เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 289 วันนี้ไม่กำจัด วันหลังต้องเป็นปัญหา
ตอนที่ 289 วันนี้ไม่กำจัด วันหลังต้องเป็นปัญหา
ฝนตกในเวลากลางคืนแบบนี้ จอมยุทธ์สิบกว่าคนนั้นไม่ได้ตรวจสอบศพโจรโดยละเอียดเท่าไหร่ คิดเสียว่าน่าจะถูกตนเองฆ่าตายไปแล้ว
ส่วนเหตุใดไม่มีผู้บาดเจ็บ เห็นทีผู้บาดเจ็บถูกนำตัวไปแล้ว ส่วนที่เหลือล้วนเป็นคนตาย
การต่อสู้การน่านี้โกลาหลยิ่งนัก จอมยุทธ์เหล่านี้ย่อมไม่แน่ใจโดยสิ้นเชิงว่าตนเองทำคนบาดเจ็บไปมากน้อยเท่าไหร่ ฆ่าคนไปมากน้อยเท่าไหร่ การต่อสู้ด้วยวิธีการทื่อๆ แบบนี้ทำให้คนเกิดความรู้สึกไปเองได้ง่ายมาก คิดว่าตนเองฆ่าคนไปทั้งหมดไม่น้อยเลย
เมื่อค้นตัวคนทางนี้รอบหนึ่งแล้ว ได้ของที่คิดว่ามีประโยชน์มาจำนวนหนึ่ง สหายทางนั้นก็ปรับลมหายใจได้เรี่ยวแรงคืนมาบ้างแล้ว
“ทุกคนรีบเดินเถอะ โจรทางเหล่านั้นแม้จะถอยไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมาอีกหรือไม่!”
“ใช่ รีบหาที่พักที่ปลอดภัย ต้องจัดการบาดแผลสักหน่อยด้วย”
ชายโพกศีรษะซึ่งเป็นผู้นำออกคำสั่ง ทุกคนทยอยกันลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาตบบ่าโจรผู้นั้น เอ่ยเสียงเย็น
“ไป ชี้ทาง”
“ดะ ได้ๆๆ อยู่ทางทิศตะวันตก น่าจะเดินไปตามทางบนเขาเส้นเก่าที่ลาดลงไปทางนั้น”
ไม่ว่าอย่างไรสิบกว่าคนนี้ก็เป็นจอมยุทธ์ แม้สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ แต่พักหายใจครู่หนึ่งแล้วยังคงเคลื่อนไหวได้ว่องไว เดินขึ้นเขาในป่าท่ามกลางโคลน ความเร็วไม่มีทางช้ากว่าโจรที่สองคนขี่ม้าตัวเดียวเหล่านั้น
ฝนยังคงตกหนักเสียงดังซ่า โคลนในคืนฝนตกหนักนำความไม่สะดวกสบายมาให้ทุกคน อีกทั้งกินแรงด้วย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โจรปาจื่อนำทางทุกคนมาถึงทางในป่าเส้นเก่า เขาลูบใบหน้าแล้วชี้ไปข้างหน้า
“จอมยุทธ์ทุกท่าน ที่นี่แหละ ถนนเส้นเก่านี้มีคนเดินน้อย หากตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ จะเจอหมู่บ้านร้าง”
ชายหนุ่มโพกศีรษะมองแล้วไม่ได้พูดอะไร เมื่อเรียกแล้วทุกคนก็ใช้ท่าร่างเดินทางอย่างรวดเร็ว ได้เดินบนถนนแบบนี้ ความเร็วของพวกเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย
หมู่บ้านนั้นที่ปาจื่อพูดถึงก็คือหมู่บ้านร้างที่จี้หยวนและคนกลุ่มเล็กพักอยู่
ระยะทางเจ็ดแปดลี้ความจริงไม่นับว่าไกลมาก ไม่นานทุกคนก็เข้าใกล้หมู่บ้านร้างแล้ว พอมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มผู้นำกลุ่มพลันหยุดฝีเท้า
“ทุกคนหยุดก่อน ข้างหน้าก็ถึงแล้ว แต่มีแสงไฟ!”
