เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 248 ผ้าไหมเลือด
ตอนที่ 248 ผ้าไหมเลือด
ได้ยินคำบรรยาย ‘นักสืบหัวล้าน’ จากมังกรเฒ่าแล้ว จี้หยวนอดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน
“แม้ข้าจะพูดฟังแล้วดูร้ายแรง แต่ไต้ซือฮุ่ยถงก็ยังคงมีความสามารถติดกาย พระธรรมสูงส่งมีบุญกุศลคุ้มกันกาย ย่อมมีโชคชะตาเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี”
ของอย่างโชคชะตามีทั้งขาขึ้นและขาลง บางครั้งมหัศจรรย์มากอย่างชัดเจน มาตรแม้นว่าผู้ฝึกเซียนครอบครองไว้ไม่ได้ทั้งหมด แต่มีคำกล่าวว่ามีบุญก็มีโชคดีได้แล้ว ยิ่งไม่มีกิเลสมาปะปนเท่าไหร่บุญกุศลก็ยิ่งมาก จี้หยวนยอมเชื่อเรื่องนี้
บนกายภิกษุฮุ่ยถงมีปราณบุญ และเชื่อว่าค่อนข้างบริสุทธิ์ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการไปประชุมธรรมะและอธิษฐานขอพรอย่างจริงใจเพื่อขจัดภัยพิบัติ นอกจากนี้ยังมีบุญอันเกิดจากการปลดปล่อยวิญญาณชั่วร้ายด้วย บ้างใช้คัมภีร์พระพุทธศาสนา บางใช้วิชาพระวิทยาราชปราบมาร แต่นับเป็นการโปรดสัตว์ทั้งนั้น
ดังนั้นจี้หยวนรู้สึกว่าโชคชะตาของภิกษุรูปนี้ไม่มีทางด้อย ขอเพียงจิตใจเนื้อแท้ผ่านด่าน ไม่ถึงกับนอกลู่นอกทางจนเกินไปก็ใช้ได้ เรื่องนี้ทำให้วางใจได้มากเช่นกัน
“ท่านจี้ ได้ยินมาว่าท่านมีเคล็ดวิชากระบี่เซียนชื่อว่า ‘ฟ้าทลาย’ เล่าลือกันว่าเมื่อใช้เคล็ดวิชากระบี่นี้แล้วจะมีอานุภาพทลายฟ้าทลายดิน หากจิตใจแข็งแกร่งต้านสวรรค์ไม่ได้ ก็ไม่อาจเผชิญหน้ากับอานุภาพกระบี่นี้ได้…”
มังกรเฒ่าพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ
“วันนี้มาถึงเขาลานสารทแห่งนี้ ไม่ทราบว่าท่านจี้ให้ข้าชมดูสักหน่อยได้หรือไม่”
จี้หยวนู้สึกว่าคิ้วกระตุกสองครั้ง มังกรเฒ่าอยากแลกเปลี่ยนความรู้กับตนเองหรือ จะล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้กระมัง!
