เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 271 ใจคนยากหยั่งถึง
ตอนที่ 271 ใจคนยากหยั่งถึง
เมื่อเอ่ยคำถามนี้ออกมา ไม่ใช่แค่ขันทีเฒ่าที่มือสั่น อิ๋นจ้าวเซียนก็กายใจสะท้าน คำถามนี้ตอบตามสะดวกได้หรือ
พริบตาต่อมาอิ๋นจ้าวเซียนได้ยินแล้วลุกจากเก้าอี้ คุกเข่าลงหน้าเตียง ประสานมือขึ้นสูงก้มหน้าไม่เงยขึ้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นแค่จือโจวคนหนึ่ง อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่รู้เรื่องราชสำนัก รู้เรื่ององค์ชายทั้งสองน้อยมาก หากพูดถึงคุณสมบัติหรือความเข้าใจ ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมล้วนไม่อาจตอบคำถามนี้ ผู้สามารถกำหนดอนาคตต้าเจินได้มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้น ขอแค่เป็นรัชทายาทที่ฝ่าบาทแต่งตั้ง กระหม่อมย่อมช่วยเหลือเต็มกำลัง!”
คำพูดนี้อิ๋นจ้าวเซียนกล่าวอย่างรีบร้อนแต่เสียงดังฟังชัด ทั้งไม่กล้าเงยหน้ามองการแสดงออกของฮ่องเต้หยวนเต๋อ
ฮ่องเต้ชราพิงหัวเตียง มองท่าทางตื่นตระหนกของอิ๋นจ้าวเซียน
“ขุนนางอิ๋น ลุกขึ้นมานั่งพูดเถอะ รินน้ำชา”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
คราวนี้อิ๋นจ้าวเซียนค่อยกล้าลุกขึ้น ขันทีเฒ่าที่อยู่ด้านข้างรีบยกน้ำชามา
“ขอบคุณกงกง!”
“ใต้เท้าอิ๋นไม่ต้องเกรงใจ”
ฮ่องเต้ไม่รีบเอ่ยวาจา มองอิ๋นจ้าวเซียนดื่มชาก่อน
ในใจอิ๋นจ้าวเซียนใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ดูจากคำถามก่อนหน้านี้ เกรงว่าเรื่องวันนี้คงหลบไม่พ้นแล้ว แต่เขาคิดว่าตนไม่ได้ทำผิดอะไร ต่อให้จิ้นอ๋องให้การช่วยเหลือเขามาก แต่ก็เป็นแค่ความซาบซึ้ง ไม่ได้หมายความว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน
รออิ๋นจ้าวเซียนดื่มชาเล็กน้อย ฮ่องเต้ชราปรับลมหายใจ เอ่ยปากกล่าวอีกครั้ง
“ขุนนางอิ๋น รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงให้ความสำคัญกับเจ้า”
ในใจอิ๋นจ้าวเซียนรู้ว่าเป็นเพราะเขาจงรักภักดีมีความสามารถแน่ แต่เรื่องแบบนี้พูดเองไม่ได้
“ฝ่าบาทย่อมวินิจฉัยกระจ่าง”
“แม้เจ้าอิ๋นจ้าวเซียนมีศักดิ์ศรี ทั้งซื่อสัตย์ภักดี แต่ไม่ใช่ขุนนางคร่ำครึ เรื่องรัฐหวั่นไม่มีใครในราชสำนักทำได้เหมือนเจ้า หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ถ้าไม่สมคบกันทำชั่วก็พุ่งชนหัวแตกเลือดอาบ ต่อให้โชคดีทำสำเร็จก็คิดล้างระบบทั่วรัฐหวั่น…”
“แต่สองปีมานี้ เจ้าทำให้รัฐหวั่นเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง แค่เงินภาษีช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนก็มากเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับเงินภาษีหนึ่งปีของรัฐหวั่นเมื่อตอนนั้น ประชาชนรัฐหวั่นเองอยู่เย็นเป็นสุข ถือว่าเจ้ามีส่วนช่วยอย่างมาก”
อิ๋นจ้าวเซียนวางถ้วยชาพลางประสานมือคารวะ
“สถานการณ์รัฐหวั่นเป็นเช่นนี้ ด้วยความเมตตากรุณาของฝ่าบาท ตอนนี้รัฐหวั่นใครไม่รู้บ้างว่าฮ่องเต้สั่งประหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง กระหม่อมแค่ทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาทเท่านั้น!”
