เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 276 ค่ำคืนวุ่นวายในจังหวัดจิงจี
ตอนที่ 276 ค่ำคืนวุ่นวายในจังหวัดจิงจี
ลานด้านหลังของจวนอู๋อ๋อง ข้ารับใช้นำทางนักพรตตู้เดินไปทางโถงงานเลี้ยงอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่ผ่านทางแยกหรือบานประตู ข้ารับใช้จวนอ๋องล้วนผายมือเชื้อเชิญ นับว่ามีมารยาทยิ่งนัก
“ปรมาจารย์ตู้ เชิญทางนี้”
“ตกลง!”
เมื่อผ่านทางเดินและสวนดอกไม้ รวมถึงเดินผ่านศาลาอาคารไปได้ครู่หนึ่งก็ถึงที่หมายอันเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงในวันนี้ ในนั้นยังมีข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งเตรียมงานเลี้ยง แต่นักพรตตู้มองดูแล้วกลับไม่พบแขกคนอื่น
“เอ่อ…ใต้เท้าหลายคนข้างกายท่านอ๋องเมื่อครู่นี้ไม่มาหรือ”
นักพรตตู้ถามคนข้างๆ
“เรียนปรมาจารย์ตู้ อาจเป็นเพราะท่านอ๋องยังมีธุระ ตอนนี้ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ขนมผลไม้บนโต๊ะเชิญท่านรับประทานตามสบาย!”
ขณะสนทนากัน ข้ารับใช้คนหนึ่งเดินอย่างเร็วรี่มาถึงตรงหน้า จากนั้นคารวะนักพรตตู้ครั้งหนึ่ง
“ปรมาจารย์ตู้ ท่านอ๋องสั่งไว้แล้วว่าให้ปรมาจารย์และแขกรับประทานอาหารไปก่อน วันนี้ท่านอ๋องมีธุระ ไม่มาแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นแขกคนอื่นเล่า”
“ใกล้มาถึงแล้วขอรับ ปรมาจารย์ตู้เชิญเข้างานเถอะ!”
นักพรตตู้เผยรอยยิ้มพลางพยักหน้า
“ได้”
ทว่าเมื่อคนรายงานเดินไปแล้ว นักพรตตู้มองไปรอบๆ รวมถึงทางตำหนักหน้าของจวนอ๋อง ทันใดนั้นมีควันสีแดงลอยขึ้น
เขาเขย่าคอเสื้อ สิ่งที่เอ่อออกจากข้างในล้วนเป็นไอร้อนจากเหงื่อ
‘ไอ้หยามารดาสิ เช้าไม่มาเย็นไม่มา มาวันนี้ไม่ใช่เวลาจริงๆ ปฏิทินหลวงจากหอดูดาวหลวงไม่ได้บอกว่าวันนี้เป็นวันดีหรือ…ช่างเถอะๆ หนีตอนนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต้องก่อเรื่องใหญ่แน่…’
นักพรตตู้เหงื่อออกตามตัว แต่บนใบหน้ากลับไม่เผยอารมณ์ใด ยังคงยิ้มถามคนข้างๆ
“ขอถามว่าใกล้ๆ โถงงานเลี้ยงมีห้องสุขาหรือไม่”
“ปรมาจารย์ตู้ ห้องสุขาอยู่ปลายทางเดินฝั่งขวาด้านหลังของโถงงานเลี้ยง ข้าน้อยจะนำทางท่านไป”
“โอ้ยๆ ไม่ต้องๆ ข้าคนแซ่ตู้เดินไปเองดีกว่า พวกเจ้าทำงานต่อเถอะ!”
นักพรตตู้ถือข้ออ้างปวดปัสสาวะ อ้อมโถงงานเลี้ยงไปยังทางเดินด้านหลัง เมื่อถึงข้างห้องสุขามองซ้ายขวาไม่เห็นมีใครถึงหยิบกระเป๋าออกมาจากในอกเสื้อ ก่อนจะหยิบกระดาษสีเหลืองใบเล็กตัดเป็นรูปคนออกมาอย่างระมัดระวัง
“เฮ้อ…”
ครั้นถอนหายใจแล้ว นักพรตตู้มุ่นคิ้วกัดนิ้วชี้ หยดเลือดลงบนกระดาษเหลือง
“จอมพลังจงมา!”
กระดาษรูปคนร่วงลง หลังจากควันสีเหลืองลอยวน กระดาษสีเหลืองขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เงาคนสายหนึ่งเปลี่ยนจากห่อเหี่ยวเป็นแข็งแรง ปรากฏให้เห็นรูปร่างเลือนรางชั่วขณะที่กระดาษตกลง มองไกลๆ ไม่ตั้งใจเหมือนคน แต่หากมองให้ละเอียดเหมือนคนกระดาษประณีตในงานศพ
“เร็วเข้า ช่วยข้าออกจากจวน!”