ทุกคนมองไปข้างหน้า มองเห็นแสงไฟในหมู่บ้างร้างรางๆ
“มีคนอยู่ที่นั่นหรือ”
“หรือไอ้สารเลวนั่นให้พวกเรามาที่รังโจร”
ชายคนหนึ่งหิ้วปีกโจรที่หนาวจนตัวสั่นขึ้น
“ไม่ ไม่ใช่นะ กล่าวหาข้าแล้ว! หมู่บ้านร้างนั่นถูกทิ้งร้างมานาน รอบข้างไร้เงาคน กอปรกับไร้อันตรายไม่ต้องปกป้อง แล้วจะเป็นฐานที่มั่นของพวกข้าได้อย่างไร อาจจะบังเอิญมีคนผ่านมาแล้วพักเหนื่อยก็ได้!”
“เอาล่ะ เขาพูดถูกต้อง แสงไฟนั่นเบามาก ไม่ค่อยเหมือนโจรกลุ่มใหญ่ ไปดูก่อนแล้วกัน”
…
ในหมู่บ้านร้าง จี้หยวนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างนอกนานแล้ว ด้วยรู้อยู่แล้วว่าผู้มามีกันทั้งหมดหกคน ชายหญิงล้วนมีทั้งสิ้น แม้มีคนจำต้องให้ผู้อื่นประคอง แต่ส่วนใหญ่ฝีเท้าแข็งเรง เห็นทีเป็นผู้ฝึกวิชายุทธ์
จนคนเหล่านั้นเข้ามาในหมู่บ้าน เสียงที่ดังมาทำให้เจ็ดแปดคนในบ้านหลังใหญ่ตกใจ หานหมิงและชายหนุ่มสองคนเดินมาที่หน้าประตูด้วยความเครียดเกร็ง เห็นจี้หยวนลุกขึ้นยืนมองไปข้างนอกแล้ว
“ท่านจี้ ข้างนอกมีคนมาหรือ”
“อืม เป็นจอมยุทธ์หลายคน น่าจะเพิ่งผ่านการต่อสู้มา มีคนตัวเปื้อนเลือดได้รับบาดเจ็บไม่น้อย”
หานหมิงและสหายมองคนกลุ่มหนึ่งที่เดินจากหน้าหมู่บ้านเข้ามาใกล้ ความกังวลยังคงอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะมองจี้หยวนอีกครั้ง
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาบาดเจ็บ”
จี้หยวนชี้จมูกตนเอง
“จมูกข้าไวเป็นพิเศษ ได้กลิ่นคาวเลือดของตนเองและผู้อื่นได้จากบนตัวพวกเขา”
จมูกไวเกินไปแล้วกระมัง อีกทั้งแยกได้อีกหรือว่ากลิ่นเลือดเป็นของคนอื่นหรือตนเอง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ ความสนใจของพวกหานหมิงอยู่ที่ตัวผู้มาเยือนทั้งสิ้น
พวกเขามองเห็นเงาคนสิบกว่าคนเข้ามาจากข้างนอกหมู่บ้านอยู่เลือนราง อีกทั้งมุ่งหน้ามาทางนี้ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“คนพวกนี้ต้องมาที่นี่แน่ๆ หลบก็หลบไม่พ้นแล้ว”
คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จี้หยวนอธิบายกับหานหมิงคำหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากเสียงดังไปทางข้างนอกเป็นคนแรก
“ทุกท่านหาที่พักเท่าอยู่ใช่หรือไม่ ใกล้ๆ หมู่บ้านร้างแห่งนี้มีแค่บ้านหลังใหญ่ทางนี้ที่นับว่าสมบูรณ์ยู่ ข้างในมีฟืนอยู่ไม่น้อย หากไม่รังเกียจจะเข้ามาเบียดกันก็ได้”
พูดถึงตรงนี้แล้ว จี้หยวนกล่าวกับหานหมิงอีก
“ท่านหาน รบกวนท่านจูงม้าสองตัวไปที่เรือนข้างทางนั้น ที่นั่นมีเสาผูกม้าให้ใช้เหลือเฟือ อย่างไรเสียบ้านหลังนี้ก็ไร้เจ้าของ สภาพของอีกฝ่ายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเราควรช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้”
แม้หานหมิงจะไม่ค่อยชอบใจที่จี้หยวนทำตัวเป็นเจ้านายตามใจชอบ แต่คิดดูแล้วว่าพวกเขาผ่านอะไรมา อีกทั้งมีจำนวนคนมากกว่า เช่นนั้นหลีกเลี่ยงการปะทะได้ย่อมดีที่สุด จึงไม่ได้พูดอะไรมาก สั่งคนหนึ่งให้จูงม้าออกไป
“เสี่ยวจิ่ว จูงม้าออกไปที”
“อืม!”
