรี่ยวแรงเล็กน้อยที่ยังคงมีอยู่มองขอทานชรา อีกฝ่ายเดินเหินอย่างมั่นคง เพียงถูกองครักษ์หลายคนคุมตัวเดินออกจากตำหนักใหญ่เท่านั้น
เมื่อสอง ‘ผู้กระทำความผิด’ ถูกคุมตัวออกไป ในท้องพระโรงเปลี่ยนเป็นเงียบกริบถึงขั้นที่เข็มตกพื้นก็ยังได้ยินเสียง ฝ่ายองค์ชายสององค์ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าลุกขึ้นและไม่กล้าเงยหน้า พวกเขาถึงขนาดรู้สึกได้ว่าสายตาของบิดากำลังมองตนเองอยู่
“หึ พวกเจ้าสองคนลุกขึ้นเถอะ!”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”
ทั้งสองกล่าวขอบคุณเป็นเสียงเดียวกัน ตอนลุกขึ้นสบตากันครั้งหนึ่งตามสัญชาตญาณ ต่างมองเห็นความหวาดกลัวที่หลงเหลืออยู่ในแววตาของพี่ชายและน้องชายตนเอง
พบเจอประสบการณ์เช่นนี้ นักเวทสิบห้าคนที่เหลือในท้องพระโรงอกพากันอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย บทเรียนอยู่ตรงหน้า สมาชิกหอดูดาวหลวงและขุนนางกรมพิธีการที่รับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยกัน จึงกระวนกระวายใจมากเช่นเดียวกัน
พระราชโองการของฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลย ในเมื่อฮ่องเต้เอ่ยปากสั่งประหารที่หน้าท้องพระโรงด้วยตนเอง องครักษ์ย่อมตื่นตัวนำขอทานชราไปยังนอกวังหลวงในทันที
ในกลางวันนั้นเองไม่จำเป็นต้องรอ ทหารอารักขาหน้าตำหนักเฝ้าดูด้วยตนเอง ทหารกลุ่มหนึ่งติดตามไปด้วย ปฏิบัติต่อขอทานชราเหมือนกับขุนนางราชสำนักที่กระทำความผิด คุมตัวเขาไปยังถนนสันตินิรันดร์
องครักษ์ถือหอกและง้าวเดินอยู่ข้างหน้าเพื่อแหวกทางให้คนเดิน
“หลีกทางๆ อย่าขวางทาง!”
“พวกคนมุงหลบหน่อย!”
ชาวบ้านไม่น้อยเห็นเหตุการณ์นี้รู้ว่ามีคนกำลังจะถูกตัดศีรษะ จึงมีคนมากมายล้อมรอบเดินตามไป อีกทั้งมีคนชอบเรื่องชาวบ้านมากกว่านั้นได้ข่าวแล้วติดตามไปด้วย
“ทางนั้นเหมือนจะมีคนถูกตัดหัวล่ะ!”
“จริงหรือ”
“รีบไปดูก็รู้แล้ว!”
“ไปๆ…”
“รอข้าด้วย”
ดูฉากตัดศีรษะ ถือเป็นเรื่องคึกคักที่พิเศษอย่างหนึ่ง
“นี่ๆ ในนั้นเหมือนกับมีขอทานชราคนหนึ่งกระมัง”
“ใช่ขุนนางที่ออกมาจากคุกหรือไม่”
“ไม่ใช่ เป็นขอทางจริงๆ พวกเจ้าดูเสื้อผ้านั่นสิ แม้แต่ชุดในคุกก็ไม่ใช่!”
“จริงด้วย…”
“ขอทานผู้นี้ดูไม่กลัวเลยสักนิด”
“คงจะโง่มากกว่าสิท่า”
…
ภาพนี้ดึงดูดคนพิเศษมาจำนวนหนึ่ง ในบรรดาคนเหล่านั้นมีจี้หยวนและเซียนจากเขาล้อมหยกหลายคน
จี้หยวนตามคนกลุ่มหนึ่งตามรถนักโทษเคลื่อนไหวท่ามกลางชาวบ้าน ตะโกนถามด้วยความสงสัยไปทางรถนักโทษนั้น
“ผู้อาวุโสหลู่ ท่านทำความผิดอะไรหรือ”
ขอทานชราเผยเพียงใบหน้าออกจากรถนักโทษ ถูกใส่โซ่ตรวนเสียด้วย เขาพยายามปรับทิศทางตะโกนตอบจี้หยวน
“ท่านจี้ ข้าลบหลู่ฮ่องเต้ในท้องพระโรง ต้องถูกตัดคอแล้ว!”
จี้หยวนหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันก็ฉงนนัก ขอทานผู้นี้ไม่หนีออกมา หรือว่าต้องถูกตัดศีรษะสักครั้งจริงๆ
แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก ผู้คุมสองคนมาถึงข้างกายจี้หยวนทันที มองเขาอย่างคร่ำเคร่ง
“เจ้าเป็นใคร มีความสัมพันธ์ใดกับนักโทษ”
“เอ่อ…แทบจะรู้จักกันโดยบังเอิญ ข้าน้อยเพียงเคยดื่มชาสนทนากับขอทานชราผู้นี้ครั้งหนึ่ง อย่างอื่นไม่เกี่ยวข้องกัน!”
