เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 28 แรงกระตุ้นมากเกินไป
ตอนที่ 28 แรงกระตุ้นมากเกินไป
ปราณหยินเด่นชัดจนทำให้จี้หยวนรู้สึกอึดอัด แต่เขายังพบว่าอย่างน้อยก็มียมทูตดำสองคนขวางอยู่ตรงหน้าตนตลอด น่าจะตั้งใจต้านแรงโจมตีของปราณหยินส่วนหนึ่งแทนคนธรรมดาอย่างตน
เวลานี้กลางลานขุนนาง เทพหลักเมืองสี่คนสำแดงอานุภาพ ยมทูตดำคนอื่นนอกจากทูตดึงวิญญาณที่ควบคุมโซ่คล้องวิญญาณเก้าคนนั่นแล้ว ส่วนใหญ่เป็นกองหนุนรอรับคำสั่ง
พูดว่าเป็นการต่อสู้ จี้หยวนว่าผีน่ากลัวตนนั้นถูกโซ่คล้องวิญญาณขึงรอเฆี่ยนกลางอากาศมากกว่า อืม โดนเฆี่ยนตามความหมายตามตัวอักษรจริงๆ
พู่กันพิพากษาแส้ฟาดวิญญาณเฆี่ยนตัวผีร้าย นำมาซึ่งเสียงกรีดร้องเสียดหู บั่นทอนไอชั่วร้ายส่วนหนึ่ง
ใช่ว่าจี้หยวนเพิ่งคิดเชื่อมโยงและสงสัยเรื่องการมองเห็นของตนเป็นครั้งแรก ครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึก เขาไม่เพียงเห็นยมทูตดำกับภูตผีทุกตนชัดเจน ถึงขั้นเห็นขั้นตอนยามไอชั่วร้ายมากมายถูกฟาดหายไปด้วย
คล้ายรู้ตัวว่าถึงช่วงวิกฤติจริงๆ ผีซึ่งถูกโซ่คล้องวิญญาณกักตัวดิ้นรนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊าก…”
ท่ามกลางเสียงหวีดแหลม แขนซีดเผือดนับไม่ถ้วนพุ่งพรวดออกมา พากันคว้าตัวยมทูตดำโดยรอบ
พวกขุนนางเทพหลักเมืองกวัดแกว่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ในลานเปี่ยมด้วยปราณหยินต่างชนิดมาต้านทาน ขวางกรงเล็บดำส่วนใหญ่ได้ทันที แต่ยังมียมทูตดำหกเจ็ดคนถูกจับตัว รวมถึงทูตดึงวิญญาณสามคนด้วย
เคร้ง!
เคร้ง!
มียมทูตดำเหวี่ยงดาบฟันกรงเล็บดำของผีร้ายด้วยคิดช่วยพวกพ้องให้หลุดพ้น แต่กลับเกิดเสียงคล้ายทองกับเหล็กกระทบกัน
“อะ อ๊าก…”
“อ๊าก!”
“อ๊าก!”
“อ๊าก!”
…
ยมทูตดำเจ็ดคนถูกมือซีดเผือดตะปบร่างวิญญาณแหลก กลายเป็นหมอกดำถูกดูดเข้ากรงเล็บพวกนั้น โซ่คล้องวิญญาณสามสายสูญเสียการควบคุม ราวแส้ยักษ์สามสายท่ามกลางการดิ้นรนของผีร้าย
ปึง!
ปึง!
ปึง!
…
ยมทูตดำหลายคนโดยรอบถูกโซ่คล้องวิญญาณฟาดใส่ วิญญาณไหววูบไม่เสถียร พากันถูกซัดกระเด็น
“บังอาจ!”
ขุนนางควันสี่คนถลึงตาแทบถลน กระโดดไปข้างหน้าพร้อมกัน ปราณหยินผสานกลิ่นจันทน์หอมสี่สายลอยบนท้องฟ้าเหนือเรือนเล็ก ร้อยถักเป็นตาข่ายยักษ์
“ไป!”
ตาข่ายยักษ์ครอบลงมากลางอากาศ คลุมตัวผีร้ายซึ่งเกือบรอดไปได้
ครืน… วู้ม…
กลางลานสายลมโหมกระหน่ำ ไม่ใช่แค่ปราณหยินลมทมิฬอีก หากแต่เป็นมรสุมใหญ่ทั่วทิศที่แท้จริง กิ่งพุทราส่ายสั่นรุนแรง ใบไม้ร่วงหล่นระบำปั่นป่วนเหมือนไม่ถูกจำกัดด้วยค่ายกล จี้หยวนได้แต่ยื่นมือกันเศษฝุ่นใบไม้ข้างหน้า
ยามนี้ในใจจี้หยวนนอกจากตกตะลึงแล้วยังเปี่ยมความนึกกลัว
‘มารดามันเถอะ สิ่งที่เราจัดการเมื่อครู่ก็คือเจ้าตัวนี้หรือ ยังดีว่าเจ้าสิ่งนี้ชอบ ‘เคี้ยวละเอียดกลืนช้าๆ’ หากเผยท่าทางเหมือนตอนนี้ ไม่รอให้เราโจมตีก็สิ้นชีพแล้ว!!’