“ฮ่าๆๆๆ… เจ้าอิ๋นจ้าวเซียนพูดประจบเหนือธรรมดานัก”
“ฝ่าบาท ถ้ากล่าวโดยละเอียดคือก้นมังกร[1]พ่ะย่ะค่ะ!”
อิ๋นจ้าวเซียนยิ้มกล่าวประโยคหนึ่ง ทำให้ฮ่องเต้ชรายิ่งหัวเราะเบิกบาน
เหล่าขันทีด้านข้างลอบปาดเหงื่อไม่น้อย บ้างตบหน้าอกเงียบๆ
ฮ่องเต้ชราเห็นว่าบนศีรษะอิ๋นจ้าวเซียนเริ่มมีผมขาว อิ๋นจ้าวเซียนน่าจะอายุประมาณสี่สิบ ผมขาวนี้ถือว่ามากแล้ว สามารถเห็นถึงความทุ่มเทกายใจต่อรัฐหวั่นของคนผู้นี้
“ขุนนางอิ๋น เมื่อนึกย้อนดูชาตินี้ข้ามีโชคตลอดจริงๆ แม้แต่วิถีเซียนเกินคาดเดายังอยู่ใกล้แค่เอื้อมหลายครั้ง…”
อิ๋นจ้าวเซียนนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับงานชุมนุมวารีปฐพีตรงจังหวัดจิงจีอย่างอดไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่อง ‘คว้าจันทร์ในน้ำ’ กับ ‘สังหารเซียน’ ยิ่งแพร่หลาย ชาวบ้านถึงขั้นแต่งเรื่องสารพัด แม้แต่รัฐหวั่นยังแพร่มาถึง
หากไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อพระวงศ์แห่งต้าเจิน คาดว่าคงมีเรื่องเล่ามากมายแล้ว ต่อให้เป็นเช่นนี้อิ๋นจ้าวเซียนก็ยังรู้เรื่องราวบางส่วน
สรุปคือฮ่องเต้ไม่อาจคว้ามาเอง โดยเฉพาะเรื่องสังหารเซียน ถือว่าอัศจรรย์เหนือธรรมดา ทำให้ผู้คนทอดถอนใจ
“ถึงตอนนี้ข้าเหลือเวลาไม่มาก ปล่อยวางเรื่องพวกนี้แล้ว ตัวข้าพร้อมจากไป แต่สุดท้ายต้าเจินแห่งนี้ก็เป็นแผ่นดินของลูกหลานข้า เมื่อข้าสิ้นชีพย่อมไม่อยากเห็นต้าเจินอลหม่าน”
อิ๋นจ้าวเซียนแค่รับฟังเงียบๆ เมื่อถึงตรงนี้เขาประสานมืออีกครั้ง
“สวรรค์ย่อมคุ้มครองฝ่าบาท สวรรค์ย่อมคุ้มครองต้าเจิน!”
