เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 282 จอมพลังเกราะทอง
ตอนที่ 282 จอมพลังเกราะทอง
อย่ามองว่าน้ำผึ้งเพียงไม่กี่ช้อน แต่หูอวิ๋นแลบลิ้นเลียกินทีละนิด ทำแบบนี้ถึงจะอร่อยที่สุด ไม่เช่นนั้นกินมากกว่านี้จะหวานมากเกินไป
จี้หยวนซึ่งอยู่ข้างๆ มองจิ้งจอกแดงประคองถ้วยเลียกินน้ำผึ้งด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม สุดท้ายเขาไม่คอยอยู่ในห้องครัว ออกไปแล้วกลับไปจัดการข้าวของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ที่เรือนหลัก
วันนี้จี้หยวนตื่นแล้ว นอกจากออกจากบ้านไปกินบะหมี่ชามหนึ่ง กลับมานั่งมองหิมะเงียบๆ จนถึงตอนนี้ถึงค่อยเริ่มทำธุระจริงจัง
เขานำกระด้งกลมเล็กออกมาจากในห้อง บนนั้นวางไว้ด้วยไม้บรรทัด แท่งถ่าน กระดาษเหลืองตั้งใหญ่และกรรไกร จากนั้นเดินนำข้าวของไปวางลงบนโต๊ะหินในลาน
หูอวิ๋นประคองถ้วยกระเบื้อง เดินมาถึงในลานพร้อมใบหน้าจิ้งจอกประหลาดใจ เหลือบเห็นจี้หยวนนั่งอยู่หน้าโต๊ะหิน คล้ายกับกำลังเล่นของเล่นอะไรอยู่
“ท่านจี้ ท่านทำอะไรน่ะ หากตัดกระดาษลายเลียนแบบชาวบ้าน ก็ควรเป็นกระดาษแดงไม่ใช่หรือ”
ตอนนี้จี้หยวนหยิบกระดาษเหลืองมาแผ่นหนึ่งแล้ว ใช้ไม้บรรทัดและกรรไกรตัด,จากนั้นใช้แท่งถ่านวาดเป็นรูปคน
“โอ้อ ท่านจี้วาดภาพเก่งทีเดียว สุดยอด!”
จี้หยวนมองรูปคนบนกระดาษเหลือง ศีรษะกลม ร่างกายและแขนขาแทบจะเป็นท่อนไม้ตรงแหน็ว ทักษะการประจบของจิ้งจอกตัวนี้ย่ำแย่เหลือเกิน
เขาไม่สนใจหูอวิ๋น ใช้กรรไกรตัดตามเส้นที่วาดไว้ก่อนหน้านี้ ค่อยๆ ตัดออกมาเป็นคนกระดาษทีละน้อย
ระหว่างนี้กระเรียนกระดาษที่อยู่ในถุงผ้าไหมตรงอกเสื้อก็บินออกมาแล้ว หยุดอยู่บนไหล่จี้หยวนแล้วมองดูอย่างตั้งใจ กระเรียนกระดาษในตอนนี้นอกจากมีสัญชาตญาณในการหาโชคหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้าย ความใคร่รู้ก็เพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่งด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่จี้หยวนกำลังทำในตอนนี้เกี่ยวข้องกับกระดาษ
ไม่นานเท่าไหร่นัก ในมือจี้หยวนมีคนกระดาษเหลืองเพิ่มขึ้นมา ขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ
เขาวางคนกระดาษเหลืองแผ่นบางไว้ข้างๆ ก่อน จากนั้นทำแบบเดิมอีกครั้ง ตัดคนกระดาษเหลืองออกมาสิบกว่าแผ่นภายในเวลาหนึ่งเค่อกว่า
รูปร่างหน้าตาคนกระดาษเหล่านี้แตกต่างกันทั้งหมด นอกจากแผ่นแรกที่อยู่ในท่ายืนแล้ว แผ่นอื่นทุกแผ่นล้วนมีท่าทางเป็นของตนเอง มีทั้งนั่งยอง โค้งตัว งอแขนข้างเดียว และฟาดแขนทั้งสองข้าง อีกทั้งขาดท่าทางก้าวเท้าซ้ายหรือขวา เอียงคอซ้ายหรือขวาไปไม่ได้เลย