“ไม่ได้พิเศษอะไร ก็แค่ปาหี่ขู่ให้กลัวเท่านั้น ผู้อาวุโสอิงอย่าเอาข่าวลือมาเป็นความจริงเลย ก็แค่คำขู่เพื่อไม่ให้คนต่างถิ่นกล้าเข้ามาที่ต้าเจินโดยง่ายเท่านั้น จริงสิ อำเภอถิงสุ่ยแห่งรัฐจินมีสุราที่ชื่อว่า ‘ดาบระอุ’ อยู่ ครั้งก่อนดื่มแล้วหลับไปนานกว่าครึ่งปี ตอนนี้หวนรำลึกถึงแล้วยังจำได้ไม่ลืม เลยว่าจะไปซื้อมาสักหน่อย”
จี้หยวนถากถางตนเองอย่างมีอารมณ์ขัน พูดสองคำแล้วหมุนกายออกขี่เมฆออกไป ปฏิเสธข้อเสนอเรียนรู้ของมังกรเฒ่าด้วยการกระทำแล้ว
มังกรเฒ่าเห็นจี้หยวนไปแล้วก็ทำได้เพียงตามไปอย่างจนใจ เรื่องพรรค์นี้จะบังคับฝืนใจผู้อื่นไม่ได้ ในภาพจำของเขานั้นแม้จี้หยวนเป็นคนง่ายๆ แต่ก็เป็นคนทำอะไรจริงจังเช่นกัน จึงล้มเลิกความคิดไปชั่วคราว
ข่าวลืออานุภาพกระบี่นี้มหัศจรรย์มาก มังกรเฒ่าสนใจมากทีเดียว โดยเฉพาะวันนี้ได้เห็นเทพภูเขาลานสารท เข้าใจแล้วว่าเทพภูเขาผู้นี้ไม่ธรรมดา ยิ่งสงสัยถึงอานุภาพ ‘กระบี่ทลายฟ้า’ ว่าร้ายกาจเพียงใด ตนเองจะต้านได้หรือไม่
น่าเสียดายที่เมื่อครู่ตนเองเอ่ยปากว่าอยากชม แต่จี้หยวนกลับเบี่ยงประเด็นเสียอย่างนั้น ทำให้มังกรเฒ่าเสียดายและอดไม่ได้ที่จะใฝ่ฝันถึงมัน เกรงว่าเคล็ดวิชากระบี่นี้แข็งแกร่งเกินไป ไม่สะดวกที่จะสำแดงบนพื้นที่รัฐจินในตอนนี้กระมัง
…
อีกด้านหนึ่ง เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ใต้ตีนเขาสักแห่งหนึ่งทางเหนือของเขาลานสารท มีควันและฝุ่นระเบิดหลังจากการเคลื่อนตัวของดินบนภูเขา
เมื่อฝุ่นควันหายไปแล้ว เผยให้เห็นภิกษุฮุ่ยถงข้างหลังและเทพภูเขาลานสารท
ฝ่ายหลังชี้ธารน้ำจากภูเขาไกลๆ และหมู่บ้านที่มีควันลอยขึ้นพลางกล่าว
“ไต้ซือ พวกเราถึงอาณาจักรถิงเหลียงแล้ว ตรงนี้คือจังหวัดหนานเยวี่ย เดินเท้าไปทางเหนือตลอดทางก็จะเข้าสู่ใจกลางของอาณาจักรถิงเหลียง”
“สาธุพระวิทยาราช ขอบคุณใต้เท้าเทพภูเขาที่มาส่ง อาตมาขอตัวลาตรงนี้!”
ภิกษุฮุ่ยถงยกมือไหว้เทพภูเขา จากนั้นยกไม้เท้าเดินไปโดยไม่หันกลับไปมอง
“ไต้ซือช้าก่อน!”
เมื่อได้ยินเทพภูเขาเรียดตนเองจากข้างหลัง ภิกษุฮุ่ยถงหันไปมองเทพภูเขาด้วยความฉงน เห็นฝ่ายหลังยื่นมือขวาแบมือ เผยให้เห็นหินก้อนเล็กสีเหลืองก้อนหนึ่ง
“ลูกประคำของไต้ซือ ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่”
นี่จะมอบของให้อาตมาหรือ
ภิกษุฮุ่ยถงคิด จากนั้นหยิบสร้อยประคำบนคอส่งให้อีกฝ่าย
เทพภูเขารับสร้อยประคำด้วยมือซ้าย มือขวากำแล้วแบออก ก้อนหินสีเหลืองบนฝ่ามือเปลี่ยนเป็นกลมเกลี้ยง จากนั้นเขาใช้นิ้วโป้งกดบนเม็ดประคำเม็ดหนึ่งบนสร้อย
คลิก
เม็ดประคำหลุดออกจากสร้อย ตกลงบนพื้นแล้วเด้งขึ้น ก่อนจะถูกเทพภูเขาคว้าไว้ในมือ จากนั้นค่อยส่งคืนสร้อยประคำที่เปลี่ยนเม็ดประคำไปแล้วเม็ดหนึ่งให้ภิกษุฮุ่ยถง
“ไต้ซือ นี่คือหินธาตุดิน เรียกว่าหินเทพภูเขาหรือหินเจ้าที่ก็ได้ หากถือไว้จะช่วยเพิ่มผลยามใช้ยันต์วิญญาณดำดิน บีบมันจนแตกละเอียดแล้วจะมีปราณวิญญาณดินอบอวล ดึงดูดเจ้าที่ท้องที่หรือเทพภูเขามาหาได้ หากมอบมันให้กับวิญญาณดิน อีกฝ่ายอาจช่วยเหลือท่านได้”
“หินเทพภูเขา? ขอบคุณเทพภูเขาลานสารทที่มอบให้!”