ปรมาจารย์ตู้พูดด้วยความร้อนใจ ทันใดนั้นจอมพลังก้มตัวลงต่างเก้าอี้ ปรมาจารย์เหยียบหลังของมัน จากนั้นจอมพลังค่อยๆ ลุกขึ้นส่งปรมาจารย์ถึงขอบกำแพง
“โอ้ยๆๆ ระวังหน่อย ช้ากว่านี้ๆ…โอ้ย!”
เขาปีนกำแพงตรงนี้อย่างรีบร้อย ตอนลงบนพื้นซวดเซล้มลง โชคดีที่เขาได้รับการชำระล้างปราณวิญญาณ ร่างกายยแข็งแรง ล้มลงครั้งนี้จึงไม่นับว่าเจ็บเท่าไหร่
มองตรอกเปลี่ยวข้างนอกแล้ว นักพรตตู้ยกมือเตรียมรับกระดาษเหลือที่ลอยมา จากนั้นค่อยรีบไป แต่กระดาษเหลืองกลับไม่ลอยมาเสียอย่างนั้น
‘แย่แล้ว คงไม่ได้ไปอยู่ในลานกระมัง คราวนี้จะทำอย่างไรดี!’
อย่างไรก็ต้องข้ามกลับไป ของสำคัญเกินไป ตอนที่เขาเตรียมหยิบกระดาษเหลืองใบนั้น เงยหน้าขึ้นมองกำแพงลานแล้วพบว่ามีนกกระดาษแปลกๆ ตัวหนึ่งอยู่บนกำแพงลานมุมหนึ่งของจวนอ๋อง ศีรษะนกเหมือนกับกำลังหนีบกระดาษเหลืองของเขาอยู่
‘ของของใครกันล่ะเนี่ย กระดาษเหลืองติดมันตอนลอยกลับมาหรือ’
นักพรตตู้ตะลึง มองซ้ายมองขวา เจอกิ่งไม้ที่นับได้ว่ายาวท่อนหนึ่ง จึงยกมันเตรียมไปเขี่ยนกกระดาษและกระดาษเหลือง แต่กิ่งไม้เพิ่งแหย่เข้าไป นกกระดาษบนกำแพงลานกลับตีปีกบินขึ้น ทำเอานักพรตตู้ตกใจจนสะดุ้ง
“บินได้หรือ เฮ้ยๆ รอก่อน! จอมพลังกระดาษของข้า!”
นักพรตตู้ร้อนใจ วิ่งตามนกกระดาษอยู่ตรอกข้างๆ เมื่อผ่านตรอกยาวไปแล้ว เขาพลันหยุดฝีเท้าเพราะนึกอะไรขึ้นได้
‘ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีนกกระดาษบินได้ด้วยตนเอง หรือว่าเจอกับปีศาจอะไรเข้า หรือที่จริงเจอกับผู้สูงส่งตัวจริงเสียแล้ว ข้าควรไล่ตามไปหรือไม่’
ตอนเขากำลังพิจารณา พบว่านกกระดาษตัวนั้นหยุดอยู่บนสันกำแพงด้านหนึ่งของตรอกนี้ ปากนกและคอนกหนีบกระดาษเหลืองรูปคนเอาไว้ หันหน้าเข้าหาเขา แม้นกกระดาษน่าจะไม่มีดวงตา แต่นักพรตตู้รู้สึกอยู่เสมอว่ามันกำลังมองเขาอยู่
‘น่ากลัวเกินไปแล้ว หนีไม่ดีกว่าหรือ…’
นักพรตตู้เพิ่งคิดกลับหลังหัน กลับเห็นชายเสื้อเขียวคนหนึ่งเดินมาจากทางนั้น นักกระดาษบินขึ้นทันที พากระดาษเหลืองรูปคนไปหยุดที่หัวไหล่ของคนคนนั้น
“วิชาที่ปรมาจารย์ตู้ใช้ยอดเยี่ยมยิ่ง ข้าแซ่จี้ ไม่ทราบว่าขอเชิญปรมาจารย์ไปพูดคุยและดื่มชาด้วยกันได้หรือไม่”
ปรมาจารย์ตู้มองผู้มาเยือน มองอย่างไรก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ด้วยเวลานี้และสถานการณ์นี้ คิดแล้วคิดอีกก็ไม่ธรรมดา ครั้นมองอย่างละเอียดแล้ว ดวงตาคู่นั้นของอีกฝ่ายเหมือนกับไม่ค่อยปกติ ส่วนนกกระดาษตัวนั้นอยู่บนหัวไหล่เขา