ทีแรกหูอวิ๋นมองแล้วเหมือนจี้หยวนกำลังเล่นอยู่ ความจริงแล้วคนกระดาษพวกนี้แม้ท่าทางไม่เหมือนกัน แต่ขนาดศีรษะไปจนถึงแขนขารวมสี่ข้างของคนกระดาษแทบเหมือนกับอย่างกับแกะ ขอบคนกระดาษทุกแผ่นยิ่งซ่อนแสงธรรมจางๆ เอาไว้ชั้นหนึ่ง รวมถึงตั้งแต่เริ่มตัดคนกระดาษแผ่นแรก ในปากจี้หยวนเหมือนกับท่องอะไรบางอย่างอยู่ตลอด
จนถึงตอนนี้ต่อให้เป็นหูอวิ๋นก็รู้แล้วว่าจี้หยวนกำลังใช้วิชาอยู่แน่นอน จึงประคองถ้วยกระเบื้องที่เลียหมดแล้วนั่งลงข้างโต๊ะหินไม่พูดไม่จา แม้แต่หายใจเข้าออกล้วนระวังเป็นอย่างยิ่ง สองตายิ่งไม่กล้ากะพริบ เงี่ยหูฟังทุกพยางค์ที่จี้หยวนเปล่งออกมา
ถูกต้อง หูอวิ๋นอยากครูพักลักจำวิชาของจี้หยวน หรือสำหรับมันไม่อาจนับได้ว่าครูพักลักจำ เพียงเปิดหูเปิดตาเท่านั้น
เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว หูอวิ๋นยิ่งมายิ่งรู้ประสา ด้วยอิทธิพลจากเจ้าภูเขาลู่ ยิ่งเข้าใจแล้วว่าท่านจี้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้สูงส่งเพียงหยิบมือบนโลกใบนี้ มรรควิถีล้ำลึกยากหยั่งคาด ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเขาย่อมเป็นผลดีของชีวิตนี้แล้ว
จี้หยวนไม่คิดหลบซ่อนจากหูอวิ๋น ด้วยความเขลาของจิ้งจอกตัวนี้ แปดส่วนเรียนรู้อะไรไม่น่าได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการให้มันไปเรียนรู้อะไรให้ได้เลย
หูอวิ๋นมองจี้หยวนทำคนกระดาษออกมามากขึ้นเรื่อย จากสิบกว่าแผ่นตอนเริ่มต้น บัดนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่าทางธรรมดาอย่างการยกมือแต่เดิมนั้น ภายหลังเพิ่มกระบวนท่าที่แขนขาหรือเอวไม่น้อยแล้ว
ในการศึกษาค้นคว้าจากคนสองยุคสมัยอย่างนักพรตตู้และอาจารย์ของเขา ทั่วไปแล้วคิดว่าจำนวนหนึ่งร้อยแปดครอบคลุมเทพสวรรค์และอสูรปฐพี บรรจุการเคลื่อนไหวทั้งหมดของคนกระดาษได้โดยสมบูรณ์ และถึงขีดจำกัดพลัง โดยเฉพาะความอดทนทางจิตใจของพวกเขาแล้ว
อย่างไรเสียคนกระดาษทุกแผ่นก็ไม่ได้มีศีรษะกลมและแขนของสี่ข้างเหมือนท่อนไม้ง่ายๆ ความจริงแล้วระหว่างการตัดกระดาษจะใช้จิตวิญญาณและพลัง เติมเต็มนิ้วมือ ฝ่ามือ กระดูก ผิวหนัง เล็บ และอวัยวะอื่นๆ ที่ควรมี เคล็ดวิชาที่ท่องอยู่ในปากว่องไวเป็นพิเศษ ยิ่งเหมือนกับการอธิบายเสริมเกี่ยวกับการทำงานระหว่างจิตใจและวิญญาณ อยางเช่นกล่าวว่ากระดูกมีกี่ข้อต่อ นิ้วมือมีกี่นิ้ว เล็บต้องมีมากน้อยเท่าไหร่