จี้หยวนพูดออกไปตามตรง หนึ่งเพื่อช่วยคนเหล่านี้ประหยัดเวลา คลายความกระอักกระอ่วนที่อาจเกิดขึ้น สองเพราะเขาได้กลิ่นแปลกๆ สายหนึ่งจากตัวของคนเหล่านี้ จึงอยากทำความเข้าใจสถานการณ์สักหน่อย
จอมยุทธ์ข้างนอกได้ยินคำพูดของจี้หยวน ระหว่างพวกเขาพูดคุยกันเสียงเบารอบหนึ่ง สุดท้ายยังคงเดินไปทางบ้านหลังใหญ่โดยไม่เปลี่ยนเส้นทาง
ชายโพกศีรษะเดินอยู่ข้างหน้าเช่นเดิม ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็ประสานมือเอ่ยขอบคุณเสียงดัง
“ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ พวกข้าต้องการสถานที่พักฟื้นอยู่พอดี!”
ระหว่างที่พูดนั้น ชายหนุ่มก้าวเข้ามาหลายก้าว ถึงตรงหน้าบ้านแล้ว
นี่คือบ้านที่มีขนาดเหมือนกับศาลบรรพบุรุษ เมื่อมองเข้าไปในเรือน ข้างในมีกองไฟอยู่สองกอง
ตรงที่อยู่ข้างในหน่อยล้อมไว้ด้วยคนกลุ่มหนึ่ง มีทั้งคนชรา เด็ก บุรุษ และสตรี
ข้างนอกมีคนยืนอยู่สามคน คนหนึ่งท่าทางเหมือนบัณฑิต เป็นคนที่พูดกับพวกเขาเมื่อครู่นี้ สองคนนอกจากนั้นเป็นบุรุษถือดาบไว้ในมือ หลังจากประสานมือแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน ความหวาดหลัวที่ฉายชัดบนใบหน้าหลังมองเห็นดาบเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ในเรือนข้างนอกมีคนกำลังผูกม้า ชายโพกศีรษะรู้ว่าเขาเพิ่งผูกม้าออกมา ชัดเจนว่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับพวกเขา
ยิ่งเป็นเช่นนี้ ชายโพกศีรษะก็ยิ่งแน่ใจได้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นชาวบ้าน คนที่เหมือนบัณฑิตข้างนอกผู้นั้นไม่ได้แสดงสีหน้าหวั่นเกรง แต่ไม่เหมือนกับมีจิตใจชั่วร้ายอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจี้หยวนหรือคนเหล่านั้นที่อยู่ข้างในก็ดูเหมือนไม่เป็นวรยุทธ์กันทั้งสิ้น นี่ทำให้ชายโพกศีรษะถอนใจโล่งอกได้
“ไม่ต้องเกรงใจ อยู่นอกบ้านพบความลำบากเป็นเรื่องยากจะเลี่ยง ข้าคนแซ่จี้ก็หวังว่าตอนตนเองต้องการความช่วยเหลือจะมีคนยื่นมือเข้ามาบ้าง”
จี้หยวนมองดาบบิ่นในมือชายหนุ่ม ขณะเดียวกันตอบกลับโดยมารยาท แล้วตั้งใจขยับเก้าอี้ของตนเองออกเล็กน้อย
ชายโพกศีรษะพยักหน้า จากนั้นรีบย้อนกลับไปหาสหายที่คอยท่าอยู่ห่างออกไป
“ทางนั้นปลอดภัย คนที่อยู่ข้างในน่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดากันหมด จิตใจก็ไม่เลว แต่ทุกคนระวังหน่อยแล้วกัน อย่าไปรบกวนพวกเขา!”
“ฮู่…ดียิ่ง!”
“อืม ในที่สุดก็จะได้พักแล้ว…”
“ไปๆ รีบเดินหน่อย ได้ดื่มน้ำร้อนสักคำคงจะดียิ่งกว่านี้!”