“เอ่อ…ข้าคนแซ่ตู้มีเรื่องด่วนอยู่บ้าง อาจจะไม่ค่อยสะดวก…”
“อืม เช่นนั้นปรมาจารย์เชิญตามสบาย…คืนของให้ปรมาจารย์”
ประโยคหน้าจี้หยวนกล่าวกับนักพรตตู้ ส่วนประโยคหลังกลับกล่าวกับกระเรียนกระดาษ ทว่าฝ่ายหลังหนีบกระดาษเหลืองไว้ไม่ขยับ ราวกับไม่คิดคืน
“เอ๋? ไม่ฟังคำข้าแล้วหรือ”
กระเรียบกระดาษขยับสองปีกเล็กน้อย คราวนี้ถึงบินขึ้นอีกครั้ง พากระดาษเหลืองบินไปยังเหนือศีรษะของนักพรตตู้ จากนั้นเลื่อนศีรษะขึ้นเพื่อปล่อยกระดาษเหลืองลง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคนแซ่จี้ขอตัวลา รบกวนปรมาจารย์ตู้แล้ว”
จี้หยวนเห็นนักพรตตู้รับกระดาษเหลืองไปแล้ว จึงประสานมือแล้วหมุนกายเดินไป
“บัณฑิตช้าก่อน ช้าก่อน!”
นักพรตตู้แทบจะเอ่ยปากรั้งไว้โดยสัญชาตญาณ หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาย่างสามขุมตามจี้หยวนไป
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ร้านน้ำชาบนถนนสันตินิรันดร์
จี้หยวนหันกลับไปมองลมปราณที่เอ่อขึ้นตรงจวนอู๋อ๋องซึ่งอยู่ไกลออกไป องค์ชายองค์หนึ่งพบเจตนาสังหารเช่นนั้น ถึงขั้นเกี่ยวพันกับทิศทางของราชวงศ์ จึงกล่าวด้วยความอัดอั้น
“คืนนี้อยากสงบสุขคงไม่ได้แล้ว!”
นักพรตตู้มองคนข้างๆ มองเห็นดวงตาสีเทาคู่นั้นหันมองมาพอดี ในนั้นไร้ความรู้สึกทว่าล้ำลึก ไม่มีเงาสะท้อนใดๆ
“เอ่อ บัณฑิตหมายถึงจวนอู๋อ๋องหรือ”
“ฮ่าๆ นับว่าใช่กระมัง”
…
ภายในค่ายประทับ ยอดฝีมือในคำเล่าลือของจวนอู๋อ๋องลอบเข้าไปในกระโจมสั่งการ เพื่อรายงานคำสั่งของอู๋อ๋อง
“เจ้าว่าอะไรนะ!?”
เฉียนจวินเค่อที่กำลังกินข้าวได้ยินแล้วยืนขึ้นทันที
“ท่านอ๋องมีคำสั่ง ตั้งทัพบุกวังหลวง! หัวหน้าเฉียน เริ่มยึดอำนาจมังกรคืนนี้!”
เฉียนจวินเค่อหลับตา เมื่อลืมตาอีกครั้งมีสีหน้าแน่วแน่แล้ว
“เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีถอยหลังกลับแล้ว! ได้ ตั้งทัพ!”
…
ตึงๆๆๆ….
เสียงกลองภายในค่ายทหารใหญ่ดังสะเทือนฟ้า
“เร็วเข้าๆๆ เตรียมเสื้อเกราะและอาวุธ ทุกคนรวมตัว!”
ภายในค่ายประทับมีเสียงทหารรวมกลุ่ม เสียงฝีเท้าพร้อมเพรียงและเสียงเสื้อเกราะอาวุธกระทบกันมีให้ได้ยินทั่วทุกที่
“ทุกคนเร็วหน่อย นักธนูเตรียมธนูด้วย!”
“วังหลวงกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีคนทรยศจับฝ่าบาทเป็นตัวประกัน ข้าได้รับคำสั่งจากอู๋อ๋องให้รีบบุกเข้าวังหลวงช่วยฝ่าบาท! เร็วเข้าๆๆ นี่เป็นเรื่องใหญ่ของใต้หล้าเชียว!”