ฮ่องเต้ชราโบกมือเล็กน้อย
“เมื่อครู่ถามเจ้าว่าองค์ชายสองคนใครพอรับหน้าที่ใหญ่หลวงได้ ความจริงไม่ได้พูดเล่น ข้าหามรรคเซียนมานานเช่นนี้ แม้ว่าไม่ประสบความสำเร็จ แต่ยังเคยเจอเรื่องอัศจรรย์บางส่วน ทั้งยินดีเชื่อว่าเจ้าอิ๋นจ้าวเซียนมีปราณต้านทานยิ่งใหญ่ พวกปลักหล่มรัฐหวั่นยังไม่อาจทำให้เจ้าแปดเปื้อน ไม่พูดถึงอนาคต ตอนนี้ถือว่าเป็นขุนนางมือขวาแห่งราชสำนักแล้ว”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อกล่าวมากมายเช่นนี้ในคราวเดียว เขาหยุดพักครู่หนึ่งค่อยกล่าวต่อ
“ข้าเคยได้ยินปรมาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวว่าผู้มีปราณต้านทานยิ่งใหญ่ บนโลกมีน้อยยิ่งกว่าน้อย หากอยู่ชนบทย่อมเป็นปราชญ์คุณธรรมสูงส่ง ถ้าเขียนตำราเผยแพร่ย่อมเปิดสำนักศึกษาได้ หากเข้าราชสำนักย่อมเป็นขุนนางเสนาบดีมากฝีมือ ทั้งสามารถแบ่งแยกฮ่องเต้ปราดเปรื่องเบาปัญญาได้…”
ฮ่องเต้ชรากล่าวถึงตรงนี้แล้วยิ้มพลางเอ่ยถาม
“ขุนนางอิ๋น เจ้าว่าข้าเป็นฮ่องเต้ปราดเปรื่องหรือฮ่องเต้เบาปัญญา?”
อิ๋นจ้าวเซียนขมวดคิ้ว มองฮ่องเต้ก่อนประสานมือกล่าว
“สำหรับกระหม่อม แน่นอนว่าฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ปราดเปรื่อง!”
“สำหรับเจ้าหรือ… หึๆ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง อู๋อ๋องกับจิ้นอ๋องเบาปัญญาหรือไม่”
คำถามนี้ทำให้ทุกคนในห้องบรรทมใจเคว้งอีกครั้ง อิ๋นจ้าวเซียนสูดหายใจลึก หลับตาใคร่ครวญก่อนกล่าวเนิบช้า
“นิสัยของสองพระองค์ต่างกันออกไป เรื่องสติปัญญาล้วนเป็นตัวเลือกชั้นยอด ไม่ใช่ผู้เบาปัญญาไร้ความสามารถ!”
“หืม? ในใจเจ้าไม่เอนเอียงหรือ ถ้าข้าจำไม่ผิด ตอนนั้นก่อนการสอบช่วงวสันต์ ในงานเลี้ยงครบสามสิบปีที่จวนจิ้นอ๋อง เจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วยกระมัง”
ยามฮ่องเต้ชราเอ่ยคำนี้เขาจ้องมองอิ๋นจ้าวเซียนตลอด แต่กลับไม่เห็นอีกฝ่ายตื่นตระหนกเหมือนเมื่อครู่
“ฝ่าบาทตรัสไม่ผิด ตอนนั้นกระหม่อมอยู่ที่นั่นจริง แต่เป็นแค่สามัญชนถูกเชิญไปจวนอ๋องเท่านั้น ทำให้กระหม่อมรู้สึกผิดคาดเช่นกัน”
ในเมื่อฮ่องเต้รู้เรื่องนี้แล้ว อิ๋นจ้าวเซียนไม่คิดแก้ต่างอะไร ยามคำนับแสดงออกถึงความเคารพยังยอมรับเสียงเบา
ฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นค่อยกล่าวกับบริวารซ้ายขวา
“ถอยไปให้หมด เหลือแค่ขุนนางอิ๋นคนเดียวพอ!”
