เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 273 โอกาสเพียงครั้งเดียว
ตอนที่ 273 โอกาสเพียงครั้งเดียว
ผ้าแดงลื่นหลุดมือร่วงลงพื้น ตอนนี้ขันทีชราแซ่หานหน้าถอดสีแล้ว อย่าว่าแต่มือขวาซึ่งจับผ้าเมื่อครู่ ตอนนี้ทั้งตัวล้วนสั่นเทาเล็กน้อย
เขามองหลี่กงกงที่อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าซีดเผือด จากนั้นค่อยมองไปด้านนอก พบว่าข้างนอกถึงกับมีผู้คุ้มกันอยู่ด้วย เขาพลันเข่าอ่อนคุกเข่าลงทันที
หลี่กงกงมองเขาพลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“หานกงกง ฝ่าบาทรู้สึกว่าหานกงกงคอยปรนนิบัติมาหลายปี พระราชทานรางวัลเป็นแพรขาวหนึ่งจั้ง สุราพิษหนึ่งกา หานกงกงเลือกเองเถอะ ทำไมถึงได้รับรางวัลเช่นนี้ ในใจหานกงกงน่าจะรู้ดี”
“อะ… อึก…”
ขันทีชราบนพื้นมองหลี่กงกง ทั้งมองถาดซึ่งขันทีน้อยถือมา สีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด
“ไม่! ไม่! ข้าต้องเฝ้าฝ่าบาท! ข้าต้องเฝ้าฝ่าบาท! ข้าไม่อยากตายๆ… ขอหลี่กงกงช่วยเรียนฝ่าบาท ขอหลี่กงกงเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ร่วมงานกันมาหลายปีของพวกเรา!”
ขันทีชรารีบตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น คิดกอดขาของหลี่กงกง แต่อีกฝ่ายกลับหลบแผ่วเบา เห็นน้ำมูกน้ำตาเช่นนี้แล้ว กลัวเปื้อนเสื้อจนขวางสายตาฝ่าบาทจริงๆ
“หานกงกง… นิสัยของฝ่าบาทใช่ว่าท่านไม่รู้ ถ้ารู้ว่ามีวันนี้ เหตุใดถึงทำเช่นนั้น! แต่ดูท่าว่ากงกงคงไม่ใช้แพรขาวผูกคอ เด็กๆ ป้อนสุราให้หานกงกง!”
“ขอรับ!”
ผู้คุ้มกันซึ่งวิชายุทธ์แกร่งกล้าหลายคนก้าวเข้าห้องทันที จับขันทีชราซึ่งคิดหนีเตลิดกดลงกับพื้นราวอินทรีตะครุบลูกไก่ ผู้คุ้มกันคนหนึ่งบีบคางเขาเบาๆ บังคับขันทีชราให้อ้าปาก
ผู้คุ้มกันอีกคนถือกาสุรามา ไม่ทำเรื่องอย่างการรินสุรา แต่เปิดปากขวดกรอกเข้าปากขันทีชราโดยตรง
“อะ… อึก… อึก…”
ขันทีชราตื่นตระหนกจนมือเท้าดิ้นรนรุนแรง แต่แรงกำลังทั้งชีวิตเมื่ออยู่ในมือผู้คุ้มกันกลับไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง หลังจากกรอกสุราพิษเสร็จยังถูกผู้คุ้มกันปิดปากไม่ให้พ่นออกมา
มือเท้าซึ่งดิ้นรนของขันทีชราเริ่มอ่อนแรงลงช้าๆ ถึงตอนท้ายแค่ไม่กี่ลมหายใจก็ตัวกระตุก ไร้สุ้มเสียงไปทั้งอย่างนั้น
เหล่าผู้คุ้มกันลุกขึ้นมา
โครม ครืน…
แสงอสนีสาดส่องใบหน้าขันทีชราบนพื้น ฟองม่วงล้นปากหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาทั้งสองถลนนูน
หลายวันนี้ท้องฟ้าอึมครึมตลอด แต่ฝนกลับไม่ตก คืนนี้ถือเป็นเสียงฟ้าคำรามแรกหลังจากผ่านมาหลายวัน
ค่ำคืนนี้เสียงอสนีบาตกะทันหัน ทำให้ผู้นอนไม่หลับหลายคนตกใจตื่น ภายในนั้นรวมถึงองค์ชายใหญ่และจิ้นอ๋องด้วย
…
เมื่อหลี่กงกงกลับมาถึงห้องทรงงาน ฮ่องเต้ชรากำลังนอนอยู่บนเตียง ห่มผ้านวมแพรผืนบาง นางกำนัลคนหนึ่งนวดหน้าผากเขาเบาๆ
เมื่อมาถึงห้องทรงงาน ขันทีชราผ่อนฝีเท้าตามจิตใต้สำนึก เมื่อถึงระยะห่างเหมาะสมค่อยเอ่ยปากเสียงเบา