พู่กันพิพากษาในมือผู้พิพากษาหมุนวนขึ้นมาพลางตะโกนลั่น
“สูบพลังปราณวิญญาณของมัน!”
ขุนนางเทพหลักเมืองอีกสามคนต่างใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์โจมตี ยมทูตดำคนอื่นพากันลงมือผ่านตาข่าย โดยเฉพาะโซ่คล้องวิญญาณพวกนั้น ทุกครั้งที่หวดโดนล้วนทำให้ผีร้ายสั่นสะเทือน
“อ๊าก…”
เสียงหวีดร้องแทบแทงทะลุแก้วหูของจี้หยวน ผีในตาข่ายยักษ์พองตัวรวดเร็ว ผู้พิพากษาเห็นท่าไม่ดี เก็บพู่กันพิพากษากลับมา เปลี่ยนปลายพู่กันเหมือนเข็ม แทงเข้าไปในตาข่ายอย่างรุนแรง
“ทลาย!”
ปัง!!!
ปราณหยินไอชั่วร้ายระเบิดออก ทั้งหมดล้วนถาโถมใส่ตัวผู้พิพากษา
ภายใต้เสียงดังสนั่นผู้พิพากษาถูกปราณหยินซัดกระเด็น ตาข่ายยักษ์ซึ่งกักตัวผีร้ายน่ากลัวไว้ปรากฏช่องโหว่ชั่วพริบตา
“แย่แล้ว!”
“ขวางมันไว้!”
ขุนนางเทพหลักเมืองอีกสามคนร่วมกันออกแรงทันที แต่กลับไม่อาจชดเชยจุดบกพร่องของผู้พิพากษา ผีร้ายหลุดออกมาแล้ว
มีโครงสร้างของเรือนสันติอยู่ ผีร้ายตัวนี้อาจหนีออกไปข้างนอกเพื่อสร้างหายนะต่ออำเภอหนิงอันไม่ได้ แต่ตอนนี้ยมทูตดำมากมายในค่ายกลกักวิญญาณคงประสบเคราะห์
จี้หยวนไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียดว่าวิกฤติแค่ไหน แต่ต่อให้เขาเป็นคนนอก ไม่ตาบอดจริงก็มองออกว่าตอนนี้อันตรายมาก
เวลานี้ยังนั่งอยู่ภายในลาน ดูเหมือนไม่ปลอดภัยอยู่บ้าง…
ภายใต้ความกลัวจี้หยวนลุกขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก เจตนาเดิมคืออยากจากไป แต่คิดไม่ถึงว่าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกินคาดเดา
การลุกขึ้นอย่างกะทันหันของจี้หยวนทำให้การดิ้นรนของผีร้ายกลางลานซึ่งนานเข้ายิ่งรุนแรงพลันหยุดชะงัก หลบเข้าตาข่ายกักวิญญาณเหมือนตกใจอย่างมาก
“โอกาสดี! อย่ามัวตะลึง!!”
เมื่อเสียงคำรามดังขึ้น ผู้พิพากษากลับสู่ตำแหน่งใหม่อีกครั้งแล้ว
ผีร้ายแกล้งโง่แต่พวกขุนนางเทพหลักเมืองและยมทูตดำไม่คล้อยตาม ด้านหลังสี่ขุนนางบริวารเทพหลักเมืองเริ่มมีควันมายาอบอวล รูปร่างคล้ายสูงขึ้นเล็กน้อย ชุดขุนนางบนตัวขยายใหญ่
ตาข่ายยักษ์เปล่งแสงสีเทาหลายสายก่อนหดรัด ขุนนางสี่คนสะบัดมือ โซ่คล้องวิญญาณสี่สายลอยมา จับเหวี่ยงไปข้างหน้า โซ่คล้องวิญญาณเหมือนกลายเป็นงูวิญญาณสี่ตัว พันรอบตาข่ายแผ่แสงสีเทาไว้แน่น
หลังเสี่ยงอันตรายเมื่อครู่ ทำให้พวกเขารู้ว่าต่อให้ผีร้ายตัวนี้บาดเจ็บสาหัส ไม่จ่ายค่าตอบแทนหนักหน่อยคงไม่อาจจัดการโดยง่าย เวลานี้เรียกว่าหมดทุนแล้ว!
“เทพหลักเมืองล้ำลึก ร่วมโลกปุถุชน ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ส่องสะท้อนทั่วทิศ!”
ทางศาลหลักเมืองมีกลิ่นควันมากมายลอยมา พัดลงกลางลานเรือนสันติ ขุนนางเทพหลักเมืองสี่คนอานุภาพโชติช่วง
“แม้บริวารอำเภอหนิงอันข้ามีไม่ถึงหมื่น แต่ไม่อาจปล่อยผีร้ายอย่างเจ้าอาละวาด ตายซะ!”