สหายข้างนอกต่างถอนหายใจ ทุกคนต่างพูดคุยกัน พร้อมกันนั้นพากันเดินไปทางบ้านหลังใหญ่
สิบกว่าคนเสื้อเปียกชุ่ม ตอนเดินเข้าไปในเรือน เสียงน้ำหยดติ๋งๆ ดังไม่หยุด มองดูแล้วจนตรอกอย่างน่าประหลาด
พวกหานหมิงสังเกตอย่างละเอียด มองเห็นเลือดบนตัวคนมากมายจริงๆ แม้แต่พวกเขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดเช่นกัน
ความจริงเรือนหลังนี้ไม่เล็กเลย หากม้าสองตัวนั้นยังอยู่ ไม่แน่ว่าเบียดเสียดกันเกินไป ตอนนี้ม้าถูกจูงไปแล้ว แม้ไม่นับว่ากว้างขวางมาก แต่ก็ไม่ถึงกับมอบความรู้สึกอึดอัดให้
เมื่อพูดคุยกับคนที่อยู่ในเรือนสักพักแล้ว คนสามกลุ่มต่างก็นั่งพักอย่างสงบ
ด้วยกังวลว่าฟืนจะไม่เพียงพอ กองไฟที่สามจึงไม่เกิดขึ้น เพียงขยายกองไฟของจี้หยวนให้ใหญ่กว่าเดิม ทำให้สิบกว่าคนร่วมผิงไฟด้วยได้
ตอนนี้ไม่ค่อยสะดวกนัก ทุกคนไม่อาจถอดเสื้อผ้าตากแห้ง ทำได้เพียงถอดเสื้อนอกออกแล้วจัดการบาดแผล
เมื่อได้สนทนากันอย่างง่าย ก็ทำให้ความกังวลใจในตอนแรกของทุกคนหดหายลงไปไม่น้อย
ชายโพกศีรษะนามว่าหวงจือเซียน เขาถอดเสื้อนอกของตนเองไปพลาง เล่าให้จี้หยวนและพวกหานหมิงฟังว่าก่อนหน้านี้พวกเขาต่อสู้กับโจรอย่างไรไปพลาง หานหมิงและพวกของเขาฟังแล้วสูดลมหายใจและร้องออกมาด้วยความตกใจอยู่เรื่อยๆ
จี้หยวนนั่งอยู่มุมนอก ตอนได้ยินว่าโจรถอยไปเอง อีกทั้งทิ้งพวกพ้องคนหนึ่งไว้ ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากขึ้นมา
“จอมยุทธ์ทุกท่านกล้าหาญเก่งกาจไม่ธรรมดา แต่เกรงว่าโจรพวกนั้นถอยไปด้วยเหตุผลอื่นมากกว่า”
จี้หยวนพูดเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์เหล่านั้นแล้ว ทว่าไม่มีใครเถียงในทันที กลับเป็นหวงจือเซียนที่หวนรำลึกดูแล้วเห็นด้วยอยู่เล็กๆ
“พูดตามตรงว่าตอนนี้ลองคิดดูแล้วก็แปลกอยู่บ้างจริงๆ ท่านจี้มองพิรุธใดออกหรือ”
จี้หยวนมองไปยังปาขื่อที่ถูกมัดไว้ตรงมุม ชัดเจนว่าเขาระแวงมาก
“น่าจะเจอสิ่งสกปรกอะไรเข้า ทำให้โจรเหล่านั้นกลัวจนจำใจถอยไป ด้วยความรีบร้อนจึงทิ้งพวกพ้องเอาไว้”
“สิ่งสกปรก? ท่านหมายถึงว่า…มีผีหรือ”
หวงจือเซียนถามต่อตามจิตใจสำนึก
ความสนใจของคนอื่นๆ ล้วนอยู่ที่จี้หยวน แม้แต่ฝ่ายหานหมิงก็เช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรคำว่า ‘ผี’ ก็น่ากลัวเกินไปในสถานที่แบบนี้
จี้หยวนส่ายหน้า
“อาจไม่ใช่ผี เอาเป็นว่าเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมาก ขอไม่ปิดบังจอมยุทธ์ทุกท่าน ข้าคนแซ่จี้จมูกไวมาก เมื่อครู่ได้กลิ่นแปลกๆ สายหนึ่งจากบนตัวพวกท่าน”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว มีคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้นว่า
“กลิ่นแปลกอะไร กลิ่นเลือดหรือ”