“ฝ่าบาท ส่งหานป๋อซานสู่ทางมรณาแล้ว”
ฮ่องเต้ชราลืมตามองขันทีชราก่อนโบกมือ นางกำนัลข้างกายถอยห่างสองสามก้าวทันที
“อืม สั่งคนนำราชโองการลับบนโต๊ะไปส่งให้เฉียนจวินเค่อกับอวี๋หาน บอกพวกเขาว่าทำตามหน้าที่ก็พอ ไม่ต้องกังวลมากเกินไป”
ขันทีชรามองพระราชโองการแพรทองสองฉบับบนโต๊ะห้องทรงงาน กลืนน้ำลายตามจิตใต้สำนึก
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เขาไม่กล้าคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ หลังจากค้อมตัวคารวะ ขันทีชราหยิบพระราชโองการแล้วถอยจากไป
ภายในเรือนพักซึ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดจิงจี ภายในห้องติดลานบ้านแห่งหนึ่ง อิ๋นจ้าวเซียนกับจี้หยวนคุยถึงเรื่องการเติบโตของบุตรคนรองแห่งตระกูลอิ๋น
เทียบกับเว่ยหยวนเซิงบุตรชายของเว่ยอู๋เว่ยซึ่งฉลาดผิดปกติ บุตรคนรองของตระกูลอิ๋นที่เพิ่งสามขวบดูปกติกว่ามาก จริงอยู่ว่าเฉลียวฉลาด แต่ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นที่รุ่นราวคราวเดียวกันมากนัก ทั้งยังมีแค่ชื่อเล่นว่า ‘หู่เอ๋อร์’
ยามเสียงอสนีบาตดังขึ้นเสียงสนทนาของจี้หยวนกับอิ๋นจ้าวเซียนพลันเงียบลง คล้ายว่าเกี่ยวข้องกับการเดิมพันเมื่อครู่ จี้หยวนฟังเสียงอสนีแล้วรู้สึกถึงบางอย่าง หันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ยื่นมือนับนิ้วเล็กน้อย ไม่ต้องลงรายละเอียดมากนัก แต่รู้ว่าเอื้อประโยชน์กับการเดิมพันของเขา
อิ๋นจ้าวเซียนเห็นการกระทำของจี้หยวนแล้วขมวดคิ้ว ยอดบุคคลผู้สูงส่งอย่างจี้หยวนต้องสังเกตเห็นอะไรแน่
“ทำไมหรือ ท่านจี้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรหรือ หรือว่าชื่อเล่นของบุตรชายมีสิ่งใดไม่เหมาะสม”
จี้หยวนส่ายหัวเล็กน้อย
“ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับหู่เอ๋อร์ แต่เกี่ยวกับการเดิมพันของพวกเราสองคนอยู่บ้าง อาจารย์อิ๋นคงเข้าใจ”
วันต่อมา เดิมมีประชุมเช้า แต่ร่างกายฮ่องเต้หยวนเต๋อไม่อำนวยจึงยกเลิกไป
แต่เมื่อถึงตอนเที่ยง ภายในจวนอู๋อ๋องหยางชิ่งกลับตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก
“ทำไม ทำไมกัน เป็นไปได้อย่างไร!”
อู๋อ๋องเดินไปเดินมาอยู่ตรงโถงหน้า เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า ความสุขุมเยือกเย็นเมื่อวันวานหายไปแล้ว
“องค์ชาย องค์ชายอย่าตื่นตระหนก!”
“ใช่แล้ว องค์ชาย ลนลานไม่ได้เด็ดขาด!”
อู๋อ๋องมองขุนนางใหญ่และที่ปรึกษาหลายคนที่รวมตัวอยู่ในโถง ก่อนกล่าวด้วยเสียงกรุ่นโกรธ
“ในวังมีข่าวว่าเมื่อคืนหานป๋อซานพลัดตกบ่อน้ำ แต่ข้ารู้ว่าเขาตายด้วยสุราพิษ เห็นชัดว่าเสด็จพ่อรู้เรื่องข้าจึงฆ่าเขา ข้าไม่ร้อนรนได้อย่างไร ด้วยนิสัยของเสด็จพ่อ…”
ผู้คนในโถงล้วนเป็นคนสนิทซึ่งอู๋อ๋องเชื่อใจยิ่ง ตอนนี้อู๋อ๋องร้อนรนกล่าวถึงครึ่งทาง หันกลับมามองทุกคนกะทันหัน
“หรือว่าพวกเราควร…”
“ไม่ได้! ไม่ได้นะองค์ชาย!”