ภิกษุฮุ่ยถงคารวะจากใจจริงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยิบลูกประคำขึ้นมาที่คอแล้วค่อยๆ เก็บเม็ดประคำที่ตกไป
“เอาล่ะ ไต้ซือโปรดระวังตัวดด้วย ข้าคนแซ่หงขอตัวลา!”
เห็นภิกษุเตรียมตัวเรียบร้อย เทพภูเขาประสานมือแล้วดำดินหายไป
ขณะมองไปยังทิศทางที่เทพภูเขาหายไป ภิกษุถอนใจเสียงหนึ่ง
“เฮ้อ…แม้แต่เทพภูเขาล้วนมอบของมีค่าให้อาตมา หวังว่าอาตมาจะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้นะ!”
กริ๊ง…
ห่วงทองแดงบนไม้เท้าส่งเสียง จากนั้นภิกษุจัดหมวกไม้ไผ่ให้ตรงแล้วเดินออกจากภูเขา อันดับแรกไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
…
วันที่สิบเดือนเก้า เทศกาลฉงหยางเพิ่งผ่านมาได้หนึ่งวัน ตอนฮ่องเต้หยวนเต๋อยังคงพูดคุยถึงเรื่องวิชาหลอมโอสถกับเหล่าปรมาจารย์ในท้องพระโรง เรื่องที่ส่งผลกระทบต่อราชสำนักอย่างมหาศาลเกิดขึ้นแล้ว
ไม่นานหลังจากที่เข้ารับตำแหน่ง เฉินอวี่เฮ่อพลันหมดประโยชน์ เนื่องจากความโปรดปรานและทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว จึงถูกสั่งขังคุกกรมลงทัณฑ์ทันที
ทันใดนั้น เฉินอวี่เฮ่อที่แต่เดิมเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากเจ้าเมืองรัฐหวั่น ทีแรกมีความหวังว่าจะได้กลายเป็นคนสำคัญของราชสำนัก บัดนี้กลายเป็นผู้กระทำความผิด แม้ฮ่องเต้ไม่ได้เพิกถอนตำแหน่งของเขา แต่ทั่วทั้งราชสำนักใครๆ ล้วนรู้ว่าฮ่องเต้ในตอนนี้มีความสงสัย เจ้าอารมณ์ และโมโหร้ายอยู่บ่อยครั้ง นี่เป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายมาก ขุนนางที่ถูกสั่งประหารในหลายปีมานี้มีหลายคนแล้ว
จากนั้นมีข่าวลือแพร่ออกมาว่าเฉินอวี่เฮ่อยังคงมีความกลัวอยู่ในใจขณะอยู่ในคุก กลับเปิดเผยความลับของรัฐหวั่นจำนวนหนึ่ง ปรากฏว่าไม่เพียงไม่อาจพ้นจากความผิดของตนเองได้ กลับทำให้โอรสสวรรค์กริ้วหนัก จึงถูกปลดจากทุกตำแหน่งในราชสำนัก และถูกถอดออกจากตำแหน่งเสนาบดีฝ่าบบริหารด้วย
นี่นอกจากทำให้ทั้งราชสำนักวิพากษ์วิจาณ์คาดเดาต่างๆ ข่าวแพร่กลับไปถึงรัฐหวั่นด้วย ขุนนางนับไม่ถ้วนของรัฐหวั่นกระวนกระวายใจไม่อาจนอนหลับสนิทได้ในตอนกลางคืน เฉินอวี่เฮ่อยิ่งไม่รู้ว่าถูกทรมานถูกต่อว่าอย่างลับๆ แล้วกี่รอบ ถูกแทงกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน
ตกกลางคืนของวันที่สิบสองเดือนสิบ เรือนหลังศาลาว่าการจังหวัดลี่ซุ่น
อิ๋นจ้าวเซียนอุ้มบุตรชายเดินไปเดินมาและหยอกเย้าเล่น ภรรยาเขานั่งมองสามีและบุตรชายตนเองอย่างอ่อนโยน
ก๊อกๆๆ…
“นายท่าน ใต้เท้าเจ้าเมืองจังหวัดหยุนโปมาเยี่ยมเยียน จะพบหรือไม่ขอรับ”
หลังจากหมดเสียงเคาะประดู เสียงที่ดังมาเป็นของคนที่อิ๋นจ้าวเซียนไว้ใจ
อิ๋นจ้าวเซียนคืนบุตรชายให้กับภรรยา
“ฮูหยินดูลูกก่อน ข้าจะไปพบใต้เท้าจ้าวหน่อย”
“อืม!”