ระหว่างนั้นขอเพียงมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น คนกระดาษที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปพร้อมกัน
แม้จี้หยวนจิตใจเข้มแข็ง แต่ลองวิชาที่ต้องใช้ทั้งจินตนาการและการทำงานฝีมือรวมกันเช่นนี้เป็นครั้งแรกก็เกิดความผิดพลาดเช่นกัน
เมื่อคนกระดาษแผ่นที่เก้าสิบกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ การประสานงานกันระหว่างกรรไกรและวาจาจากจิตใจเกิดปัญหาเล็กน้อย ตัดกระดาษได้ในพริบตาเดียวเท่ากับว่ากำหนดรูปร่างทว่าไม่กำหนดจิตใจ
ฉับ…ฉับ…ฉับ…
กระดาษแผ่นนี้ในมือจี้หยวน รวมถึงคนกระดาษเหลือแปดสิบเก้าแผ่นในกระด้งพลันลุกไหม้ในพริบตา กลายเป็นเถ้าในทันที ทำเอาหูอวิ๋นตกใจสะดุ้ง
“เฮ้อ…เหนื่อยใจนัก!”
จี้หยวนถอนหายใจ โบกมือครั้งหนึ่งเพื่อปัดเถ้ากระดาษทั้งหมดไป
ในที่สุดตอนนี้หูอวิ๋นก็หาโอกาสถามคำถามได้แล้ว
“ท่านจี้ เมื่อครู่นี้ท่านใช้วิชาอะไรหรือ คนกระดาษเหล่านั้นมีไว้ทำอะไร ดูแล้วเหมือนกำลังต่อสู้ ท่านคงไม่ได้กำลังทำหุ่นเงากระมัง แล้วไยถึงกลายเป็นเถ้าไปแล้วล่ะ”
“พูดมาก”
จี้หยวนพูดคำเดียวแล้วเริ่มลองครั้งที่สองทันที ครั้งนี้ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมเล็กน้อย จนกระทั่งตัดคนกระดาษครบหนึ่งร้อยแปดแผ่น ทั้งหมดใช้เวลาไปครึ่งชั่วยาม
แต่นี่ยังไม่นับว่าสำเร็จสำหรับจี้หยวน ขั้นตอนการทำให้สมบูรณ์อยู่ที่ขั้นตอนต่อไปต่างหาก เขาเข้าใจแก่นแท้ของวิชานี้แล้ว
นี่เป็นการปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยเขา ความผิดพลาดถึงชีวิตเหล่านั้นเกิดขึ้นกับนักพรตตู้และอาจารย์ของเขาก็เพราะมรรควิถีไม่เพียงพอ อีกทั้งความเข้าใจยังไม่เข้าขั้น สิ่งเหล่านี้จี้หยวนล้วนเคยฝึกฝนมา วิชาบัญชาของเขาก็ศึกษาอย่างลึกซึ้งแล้ว ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบดูแล้วจึงมองปัญหาบางอย่างออก
ขีดจำกัดของนักพรตตู้และอาจารย์ผู้ล่วงลับมากเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าขีดจำกัดของจี้หยวนจะเทียบเท่ากัน เขายังคงตัดคนกระดาษต่อไป ขั้นตอนสำแดงวิชายิ่งต่อเนื่องไม่ขาดตอน
จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด จี้หยวนถึงหยุดการกระทำในมือลง ครั้งนี้ไม่เกิดข้อผิดพลาด คนกระดาษสามร้อยยี่สิบสี่แผ่นเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในคราวเดียว
ใช้การอธิบายของจี้หยวน จำนวนสองรอบหลังเขาเรียกว่า ‘เสริมจริง’ ความหมายก็คือมีเผื่อเหลือเผื่อขาด แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดของการฝึกเซียน อันที่จริงคำพูดของเขามีความหมายอันเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ คล้ายกับการ ‘เสริมภาพ’ นับเป็นอุดมคติและความเพ้อฝันเล็กน้อยของเขา