ยิ่งมีเสียงกลองดังระรัว ทหารทุกคนล้วนเครียดเกร็งเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากค่ายประทับ ในขณะที่เพิ่งเข้าช่วงกลางคืน ค่ายเร้นอุดรและค่ายทักษิณล้วนมีทหารรวมกลุ่มกันแล้ว
ตอนหัวค่ำ อู๋อ๋องดึงหยกประดับและถือกระบี่ นำขุนนางบู๊และยอดฝีมือจวนอ๋องกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปยังวังหลวง
พระอาทิตย์ตกตรงขอบฟ้ายังไม่ทันมืดสนิด โคมใหญ่จำนวนหนึ่งที่หน้าวังหลวงเพิ่งถูกจุดสว่าง องครักษ์ภายในวังหลวงพลันพบว่ามีทหารกลุ่มใหญ่เข้าประชิดกำแพงวัง เมื่อมองดูให้ละเอียดแล้วกลับเป็นทัพของอู๋อ๋อง
“หยุด! อู๋อ๋อง ที่นี่คือวังหลวง ท่านนำทหารมาที่นี่ หรือว่าคิดก่อกบฏ”
องครักษ์เฝ้าประตูสองมือจับดาบ ตะโกนพร้อมดวงตาดุร้าย ทหารด้านข้างไปรายงานแล้ว
“มีคนร้ายจับเสด็จพ่อเป็นตัวประกัน ก่อความวุ่นวายในต้าเจินของพวกเรา ข้าได้รับข่าวจึงรีบมาช่วยเสด็จพ่อ คนขวางทางควรถูกฆ่าไม่ให้เหลือ!”
เคร้ง
เคร้ง
เคร้ง
…
มาถึงขั้นนี้แล้ว อู๋อ๋องไม่พูดพร่ำทำเพลง ทันทีที่เขาโบกมือ ทหารที่อยู่ด้านหลังก็ชักอาวุธและรีบวิ่งไปยังวังหลวง ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กัน
บนถนนเส้นยาวนอกจวนจิ้นอ๋อง รอบรถม้าของจิ้นอ๋องก็เกิดการต่อสู้เช่นกัน ถึงขนาดที่จิ้นอ๋องก็เหวี่ยงกระบี่ลงมือด้วยตนเอง
โดยรอบล้วนเป็นยอดฝีมือ นอกจากการเผชิญหน้าชนิดผลัดกันได้เปรียบแล้ว การต่อสู้รอบรถม้าที่เคลื่อนไปข้างหน้าดุเดือดเป็นพิเศษ ถึงแม้เป็นทหารที่เดิมอยู่ในความมืดเตรียมเร้นกาย แต่คนที่มาในตอนนี้เยอะเกินไปจริงๆ จำนวนทะลุร้อยแล้วอย่างแน่นอน
สวบ…
คมดาบตัดเนื้อ ทหารนายหนึ่งใกล้จิ้นอ๋องถูกแทงตาย ส่วนนายทหารที่ลงมือยังไม่ทันหอบหายใจ พลันรู้สึกเหมือนมีแสงสว่างวาบข้างหลัง
“ท่านอ๋องระวัง!”
ฉึกๆๆๆ…
ลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งมา
ทหารคุ้มกันอย่างน้อยสามคนถูกยิงตาย จิ้งอ๋องเองก็ถูกยิงที่แขนซ้ายเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงม้าร้องโหยหวนราวกับจะบาดแก้วหู รถม้าที่กำลังจะพังพุ่งไปข้างหน้า
ทหารคุ้มกันอย่างน้อยสามคนถูกยิงตาย จิ้นอ๋องก็ถูกยิงที่แขนซ้ายเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงม้าร้องโหยหวนแสบแก้วหู รถม้าที่ใกล้จะพังพุ่งทะยานไปข้างหน้า
“อาจารย์!”
“ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ!”
“ท่านอ๋องบาดเจ็บ!”
“คุ้มกันท่านอ๋อง!”
“ขวางรถม้าไว้ อาจารย์ยังอยู่บนนั้น!”
“เป็นธนูหลวง! ท่านอ๋องเร็วเข้า องครักษ์อาจท่านอ๋องเร็วเถอะ ทหารองครักษ์น่าจะมาแล้วเช่นกัน!”
จิ้นอ๋องเหงื่อแตกเต็มตัว กัดฟันคนความเจ็บพันแผลให้ตนเอง
“ขวางตัวรถเอาไว้ อย่าลนลาน นี่ไม่ใช่ทหารองครักษ์ แต่เป็นพวกเขาใช้ทัพทหารบุกเข้ามา รีบไปขวางรถม้าไว้!”