อิ๋นจ้าวเซียนพยักหน้าแล้วหมุนกายเดินไปเปิดประตู สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคนสนิทก็คือรอยิ้มมั่นใจของนายท่านตนเอง
“ไป ไปพบใต้เท้าจ้าวหน่อย”
เฉินอวี่เฮ่อเกิดเรื่องที่เมืองหลวง ข่าวที่แพร่ออกมาละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ขุนนางน้อยใหญ่ในรัฐหวั่น โดยเฉพาะขุนนางฉ้อฉลกินข้าวไม่ลงในทันที หลายคนหลังจากคิดอยู่หลายตลบแล้วล้วนสั่งคนส่งจดหมายลับไปยังราชสำนักเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
จดหมายลับที่ส่งไปยังราชสำนักจมอยู่กลางมหาสมุทร ส่วนน้อยได้รับจดหมายตอบกลับพบคำตอบที่ไม่ค่อยชัดเจน คนไม่น้อยนึกถึงอิ๋นจ้าวเซียนที่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้
สอบผ่านขุนนางทั้งสามระดับด้วยอันดับแรก ได้รับความไว้วางใจและได้รับการให้ความสำคัญจากฮ่องเต้ อัจฉริยะข้าหลวงปกครองในอนาคตตอนนี้ได้รับประโยชน์จากรัฐหวั่นไม่น้อย ขุนนางรัฐหวั่นมากมายเชื่อว่าตนเองสนิทสนมกับเจ้าเมืองอิ๋น
ทว่าก่อนหน้านี้อิ๋นจ้าวเซียนหลบหน้าไม่ให้พบมาโดยตลอด ครั้งนี้เจ้าเมืองจังหวัดหลักของรัฐหวั่นลอบมาเยือน นับว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว
ภายในโถงรับแขก ความจริงเจ้าเมืองจังหวัดหยุนโปไม่ได้มาคนเดียว ยังมีขุนนางมาเยี่ยมเยียน ‘โดยบังเอิญ’ อีกสองสามคน นอกจากขุนนางจังหวัดลี่ซุ่นแล้ว มีขุนนางจังหวัดหยุนโปด้วย
เสียงฝีเท้าเร็วรี่ของอิ๋นจ้าวเซียนดังสะท้อนอยู่กลางทางเดิน ทำให้ทุกคนในโถงรับแขกรวบรวมสติสมาธิ พากันกล่าวว่า “ใต้เท้าจ้าวมีเกียรติมากจริงๆ”
“ใต้เท้าจ้าวรอนานแล้ว เมื่อครู่ข้าแซ่อิ๋นดูแลภรรยาอยู่…เอ่อ ใต้เท้าทุกท่านอยู่ด้วยหรือ”
เสียงของอิ๋นจ้าวเซียนมาก่อนตัว เหมือนกับเข้ามาในห้องโถงแล้วถึงพบว่ามีคนอยู่มากมายขนาดนี้
“สวัสดีใต้เท้าอิ๋น!”
“ในที่สุดใต้เท้าอิ๋นก็มาแล้ว!”