ขันทีสองสามคนมองหน้ากัน จากนั้นค่อยรับบัญชาถอยออกจากห้องบรรทมช้าๆ ตอนนี้ในห้องกว้างใหญ่เหลือแค่ฮ่องเต้ชราบนแม่นบรรทมคนป่วยกับอิ๋นจ้าวเซียนบนเก้าอี้เล็กหน้าเตียง
ฮ่องเต้ชรามองตาอิ๋นจ้าวเซียนอย่างจริงจังยิ่ง
“ขุนนางอิ๋น ตอนนี้ภายในห้องบรรทมมีเพียงเจ้ากับข้าสองคน พูดมาตามตรงอย่างสบายใจ ข้าไม่คาดโทษเจ้าหรอก เจ้าคิดว่าองค์ชายสองคนใครรับหน้าที่ใหญ่หลวงได้”
คำถามยังเป็นคำถามนั้น อิ๋นจ้าวเซียนรู้ว่าวันนี้เลี่ยงไม่พ้นแล้ว เขาต้องคาดเดาเจตจำนงของฝ่าบาท ทั้งต้องตอบอย่างสมบูรณ์แบบ หากตอบผิด ต่อให้ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ตรัสอย่างทรงสง่าผ่าเผย แต่เกรงว่าคงหนีเคราะห์ตายไม่พ้น
อิ๋นจ้าวเซียนรู้สึกได้ คำชมของฮ่องเต้ชราก่อนหน้านี้ล้วนจริงใจ แต่ยิ่งให้ความสำคัญกับความสามารถตนเช่นนี้ คำถามนี้ก็ยิ่งตอบผิดไม่ได้ ถือเป็นขุนนางมากความสามารถซึ่งมีอิทธิพลต่อความขัดแย้งทางจิตใจของฮ่องเต้อย่างมาก…
อิ๋นจ้าวเซียนไม่กล้าแบ่งสมาธิคิดมาก เขาหลับตาสูดหายใจเข้าลึกๆ ยามผ่อนลมหายใจค่อยลืมตาขึ้น มองฮ่องเต้อย่างจริงจังเช่นกัน สบสายตาไม่ยอมถอย
“ฝ่าบาท กระหม่อมกล่าวอธิบายแล้ว ทั้งสองพระองค์ล้วนมีคุณสมบัติปกครองคน ไม่ว่าใครสืบราชบัลลังก์ต่อ…”
อิ๋นจ้าวเซียนพูดถึงตรงนี้แล้วลุกขึ้น น้ำเสียงเน้นหนักเล็กน้อย ยามค้อมตัวคารวะยังสบตาฮ่องเต้ กล่าวด้วยเสียงเหมือนสาบาน
“ขอแค่ผู้นั้นเชื่อใจกระหม่อม กระหม่อมย่อมช่วยเหลือเต็มกำลัง รักษาความรุ่งเรืองทั่วต้าเจิน ผลักดันชะตาอาณาจักรให้ไม่เสื่อมถอย ปลูกฝังความรู้ทั่วหล้า เคร่งกฎอาณาจักร มีข้าอิ๋นจ้าวเซียนอยู่ เชื่อว่าระเบียบราชสำนักย่อมไม่วุ่นวาย! กระหม่อมมั่นใจว่าตนมีความสามารถ!”
ยามอิ๋นจ้าวเซียนกล่าวประโยคนี้ ปราณต้านทานยิ่งใหญ่ทั่วร่างพลุ่งพล่านดุจเปลวเพลิง ถึงขั้นเกิดลักษณ์ประหลาด มองจากตาเนื้อของคนธรรมดาอย่างฮ่องเต้หยวนเต๋อยังรู้สึกว่าภายในห้องสว่างไสว ในใจยิ่งรู้สึกสั่นสะเทือน
ฮ่องเต้หยวนเต๋อไม่เอ่ยวาจาเนิ่นนาน
“ดี! ดี! ดี! ข้าเชื่อเจ้า!”
หลังจากดึงสติกลับมาค่อยพูดว่าดีติดกันสามครั้ง ทั้งฝืนหยัดร่างขึ้น ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ประคองสองมือซึ่งคารวะอยู่ของอิ๋นจ้าวเซียน
“ข้าจะมอบป้ายเหล็กอักษรชาด[2]กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ลืมคำพูดในวันนี้!”