ทหารอารักขาหลาวคนแบกจิ้นอ๋องวิ่งเร็วรี่ ส่วนยอดฝีมือสิบกว่าคนที่เหลือต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายทั้งซ้ายและขวา ตามติดรถม้าข้างหน้า
จิ้นอ๋องเหงื่อแตกเต็มตัว กัดฟันทนความเจ็บพันแผลให้ตนเอง
“ขวางรถม้าให้ได้ อย่าลนลาน นี่ไม่ใช่กำลังจากทหารองครักษ์ แต่พวกเขาใช้อาวุธร้ายแรงจากคลังแสง รีบไปขวางรถม้าไว้!”
ทหารอารักขาหลายคนแบกจิ้นอ๋องไปอย่างเร็วรี่ ยอดฝีมือสิบกว่าคนที่เหลือคอยต่อสู้อยู่ทางซ้ายขวา เร่งตามรถม้าข้างหน้า
ตอนนี้ม้าสองสามตัวที่ได้รับบาดเจ็บเหมือนกับถูกปีศาจเข้าสิง พารถม้าวิ่งพล่านอยู่ข้างหน้า ยอดฝีมือหลายคนใช้วิชาตัวเบา เข้าขวางทางรถม้าในทันที
ฉึกๆๆๆ…
นี่คือเสียงหน้าไม้หลวงซึ่งอันตรายถึงชีวิต หลังจากลูกศรหน้าไม้เข้ามา ทหารอารักขาหลายคนล้มลงเพราะคุ้มกันจิ้นอ๋อง ทหารสิ้นชีวิตโดยรอบยิ่งมายิ่งมากขึ้น แม้คนจากจวนจิ้นอ๋องจะมีวิชายุทธ์ขั้นสูง แต่ก็เริ่มรับมือกับคู่ต่อสู้รอบด้านยากขึ้นเช่นกัน
“คนของพวกเราเล่า อีกนานหรือไม่กว่าจะมาถึง”
“คนที่กระจายตัวอยู่ในเมืองเมื่อหลายวันก่อนน่าจะกำลังมา!”
“บุกออกไปๆ…ไปทางศาลาว่าการเมืองจังหวัดจิงจี!”
…
ตอนเที่ยงคืน นับว่าอู๋อ๋องที่เลือดโชกทั้งตัวนำทัพทหารฝีมือฉกาจบุกถึงรอบนอกของห้องทรงอักษร ผู้ที่คุ้มกันอยู่ที่นี่ล้วนเป็นองครักษ์และทหารติดอาวุธสิบกว่าคน
ถึงตอนนี้แล้ว ฮ่องเต้หยวนเต๋อยังคงอ่านตำราอยู่ในห้องทรงอักษร
เขาย่อมรู้ถึงการเข่นฆ่ารุนแรงในยามค่ำคืน ถึงขนาดตอนที่แนวป้องกันหลายชั้นในวังยังไม่พังทลายเมื่อครู่ ก็ยังมีรายลับส่งมาถึง บอกว่าจิ้นอ๋องถูกจู่โจมโดยนักฆ่ามากมายข้างนอกวัง ทว่าฝ่าออกมาและเข้าไปในเขตศาลาว่าการเมืองหลวงแล้ว
“ฝ่าบาท…หากว่า หากว่าเป็นพวกหัวหน้าเฉียนจริง…”
ขันทีชราเหงื่อออกเต็มหน้าผาก รู้ดีแต่ต้นว่าฮ่องเต้เตรียมการไว้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจในสถานการณ์แบบนี้อยู่ดี
ฮ่องเต้มองเขา วางตำราในมือลง
“เช่นนั้นให้เขาได้รับใต้หล้านี้เลยเถอะ”
ฮ่องเต้ชราดึงร่างกายที่เหนื่อยล้าลุกขึ้นยืนจากเบาะนุ่ม
“ไป ไปพบบุตรชายผู้โดดเดี่ยวของข้าคนนี้หน่อย หลี่ซือเจ๋อ”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“นำราชโองการมาด้วย”
ขันทีชราชะงัก ถามตามสัญชาตญาณ
“ฉบับใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อหัวเราะฮ่าๆ
“ฉบับของจิ้นอ๋อง”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีชราค่อยๆ เดินไปยังชั้นข้างโต๊ะทรงอักษร เปิดกล่องไม้หนักใบหนึ่งออก ข้างในมีราชโองการสองฉบับ เพื่อยืนยันว่าไม่ได้หยิบมาผิดฉบับ เขาเปิดอ่านดูทั้งหมด
ราชโองการสองฉบับนี้แบ่งเป็นของอู๋อ๋องและจิ้นอ๋อง กำหนดวันที่ล้วนเป็นวันที่หนึ่งเดือนเก้า นั่นเป็นวันที่อิ๋นจ้าวเซียนเข้าเมืองหลวงมาเข้าเฝ้า