เมื่ออู๋อ๋องเพิ่งกล่าวมาครึ่งทาง ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งปรามเสียงสูง บางคนพอคาดเดาได้ พากันโน้มน้าวยกใหญ่
“องค์ชาย ใต้เท้าจางพูดถูก ตอนนี้คิดแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!”
“องค์ชาย ในเมื่อท่านคิดว่าฝ่าบาทสังเกตเห็นแล้ว ตอนนี้ความคิดนั้นยิ่งยากสำเร็จแน่!”
“โธ่เอ๊ย!”
อู๋อ๋องตบเข่าฉาดเต็มแรง
“แม้ยากสำเร็จแต่อย่างน้อยยังมีความหวังเสี้ยวหนึ่ง เสด็จพ่อเริ่มกำจัดเส้นสายของข้าแล้ว รอเมื่อข้าไม่มีแรงต้านทาน ทุกอย่างก็สายไปแล้ว หากไม่ใช่ว่าข้ายังมีหูตาในวังอยู่ ตอนนี้คงไม่รู้เรื่องราว อนาคตคงตายเป็นผีเลอะเลือน ตอนนี้ยังมีกำลังดิ้นรน…”
“ไม่ผิด หากองค์ชายเตรียมก่อการ พวกเราย่อมติดตาม!”
“ข้าว่าควรเป็นเช่นนั้น!”
ขุนนางบู๊บางคนพากันตอบรับ
“องค์ชาย! ฟังข้าผู้ชราสักคำ!”
ขุนนางอาวุโสผู้เป็นเสนาบดีฝ่ายตรวจสอบคนนั้นเอ่ยปากอีกครั้ง ทำให้ในโถงเงียบสงบชั่วคราว อู๋อ๋องซึ่งร้อนรนเองฝืนข่มโทสะมองมาทางเขา สีหน้ากลับไม่ดีเท่าไหร่นัก
“อู๋อ๋อง เทียบกับหานกงกงแล้ว ในวังหูตาคนอื่นขององค์ชายต่างซ่อนตัวมิดชิดหรือไม่”
อู๋อ๋องพลันอึ้งงัน ขมวดคิ้วไม่ตอบทันที
“องค์ชาย ข้าผู้ชราขอบังอาจพูดสักคำ เรื่องหานกงกงถูกสังหาร ฝ่าบาทอาจเจตนาให้องค์ชายรู้ ในเมื่อฝ่าบาทเห็นทุกการกระทำของหานกงกงอยู่ในสายตา เช่นนั้นหูตาคนอื่นขององค์ชายไม่แน่ว่าอาจเป็นแบบเดียวกัน!”
อู๋อ๋องตัวสั่นตามจิตใต้สำนึก สีหน้าไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม
“องค์ชายอย่ารีบร้อน ตอนนี้ก่อเรื่องไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นทุกอย่างจะสูญเปล่า หากองค์ชายสามารถข่มอารมณ์ได้ บางทีพวกเราอาจยังมีโอกาส!”
“โอกาสอะไร” “ท่านพูดชัดเจนหน่อย!”
บางคนที่ยังไม่เข้าใจรีบถามอย่างควบคุมไม่ได้ ส่วนพวกคนฉลาดกลับเริ่มใคร่ครวญโดยละเอียด ขุนนางอาวุโสคนนั้นคารวะอู๋อ๋องอย่างจริงจัง
“อู๋อ๋อง ตอนนี้พวกเรามีแค่หนทางเดียว นั่นก็คือรอ ไม่อาจคิดเพ้อเจ้อ! องค์ชายโปรดใคร่ครวญให้ดี!”
“องค์ชายโปรดใคร่ครวญให้ดี!”
“องค์ชายโปรดใคร่ครวญให้ดี!”
บางคนที่เพิ่งเข้าใจพากันโน้มน้าว อู๋อ๋องไม่ได้โง่ เพียงแต่ฐานะเจ้าของเรื่องทำให้ยากสงบจริงๆ ต่อให้ตอนนี้เข้าใจแล้ว แต่ยังยากข่มความกระวนกระวายและว้าวุ่นใจ รู้สึกไม่ปลอดภัยมากจริงๆ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขายังฝืนบังคับตัวเองจนเลือกตัดสินใจอย่างถูกต้องได้
“ได้! ข้าจะรอ!”