ส่วนเหตุใดถึงต้องเสริมให้ถึงจำนวนสามร้อยยี่สิบนั่น หลักๆ เป็นเพราะจี้หยวนปอดแหก พลังเป็นเรื่องรอง ยิ่งถึงช่วงหลังยิ่งสิ้นเปลืองจิตวิญญาณไม่รู้กี่เท่า อย่างไรเสียสิ่งที่ทำสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าวางไว้ไม่สนใจ แต่ต้องสร้างการเชื่อมโยงด้วย
แม้ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเขา แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว หากพลาดเพียงก้าวเล็กๆ ก้าวเดียว สิ่งที่ทำไปก่อนหน้านี้จะสูญเปล่าทั้งหมด ดังนั้นทำถึงจำนวนสามเท่าแล้วเขาถึงหยุดมือ
คนกระดาษสามร้อยกว่าใบอยู่ในมือเขาตั้งใหญ่ ทั้งหมดถูกรวมอยู่ในฝ่ามือของจี้หยวน การเคลื่อนไหวของส่วนอื่นแตกต่างกัน มีเพียงตำแหน่งศีรษะที่ทับซ้อนกัน
จี้หยวนมองหูอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ จิ้งจอกตัวนี้จิตใจจดจ่อเป็นอย่างยิ่ง
‘หรือว่าเจ้าก็มีช่วงเวลาแบบนี้เหมือนกัน’
หลังจากกล่าวในใจแล้ว สองมือของจี้หยวนประกบกระดาษไว้ตรงกลาง
ในสายตาของหูอวิ๋น ฝ่ามือสองข้างของท่านจี้เกิดแสงสีเหลืองหลายกลุ่ม แสงนี้จางมาก เหมือนกับผงแสงสีเหลืองลอยออกมาจากระหว่างนิ้วมืออย่างไรอย่างนั้น
ราวกับใช้เวลาเพียงเค่อเดียว ส่วนที่นูนขึ้นตรงฝ่ามือสองข้างของจี้หยวนค่อยๆ ยุบลง จนสุดท้ายอยู่ในท่าคล้ายสองมือพนมมือ
จี้หยวนมองจิ้งจอกแดงที่ครึ่งตัวบนพาดอยู่บนโต๊ะหิน ปลายจมูกเกือบจะถูกข้างฝ่ามือเขาแล้ว พลันยิ้มแล้วแบมือออก
“อ๊ะ! มีแค่แผ่นเดียว! กระดาษมากมายขนาดนั้นหายไปหมดแล้ว! ที่เหลือไปอยู่ที่ใดกัน”
หูอวิ๋นมองดูทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะ จากนั้นมองฝ่ามือของจี้หยวนอีกครั้ง
“ท่านจี้ คนกระดาษมากมายขนาดนั้นรวมอยู่ในกระดาษแผ่นเดียวหรือ”
“ฮ่าๆ เดาถูกแล้ว”
จี้หยวนอารมณ์ดีมากเช่นกัน อย่างน้อยก็มีแม่พิมพ์แล้ว
บนผิวคนกระดาษเหลืองในมือนั้น หากไม่ตั้งใจมองดูจะคิดว่าเป็นกระดาษเหลืองธรรมดาแผ่นหนึ่ง แต่หากมองดูอย่างละเอียดจะมองเห็นลายเส้นเค้าโครงบางๆ จำนวนหนึ่ง
“ท่านจี้ นี่คือวิชาอะไร นำมาใช้ทำอะไรได้”
หูอวิ๋นมีท่าทางคิดยื่นอุ้งเท้าแต่ก็ไม่กล้า มองกระเรียนกระดาษบนหัวไหล่จี้หยวนแล้วมองคนกระดาษมหัศจรรย์ในมือเขา ในใจกล่าวว่าที่จริงท่านจี้ชอบเล่นกระดาษทีเดียว
จี้หยวนมองคนกระดาษในมือ ขั้นตอนสุดท้ายยังไม่เสร็จสิ้น ปลายนิ้วเขากดลงบนศีรษะคนกระดาษ เลือดหยดหนึ่งซึมออกมาจากซอกเล็บ