ขุนนางทั้งหมดลุกขึ้นคารวะ
อิ๋นจ้าวเซียนมุ่นคิ้วดูลำบากใจ คนฉลาดแค่มองดูก็รู้ว่าเดิมทีเขาอยากพบกับเจ้าเมืองจ้าวตามลำพัง แต่สุดท้ายแล้วถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนนั่งลง
“อีชิว เจ้านำคนไปเฝ้ารอบๆ ไม่อนุญาตให้ข้ารับใช้คนใดเข้าใกล้จวน!”
“ขอรับใต้เท้า!”
เห็นข้ารับใช้ของอิ๋นจ้าวเซียนนำคำสั่งนี้ออกไป นอกจากเจ้าเมืองจ้าวแล้ว คนอื่นๆ ต่างถอนใจโล่งอก ยิ่งเกิดความรู้สึกคาดหวังบางอย่าง
ตะเกียงน้ำมันหลายดวงส่องแสงสว่างทั่วห้องโถง อิ๋นจ้าวเซียนและเจ้าเมืองจ้าวนั่งลงบนเก้าอี้ประธาน
อิ๋นจ้าวเซียนจ้องมองทุกคนด้วยสายตาไม่สบายใจและคาดหวัง
“ข้ามีคนรู้จักอยู่ในราชสำนักบ้าง เรื่องของใต้เท้าเฉิน…ย่ำแย่ยิ่งนัก แม้กล่าวได้ว่าเป็นคำพูดของเขาเพียงด้านเดียว แต่เขาพูดสิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูดไปไม่น้อยเลย…”
“เฉินอวี่เฮ่อชั่วร้ายอย่างกับหมาป่า!”
“สมควรตายนัก! เขาได้ประโยชน์มากที่สุด สุดท้ายแล้วกลับเอาพวกข้าไปขาย!”
“น่าโมโหนัก!”
…
“ทุกท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าคนแซ่อิ๋นบอกแล้วว่าเป็นคำพูดของใต้เท้าเฉินเพียงด้านเดียว”
“ไอ้หยา ป่านนี้แล้ว ใต้เท้าอิ๋นยังเรียกคนชั่วเฉินอวี่เฮ่อว่าใต้เท้าอีกหรือ”
“จริงด้วย ใต้เท้าอิ๋นมีน้ำใจรักคุณธรรม แต่ไมตรีนี้ไม่อาจมอบให้สุนัขเลวนะ!”
ขุนนางหลายคนข้างๆ อดไม่ไหวแล้วจริงๆ แม้แต่เจ้าเมืองจ้าวก็เป็นเช่นนั้น
ภายนอกอิ๋นจ้าวเซียนถอนหายใจ ทว่าภายในแค่นหัวเราะอยู่หลายเสียงแล้ว ไมตรีของเขาไม่ใช่ว่าจะมอบให้ใครง่ายๆ อย่างแท้จริง
“ใต้เท้าทุกท่าน ก่อนหน้านี้มีผู้ตรวจการมายังรัฐหวั่น นอกจากการให้ผลประโยชน์แล้ว ความจริงเขาตรวจสอบไม่พบอะไร แม้ใจสงสัยแต่ไม่มีหลักฐาน กอปรกับมีคนในราชสำนักช่วยพูด คาดว่าไม่เป็นไร ทว่าครั้งนี้…”
อิ๋นจ้าวเซียนพูดอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ
“ครั้งนี้เป็นใต้เท้าเฉิน เป็นปากของเฉินอวี่เฮ่อที่พูดออกมา ความจริงแล้ว…ถึงจะไม่มีหลักฐานอะไร แต่ฮ่องเต้เริ่มเชื่อแล้ว ถึงแม้พวกเราล้วนบริสุทธิ์ หากไม่ใส่ร้ายคนบ้างพวกเราก็ไม่อาจเป็นสุขได้แล้ว”
เห็นหลายคนมีสีหน้าหวาดกลัว อิ๋นจ้าวเซียนยิ่งอยากพูดต่อ