“ถึงตายนับหมื่นครากระหม่อมก็ไม่คืนคำ!”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อยิ้มแล้ว นี่ไม่ใช่รอยยิ้มน่าเกรงขามตามปกติ แต่เป็นรอยยิ้มเจือความผ่อนคลายอย่างหนึ่ง
“นั่งเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
อิ๋นจ้าวเซียนประคองฮ่องเต้ ก่อนกลับไปนั่งตรงจุดเดิม
“ความจริงข้าก็รู้ดี ความสามารถของจิ้นอ๋องมากกว่าอู๋อ๋องเล็กน้อย ถึงขั้นว่าข้าเองยังชอบจิ้นอ๋องมากกว่าหน่อย…”
วิธีการเปิดประเด็นเช่นนี้ อิ๋นจ้าวเซียนฟังแล้วไม่ถือว่าเป็นข่าวดีกับจิ้นอ๋อง จริงดังคาด ภายหลังฮ่องเต้ชราค่อยเปลี่ยนประเด็น
“แต่อู๋อ๋องเป็นโอรสองค์โต หลายปีมานี้ทำตามหน้าที่โดยไม่ผิดพลาด บารมีในราชสำนักก็ไม่น้อย ตัวเขาเองไม่ได้มีความสามารถดาษดื่น หึๆ สุดท้ายก็เป็นโอรสของข้าทั้งสิ้น ข้ารู้นิสัยพวกเขาดี ข้าจะมอบราชโองการลับฉบับหนึ่งกับเจ้า หากอนาคตผู้สืบทอดบัลลังก์ทำร้ายพี่น้องก็นำออกมาเถอะ…”
อิ๋นจ้าวเซียนลอบถอนใจ พอรู้ว่าฮ่องเต้ชราจะเลือกใครแล้ว
“ข้าตัดสินใจแล้ว สืบทอดบัลลังก์แก่องค์ชายใหญ่ อีกสิบวันค่อยประกาศราชโองการ เจ้าช่วยจัดการเต็มกำลัง!”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชา!”
อิ๋นจ้าวเซียนเพิ่งหย่อนก้นนั่งยังไม่ทันอุ่น เขาลุกจากเก้าอี้อีกครั้ง คุกเข่าคารวะอยู่หน้าเตียง
…
จวนจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องหยางฮ่าวยืนอยู่ในศาลากลางสวนดอกไม้พลางมองท้องฟ้าอึมครึมด้านนอก ผู้อยู่ร่วมกันนอกจากราชครูหลี่มู่ซูแล้ว ยังมีผู้นำตระกูลฉู่ด้วย
“องค์ชาย เช้าวันนี้ท่านอิ๋นเข้าเมืองมุ่งตรงสู่ราชวัง ระหว่างทางไม่แม้แต่จะพักผ่อน ถึงตอนนี้ยังไม่ออกมาหรือ…”
ผู้นำตระกูลฉู่ดื่มชาในถ้วยพลางเอ่ยถามเช่นนี้
“อืม”
จิ้นอ๋องแค่ตอบรับไม่กล่าวอย่างอื่น
หลี่มู่ซูซึ่งแก่ชราลูบเครายาว มองเงาหลังของจิ้นอ๋อง
“ฝ่าบาทน่าจะสนใจความเห็นของอิ๋นจือโจวมาก องค์ชายคิดว่าอิ๋นจือโจวจะคิดหาวิธีช่วยท่านหรือไม่”
จิ้นอ๋องหันกลับมามองอาจารย์ของตนซึ่งแก่ชรามากแล้ว เขาส่ายหัวถอนใจ
“นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่ของข้าจะไม่เอาไหนจริงๆ… เฮ้อ อิ๋นจ้าวเซียนไม่ใช่คนแบบนั้น… พระวรกายของเสด็จพ่อ… เหตุใดไม่อาจอยู่ต่ออีกหลายปี…”
เปรียบเทียบกับอู๋อ๋องแล้ว จิ้นอ๋องหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฮ่องเต้หยวนเต๋อจะสุขภาพแข็งแรงอีกหลายปี เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความกตัญญู ยังมีปัจจัยสำคัญเรื่องการแย่งชิงบัลลังก์ด้วย
เดิมคิดว่าตนยังมีเวลาอย่างน้อยห้าปี แต่งานชุมนุมวารีปฐพีสร้างแรงกระตุ้นเกินไป พระวรกายเสด็จพ่อทรุดลงมาก จำต้องพูดว่าเรื่องนี้คือการเสียดสีอย่างหนึ่ง