เมื่อเลือดหยดลงบนกระดาษเหลืองแล้ว เขาตอบอย่างไม่ยี่หระว่า
“ไม่อาจนับได้ว่าทำอะไรได้มาก ทว่าพละกำลังไม่น้อยเลย”
“พละกำลัง? คนกระดาษเนี่ยนะ”
หูอวิ๋นมองคนกระดาษแผ่นนี้ เลือดหยดนั้นของจี้หยวนเพิ่งหยดลงไปบนกระดาษเหลืองไม่ทันไร แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นสีแดงเลยสักนิด
“ถูกต้อง แม้ความแตกต่างค่อนข้างมาก แต่วิชานี้ถือว่าเป็นแขนงหนึ่งของวิชาลายยันต์ เมื่อสำเร็จวิชาแล้วสำแดงวิชาและร้องเรียก จะมีจอมพลังเกราะทองเกิดขึ้นหลังจากนั้น”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วชำเลืองมองจิ้งจอกแดง
“ดูเสร็จแล้วกระมัง”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เขาถือกระดาษเหลืองตั้งตรงต่อหน้า พลังหลายระลอกเอ่อเข้าไปในกระดาษเหลือง จากนั้นจี้หยวนโยนลงตรงหน้าตนเอง
“จอมพลังอยู่ที่ใด”
เมื่อสิ้นเสียง กระดาษเหลืองยังไม่ทันตกลงพื้นก็มีหมอกแสงสีเหลืองปรากฏ เงาคนร่างหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางหมอกแสง
หลังจากหมอกแสงจากไป ตรงที่เดิมนั้นมีคนร่างกายกำยำเพิ่มขึ้นมา บนตัวใส่เกราะทอง ศีรษะสวมหมวกมอง ด้านหน้าและด้านหลังล้วนมีผ้าไหมสีเหลืองคลุมไว้ ส่วนสูงมากกว่าจี้หยวนสองศีรษะเต็มๆ หน้าแดงสดใส เคราแหลมดั่งเข็ม จี้หยวนยืนอยู่ข้างเขาแล้วเหมือนเด็กคนหนึ่ง
ชายร่างยักษ์ที่ปรากฏออกมาประสานมือสองข้างโค้งตัวลงต่อหน้าจี้หยวน กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำไม่ต่างจากเสียงตีฆ้อง
“เจ้านาย”
“ทะ ท่านจี้…นี่ นี่คือคนกระดาษหรือ มะ มีชีวิตแล้ว?”
จิ้งจอกแดงข้างๆ ตะลึงพรึงเพริด หลบอยู่ข้างหลังจี้หยวนใช้อุ้งเท้าชี้จอมพลัง พูดจาติดขัดไปหมด
“ไม่นับว่ามีชีวิตหรอก เป็นเช่นที่ข้าบอก พละกำลังไม่นับว่าน้อย เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าโง่เขลาอย่างถึงที่สุด เป่าหูเพียงนิดเดียวก็หลอกได้แล้ว”
จี้หยวนยกมือ จอมพลังเกราะทองค่อยๆ ยืดตัวตรง รักษาท่าทางยืนตรงเอาไว้
หูอวิ๋นผ่อนลมหายใจ ออกมาจากข้างหลังจี้หยวน เขยิบไปถึงข้างกายจอมพลังยักษ์ใหญ่อย่างระมัดระวัง เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบสนองแต่อย่างใด จึงยื่นอุ้งเท้าไปเคาะชุดเกราะกระโปรง
แก๊งๆ…
เสียงเหมือนทองและเหล็ก
“นี่ไม่ใช่กระดาษกระมัง”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
หูอวิ๋นเงยหน้ามองจอมพลัง อีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหวเลยตั้งแต่ต้น ยิ่งไม่มองมันด้วยซ้ำ
‘น่าเกรงขามจัง…’