พู่กันพิพากษา แส้ฟาดวิญญาณ บันทึกระเบียบ ชุดมงคลชีพ อาศัยช่วงสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย โจมตีไปทางผีร้ายเต็มกำลัง
ตูม โครม…
ภายในลานของเรือนสันติเหมือนมีเสียงอสนีบาตดังขึ้น…
…
จี้หยวนกลั้นหายใจมาสักพักแล้ว ความจริงหากจับเวลา เขาต้องตะลึงแน่ว่าความสามารถในการกลั้นหายใจของตนถึงกับเปลี่ยนเป็นนานขนาดนี้
กระทั่งเสียงกรีดร้องโหยหวนของผีร้ายภายในลานเบาลงเรื่อยๆ กระทั่งสุดท้ายผีร้ายนี้กลายเป็นเถ้าธุลี จี้หยวนจึงผ่อนลมหายใจเนิบช้าในที่สุด
‘ยังดีๆ ฝั่งธรรมะชนะแล้ว!’
จี้หยวนที่เข่าอ่อนอยู่บ้างนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องใหม่อีกครั้ง แต่พอเขาหายใจทั่วหน่อยก็รู้สึกแปลกชอบกล
เมื่อเงยหน้ามอง เยี่ยม กลิ่นอายค่ายกลกลางลานหายไปแล้ว สี่ขุนนางเทพหลักเมืองต่างนำยมทูตดำทุกคนมายืนประจันหน้าตนกลางลาน
ลำคอจี้หยวนขยับเล็กน้อย ไม่กล้าแม้แต่กลืนน้ำลาย พวกเขาคงไม่ฆ่าคนปิดปากกระมัง
ครู่ใหญ่ขุนนางพิพากษานำหน้า ขุนนางอีกสามคนและยมทูตดำพากันประสานมือมาข้างหน้า
“พวกเราตาต่ำ ไม่รู้ฐานะของผู้สูงส่ง!”
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ!”
เสียงกล่าวขอบคุณมากมายดังขึ้นพร้อมกัน
ก่อนหน้านี้ยังคิดว่ามีผู้สูงส่งข้ามแดนเผยจุดบอดผีร้ายหรือไม่ แต่ไม่คิดว่าผู้สูงส่งนั่งอยู่ในลานตลอด ดังคำกล่าวว่าคนจริงไม่แสดงตนผู้แสดงตนไม่ใช่คนจริง!
ขุนนางสี่กรมไม่พูดอะไรมากอีก มองจากทุกการกระทำก่อนหน้านี้ของผู้อยู่กลางลาน แน่นอนว่าไม่อยากถูกรบกวน ดังนั้นหลังจากประสานมือครู่หนึ่ง พวกเขาจึงนำยมทูตดำบริวารเทพหลักเมืองทุกคนออกจากเรือนสันติไป คิดไปรายงานใต้เท้าหลักเมืองก่อน จากนั้นค่อยทำการตัดสินใจ
จี้หยวนไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับพวกเขาเช่นกัน ความเข้าใจเกี่ยวกับพวกเทพหลักเมืองมีไม่มากจริงๆ สมองใคร่ครวญแล้วไม่มีความคิดอะไร เขาจึงไม่กล่าวอะไรแม้แต่น้อย
พูดตามจริงสถานการณ์ครั้งนี้จี้หยวนไม่อยากเป็นผู้สูงส่ง แต่ผีร้ายตัวนี้บาดเจ็บสาหัสเพราะเขาจริงๆ ไม่แต่งเรื่องหลอก เขารับคำกล่าวขอบคุณตามเหตุผลแล้วคงเป็นเรื่องสมควรกระมัง
เมื่อเรือนเล็กกลับสู่ความสงบ ยามลมแผ่วเบาพัดโชยมา จี้หยวนจึงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้เหมือนหมาตาย ลูบหัวใจซึ่งถูกกระตุ้นรุนแรงอีกครั้ง
เขาเงยหน้าลืมตาที่เหนื่อยล้า ยามนี้เมื่อไปดูบ่อน้ำกลางลานอีกครั้ง ความรู้สึกมืดดำน่ากลัวนั่นหายไป ในใจยิ่งสงบขึ้นส่วนหนึ่งอย่างอดไม่ได้
‘ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไป สักวันคงตระหนกจนเป็นโรคหัวใจแน่!’
จี้หยวนสงบลงครู่หนึ่งจึงมีแรงคิดเรื่อยเปื่อย
อย่างเช่นเดิมสิ่งที่อยู่ในบ่อน้ำเป็นตัวอะไรกันแน่ ต่อให้ไม่เชี่ยวชาญแค่ไหนก็รู้ว่าไม่ใช่ผีร้ายธรรมดาแน่ ทั้งทำไมระยะห่างแค่นั้น เทพหลักเมืองอำเภอหนิงอันกลับไม่มาด้วยตัวเอง เกรงว่าคงมีเหตุผลอื่น