“ไม่ใช่ ปราณมีหลายชนิด กลิ่นล้วนแตกต่างกัน คนธรรมดามีปราณมนุษย์และปราณหยาง ผีมีปราณหยินและปราณผี ปีศาจก็มีปราณปีศาจ สิ่งที่พวกท่านสัมผัสมาไม่ใช่ทั้งหมดนั่น”
หลังจากจี้หยวนอธิบายแล้ว เขาเผยสีหน้าครุ่นคิด
“แต่ในเมื่อสิ่งนี้ไม่ได้ตามพวกท่านมา ก็เห็นทีจะตามโจรกลุ่มนั้นไปที่รังโจรแล้ว ชัดเจนว่าพวกท่านจัดการได้ยากกว่า…”
จี้หยวนเหมือนกับพูดกับตนเอง จากนั้นกวาดสายตามองเหล่าจอมยุทธ์
“หรือไม่ก็รู้สึกว่าพวกท่านตอบสนองความอยากอาหารไม่ได้”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหนาววูบวาบ แม้แต่จอมยุทธ์สิบกว่าคนก็รู้สึกว่าขนลุกขนพอง เดิมเสื้อผ้าก็เปียกชุ่มอยู่แล้ว ตอนนี้ผิงไฟอยู่แท้ๆ กลับรู้สึกหนาว
“ไม่ได้การ สิ่งนี้ชั่วร้ายมาก ปล่อยไปไม่ได้ จอมยุทธ์ทุกท่าน ข้าพาโจรผู้นี้ออกไปสักรอบได้หรือไม่”
หวงจือเซียนตะลึง ตอบสนองในทันที
“หรือว่าท่านจะไปรังโจร”
จี้หยวนพยักหน้า
“ถูกต้อง ข้าคนแซ่จี้เคยเห็นปีศาจมาไม่น้อย แต่ของสิ่งนี้ในวันนี้พิเศษมาก พวกโจรสมควรตาย แต่ไม่ใช่เพราะปีศาจสบโอกาส! มันเก่งเรื่องการซ่อนตัว วันนี้หากเจอแล้วไม่จำกัดอาจพลาดโอกาสดีไปก็เป็นได้”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น จี้หยวนเดินผ่านหลายคนไปถึงข้างๆ โจรผู้นั้นแล้ว จับปาจื่อลุกขึ้นยืน
“ไม่ ไม่ๆ! ข้า ข้าไม่อยากไป…”
“ตามข้าไปสักครั้งเถอะ รับรองว่าเจ้าจะไม่เป็นไร”
จี้หยวนดูรูปร่างไม่ใหญ่ แต่เรี่ยวแรงกลับมากเสียจนไม่ว่าอย่างไรโจรก็ดิ้นไม่หลุด จึงถูกลากไปที่หน้าประตู
พอถึงหน้าประตูแล้ว จี้หยวนหยุดครู่หนึ่ง คิดแล้วก็หยิบกระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งยื่นให้หวงจื่อเซียน
“นี่ให้ท่านยืมป้องกันตัวชั่วคราว สิ่งชั่วร้ายอาจไม่ได้มีแค่ตัวเดียว ข้าใช้วิชาไปแล้ว จำไว้ว่าหากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นให้กัดนิ้วหยดเลือด ตะโกนว่า ‘จอมพลังจงมา’!”
“เอ่อ…”
“จำได้แล้วใช่หรือไม่”
หวงจือเซียนตะลึง ตอบตามสัญชาตญาณ
“จำได้แล้ว…”
“ดี ข้าจะกลับมาก่อนฟ้าสว่าง”
จี้หยวนพูดจบแล้วก็หิ้วปีกโจรก้าวออกจากบ้านไป
“อ๊า…ข้าไม่อยากไป…”
ความจริงแล้วจอมยุทธ์ทุกคนตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง เห็นจี้หยวนพาคนออกไปแล้วจริงๆ จึงรู้สึกทำตัวไม่ถูก
เมื่อหวงจือเซียนและหลายคนข้างๆ มองออกไปข้างนอก กลับมองไม่เห็นใครในระยะใกล้ ครั้นมองไกลออกไป เห็นเงาคนอยู่ที่หน้าหมู่บ้านไกลลิบแล้ว สภาวะการเคลื่อนไหวเหมือนเดินไม่เหมือนวิ่ง แต่กลับรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
“อึก…”
หวงจือเซียนกลืนน้ำลาย มองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างตั้งใจ นั่นเป็นคนกระดาษที่ตัดจากกระดาษเหลืองบางๆ แผ่นหนึ่ง