บ่ายวันนั้น ณ จวนจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องกับคนข้างกายบางตาก็รู้ว่าเมื่อคืนหานป๋อซาน ‘พลัดตกบ่อน้ำ’
ทว่าฝ่ายจิ้นอ๋องไม่มีหูตาจึงไม่รู้ความจริงว่าหานป๋อซานตายเพราะสุราพิษ
แต่ไม่มีหูตาก็ไม่ได้หมายความว่าเดาไม่ออก ความจริงไม่ว่าจะเป็นหลี่มู่ซูหรือตัวจิ้นอ๋อง ล้วนเดาออกว่าหานป๋อซานถูกฆ่าไม่ใช่อุบัติเหตุแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสายรายงานว่าอู๋อ๋องรีบเรียกระดมพลคนสนิทมากมายไปยังจวน แม้เป็นการเคลื่อนไหวลับ แต่กลับหนีสายสืบบางส่วนของจิ้นอ๋องไม่พ้น
“ฟังจากคำพูดของหลี่กงกง คล้ายว่าหานป๋อซานคนนี้อาจเป็นหูตาข้างกายฝ่าบาทของอู๋อ๋อง”
ผู้นำตระกูลฉู่กล่าวอย่างประหลาดใจ
“อู๋อ๋องคนนี้กล้ามากจริงๆ กล้ายุ่งเกี่ยวกับขันทีข้างกายฝ่าบาทหรือ”
“พี่ใหญ่ข้ากล้ามากเป็นธรรมดา”
จิ้นอ๋องได้ยินแล้วกล่าวตอบอย่างเหม่อลอย
ภายในโถงยังมีที่ปรึกษาตัวเล็กคนหนึ่งสอดปากกล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกอู๋อ๋องคงกระวนกระวายมากกระมัง ต้องก่อเรื่องเกินงามแน่ พวกเราเพิ่งรู้ว่าอู๋อ๋องตั้งกองกำลังรักษาพระองค์ตรงค่ายประทับและค่ายทักษิณ หากอู๋อ๋องลงมือกะทันหันควรทำอย่างไรดี”
หลี่มู่ซูส่ายหัวพลางยิ้มกล่าว
“ในเมื่อฝ่าบาทจัดการหานป๋อซานแล้ว ทุกอย่างคงอยู่ในมือฝ่าบาท ไม่แน่ว่าเรื่องอู๋อ๋องตั้งกองกำลังรักษาพระองค์ก็คงทราบด้วย แต่ไม่รู้ว่าการเคาะเตือนครั้งนี้ของฝ่าบาทมีน้ำหนักแค่ไหน แค่ตีตกจากชั้นเมฆหรือคิดตีให้ตาย…”
ผู้นำตระกูลฉู่มองหลี่มู่ซูพลางกล่าว
“หากอู๋อ๋องก่อเรื่อง โอกาสสำเร็จมากนัก ด้วยนิสัยของอู๋อ๋อง มีหรือจะไม่เลือกเอาชีวิตเข้าแลก พวกเราก็ต้องป้องกัน!”
หลี่มู่ซูมองเขาเล็กน้อย ขณะคิดจะพูดอะไร เขาพลันพบว่าตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงตอนนี้จิ้นอ๋องใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอด
“องค์ชาย นี่คือข่าวดีไม่ใช่หรือ เหตุใดองค์ชายถึงหนักใจ”
จิ้นอ๋องยิ้มมองอาจารย์ของตน
“แน่นอนว่าเป็นข่าวดี…”
แต่ไม่นานจิ้นอ๋องก็เก็บรอยยิ้มก่อนกล่าวต่อ
“แต่ข้ากำลังคิดว่าหากถึงขั้นนี้แล้ว เสด็จพ่อยังอยากแต่งตั้งพี่ใหญ่เป็นรัชทายาทเล่า”
“หา!?” “นี่…”
“มีโอกาสเป็นเช่นนั้นด้วยหรือ”
จิ้นอ๋องหรี่ตามองไปนอกโถง ด้านนอกคือสวนดอกไม้ซึ่งเกิดนิมิตมงคลช่วงฤดูหนาวเมื่อปีนั้น
“หึๆ ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ก่อนหน้านี้พวกเรายังจนตรอก ตอนนี้กลับมีโอกาสเสี้ยวหนึ่ง…”
จิ้นอ๋องหันหลังกลับมา
“อาจารย์ ข้าคิดว่าพี่ใหญ่คงเลือกก่อเรื่อง หากเขาตัดสินใจไม่ได้ พวกเราก็ช่วยเขาสักหน่อย!”
“องค์ชาย…”
“อาจารย์ ข้ารู้ว่าท่านจะพูดอะไร แต่ข้าแค่เห็นโอกาสครั้งนี้ โอกาสเพียงครั้งเดียว สุดท้ายก็เป็นพี่น้อง พูดถึงความกล้า ข้าเองไม่ด้อยกว่าพี่ใหญ่!”