…
ขณะเดียวกัน ณ จวนอู๋อ๋อง
อู๋อ๋องต้มสุราตรงโถงหน้า บนโต๊ะมีผลไม้วางอยู่ ผู้นั่งอยู่ด้วยคือสองคนสนิท คนหนึ่งคือขุนนางใหญ่กระทรวงกลาโหม อีกคนเป็นเสนาบดีฝ่ายบริหาร
เปรียบเทียบกันแล้วบรรยากาศที่นี่ผ่อนคลายกว่าจวนจิ้นอ๋องเล็กน้อย อู๋อ๋องหยางชิ่งรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้เอื้อประโยชน์กับตนอย่างมาก องค์ชายองค์อื่นไม่ถึงขั้นทำให้เป็นกังวล ส่วนน้องสามจิ้นอ๋องยังไม่ปีกกล้าขาแข็ง
“อิ๋นจ้าวเซียนเข้าวังไปนานมากแล้วกระมัง”
แน่นอนว่าอู๋อ๋องให้ความสำคัญกับอิ๋นจ้าวเซียนนัก ถือเป็นขุนนางมากความสามารถ เขาชวนเป็นพวกหลายครั้งแล้ว แม้ว่าอิ๋นจ้าวเซียนไม่เคยแสดงท่าที แต่อย่างน้อยก็มีภาพจำที่ดีอยู่บ้าง
ทั้งตัวเขายังอยู่ห่างไกลถึงรัฐหวั่น รู้เรื่องราวในเมืองหลวงน้อยนัก ไม่ค่อยมีความเอนเอียงอะไร
ได้ยินคำพูดของอู๋อ๋อง คนด้านข้างพยักหน้าตอบ
“อืม น่าจะเกินสองชั่วยามแล้ว ถือว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับอิ๋นจ้าวเซียนนัก การเรียกพบตอนนี้เองก็…”
ขุนนางเสนาบดีฝ่ายบริหารกล่าวถึงครึ่งทาง กลับถูกเสียงตะโกนกระชั้นถี่ตัดบท
“องค์ชาย… องค์ชาย…”
บ่าวชุดเทาคนหนึ่งวิ่งคล่องแคล่วดุจเหาะเหินจากด้านนอกมาถึงห้องรับรอง
“เกิดอะไรขึ้น”
อู๋อ๋องขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ข้ารับใช้หอบหายใจเล็กน้อยก่อนส่งมอบกระดาษแผ่นหนึ่ง
“ภายในราชวังส่งสารลับมาพ่ะย่ะค่ะ…”
ข้ารับใช้มองขุนนางสองคนที่อยู่ด้านข้าง
แต่อู๋อ๋องมองว่าคนข้างกายเป็นคนสนิทจึงไม่ใส่ใจ เปิดกระดาษออกอ่านทันที ยิ่งอ่านสีหน้ายิ่งซีดเผือด
“อิ๋น จ้าว เซียน… เป็นคนของน้องสาม! เสด็จพ่อถึงกับถามเขาเรื่องการเลือกรัชทายาทติดต่อกันสองสามครั้ง ถึงขั้นรับสั่งให้บริวารถอยออกไป เหลือแค่อิ๋นจ้าวเซียนเพียงลำพัง!”
“อะไรนะ!”
“องค์ชายทราบเรื่องได้อย่างไร”
ขุนนางใหญ่สองคนที่อยู่ด้านข้างทำหน้าแตกตื่น
“ข้างกายเสด็จพ่อมีคนของข้าอยู่ พวกท่านดูเองเถอะ…”
อู๋อ๋องยื่นกระดาษให้ทั้งสองคนดู สีหน้าปรวนแปรขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่หยุด…
[1] การพูดประจบ ภาษาจีนคือ 拍马匹 (ตีก้นม้า) อิ๋นจ้าวเซียนเล่นคำว่า 龙屁 (ก้นมังกร) แทนคำว่าม้า ด้วยมังกรเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้
[2] ป้ายเหล็กอักษรชาด หมายถึง ป้ายสัญญาหรือรางวัลซึ่งฮ่องเต้มอบให้ขุนนางที่มีคุณความดี ใช้เป็นมรดกตกทอดเพื่อรับสิทธิ์อภัยโทษต่างๆ ใช้ผงชาดเขียนบนแผ่นเหล็ก ป้องกันการปลอมแปลง จากนั้นค่อยผ่าครึ่ง ราชสำนักกับผู้รับต่างถือกันคนละครึ่ง