“ขอพูดตามตรงไม่ปิดบัง ฝ่าบาทยังคงเชื่อใจข้า เมื่อวานข้าคนแซ่อิ๋นเพิ่งได้รับจดหมายลับจากฝ่าบาท ถามว่าขุนนางรัฐหวั่นคนใดฉ้อฉล ต้องการให้ข้าเสาะหาหลักฐาน จากนั้นจะส่งผู้ตรวจการมา”
พูดถึงตรงนี้แล้วอิ๋นจ้าวเซียนหยิบม้วนผ้าไหมสีเหลืองที่มีตราประทับหยกออกมาจากอกเสื้อ ขุนนางข้างๆ ยกมือขึ้นแล้วโค้งคำนับทันที
อิ๋นจ้าวเซียนยื่นมือห้ามเป็นอันดับแรก
“ความจริงเฉินอวี่เฮ่อยังนับว่ามีมโนธรรม เพียงพูดว่าขุนนางรัฐหวั่นสองคนโกงกิน ครั้งนี้ฝ่าบาทกริ้วมาก นับว่าให้ข้าตามหาคนมาเติมหลุมสองส่วนนี้…”
เสียงอิ๋นจ้าวเซียนเบาลงเรื่อยๆ เขาหรี่ตาลงเช่นกัน
“มีคำพูดหนึ่งเรียกว่าลงมือก่อนได้เปรียบก่อน และอีกคำพูดหนึ่งเรียกว่าได้ทีขี่แพะไล่! ทุกท่าน ข้าคนแซ่อิ๋นไม่อยากให้พวกท่านเป็นหนึ่งในขุนนางสองส่วนนั้น!”
ขุนนางกลุ่มหนึ่งมองตราประทับหยกบนม้วนผ้าไหม สีหน้าหม่นหมองมองกันและกันอย่างไม่สบายใจ
แทนที่จะสิ้นเปลืองกำลังต่อสู้กันเอง มิสู้ใช้กลยุทธ์ขับไล่เสือไปกินหมาป่า[1] นี่เป็นกลยุทธ์ที่อิ๋นชิงคิดออกมายามสนทนากับบิดาอย่างลับๆ ก่อนออกจากรัฐหวั่น
ความจริงเฉินอวี่เฮ่อให้ชื่อขุนนางเพียงไม่กี่คนขณะอยู่ในคุกกรมลงทัณฑ์ ในนั้นยังมีชื่อของเขาอิ๋นจ้าวเซียนด้วย แต่นี่ย่อมไม่เพียงพอ ห่างไกลจากสองส่วนนั้นมากโข…
หลังจากนั้นสองเดือน ทั้งรัฐหวั่นถูกปกคลุมอยู่ในเมฆดำ ขุนนางรัฐหวั่นที่แต่เดิมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันถูกอิ๋นจ้าวเซียนลงมือด้วยวิธีการโปร่งใสและลึกลับ ก่อให้เกิดเป็นสถานการณ์ที่ทุกคนต่างตกอยู่ในความเสี่ยงและระแวงกันและกัน
จนกระทั่งถึงช่วงสิ้นปี ผู้ตรวจการชุดใหญ่จากราชสำนักมาถึงรัฐหวั่น ขณะเดียวกันยอดฝีมือที่มาจากเมืองหลวงอย่างลับๆ ก็มาถึงจังหวัดลี่ซุ่นเพื่อรายงานกับอิ๋นจ้าวเซียน
ทุกฝ่ายเปิดฉากโจมตีกันในวันส่งท้ายปีเก่า ทำให้เหล่าขุนนางที่ตอนแรกคิดว่าตนเองจะผ่านเคราะห์นี้ ได้ฉลองปีใหม่อย่างสบายใจทำอะไรไม่ถูก ก่อนหมดเดือนหนึ่ง จำนวนขุนนางของรัฐหวั่นลดลงเหลือหกคนจากทั้งหมดสิบคน แต่ละอำเภอถึงขนาดกำหนดให้หัวหน้านายทะเบียนและผู้ช่วยคนอื่น ๆ ปฏิบัติหน้าที่แทน สิ่งนี้เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ในชื่อ ‘คดีผ้าไหมเปื้อนเลือด’
[1] ขับไล่เสือไปกินหมาป่า หมายถึง ให้ผู้ตัดสินใช้ฝ่ายหนึ่งตรวจสอบ ถ่วงดุล หรือแก้ปัญหาอีกฝ่ายเพื่อป้องกันตัวเอง