จี้หยวนประสานมือพร้อมสีหน้าสบายๆ ใต้รอยยิ้มบางเบามีความสง่างามซ่อนอยู่
เหล่าผู้คุมมองกันและกัน ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจแล้ว เพียงบอกเขาว่าอย่าขวางทาง
แต่ผู้คุมปล่อยจี้หยวนไปแล้ว ขอทานชรากลับไม่ปล่อยเขา
“ท่านจี้…ข้าได้ยินมาว่าก่อนตัดหัวกินข้าวได้มื้อหนึ่ง ท่านเก็บแรงไว้หน่อยดีหรือไม่ ไว้ช่วยข้าหาข้าวกินสักถ้วยหนึ่ง”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้วจี้หยวนนึกขำ พยักหน้าแล้วหมุนกายจากไป
เมื่อจี้หยวนกลับมาอีกครั้ง ขอทานชราถูกตรึงไว้ที่กลางถนนสันตินิรันดร์ ชาวบ้านกลุ่มใหญ่ล้อมรอบอยู่ไกลๆ
“ถอยหน่อย รบกวนถอยหน่อย ข้าจะนำข้าวไปให้เขา!”
จี้หยวนขอทางเบียดไปข้างหน้า คนข้างๆ ได้ยินว่าจะนำข้าวไปให้ก็ถอยหนีในทันที ไม่นานนักจี้หยวนก็เบียดผ่านกำแพงมนุษย์ไปได้
เซียนเขาล้อมหยกหลายคนยืนอยู่ด้วยกัน มองจี้หยวนและขอทานชราด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อาจารย์อา นี่เขากำลังสร้างเรื่องอะไร”
ชายชราที่ถูกถามครุ่นคิด สายตาสงบนิ่ง
“คอยดูก็รู้แล้ว”
จี้หยวนยกชามข้าวหน้าเนื้อสับพร้อมน้ำราดเต็มถ้วย หลังจากบอกกล่าวกับผู้คุมและทหารแล้วถึงเดินไปถึงข้างกายขอทานชรา
“ผู้อาวุโสหลู่ กินเถอะ”
ขอทานชรายิ้มพลางรับชามไป กล่าวขอบคุณแล้วเริ่มสวาปามทันที
ข้าวเต็มชามถูกเขากินหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว กินอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว
“เอิ้ก…”
หลังจากกินอิ่มแล้ว ขอทานชราคืนชามและตะเกียบให้จี้หยวน
“ฮ่าๆ…ท่านจี้ออกไปไกลหน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวเลือดของขอทานอย่างข้าจะเปื้อนเสื้อผ้าของท่าน อืม ร่างกายท่านไร้มลทิน ไม่กลัวฝุ่นดินเล็กน้อยนี้หรอก”
จี้หยวนรับชามและตะเกียบมาแล้วส่ายหน้า จากนั้นเดินอย่างเชื่องช้ากลับเข้าไปท่ามกลางกลุ่มผู้ชม
เห็นขอทานชราผู้นี้เตรียมใจถูกตัดศีรษะแล้วจริงๆ นี่ทำให้จี้หยวนนึกถึงผีแม่ลูกอ่อนที่จับไว้ในตอนนั้น มันถูกตัดศีรษะแล้วกลับมามีชีวิตได้เช่นกัน
“ในเมื่อเจ้ากินเสร็จแล้วก็ไปเถอะ อย่าโทษว่าข้าไร้ความปราณีเลย จะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าได้รับโทษตาย!”
องครักษ์หน้าตำหนักกล่าว เขารับหน้าที่เป็นเพชฌฆาตด้วยตนเอง ขณะยกดาบขึ้นสูง ฝ่ายขอทานชราคุกเข่าก้มศีรษะอยู่บนพื้นแล้ว
ชาวบ้านที่ชมอยู่โดยรอบแทบหดตัวตามสัญชาตญาณ เสียงสูดหายใจและเสียงพูดสั่นเครือดังขึ้นในหมู่พวกเขา
ทันใดนั้นทหารลงดาบแล้ว
ฉับ…
ศีรษะคนตกลงมา เลือกพุ่งกระฉูดบริเวณคอ ผู้ชมหลายคนเห็นแล้วตัวสั่นสะพรึง
“อ๊า…”
“ไอ้หยา…”
จี้หยวนเปิดตาทิพย์สังเกตขอทานชรา จากนั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ทันที
ประมาณสี่หรือห้าลมหายใจหลังจากนั้น เรื่องที่ทำให้ผู้ชมทั้งหลายและเพชรฆาตขนลุกขนพองเกิดขึ้นแล้ว
ศพไร้ศีรษะที่ล้มอยู่บนพื้นลุกขึ้นยืนเองเสียอย่างนั้น ยื่นมือคลำทางไปข้างหน้าซัดโซเซ
“กรี๊ด…”
“ผีหลอก!”
“เป็นผีดิบแล้ว หนีเร็ว!”
“อ๊าก…”
“หนี….”
“อย่าดันข้า!”
ชาวบ้านทั้งหมดหนีกันจ้าละหวั่น ผู้คุมโดยรอบและทหารหน้าตำหนักทำอะไรไม่ถูก จะหนีออกจากหน้าที่ก็ไม่ได้ ร่างกายแข็งทื่ออยู่บ้าง…
“นี่ๆ อยู่ตรงนี้!”
ศีรษะที่กลิ้งหลุนๆ ไปอยู่ข้างๆ เอ่ยปากพูด เหมือนกำลังเรียกร่างให้มาหาตนเองอยู่
หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง ร่างไร้ศีรษะหยิบศีรษะขึ้นมา จากนั้นกดกลับลงบนคอตนเอง
กรอบ…แกรบ…
ขอทานชราบิดคอส่งเสียงดังกรอบแกรบ ก่อนจะมององครักษ์หน้าตำหนักพร้อมรอยยิ้ม
“นี่ ปราณราชวงศ์นี้ทรงพลังจนไม่อาจชักนำได้โดยง่าย วาสนาอาจารย์และศิษย์ของข้ากับฮ่องเต้ชราจบสิ้นแล้ว!”