เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 295 ทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบ
ตอนที่ 295 ทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบ
อานุภาพเพลิงสมาธิของแท้ไม่ทำให้จี้หยวนผิดหวังตามคาด ความจริงแล้วศพยักษ์ศพนี้หากพูดถึงมรรควิถีแล้วไม่ได้สูงส่งล้ำลึก แต่พวกผีดิบเป็นสิ่งที่แปลก พวกมันมักมีมรรควิถีติดตัวสูงยิ่ง หากไม่มีความยับยั้งชั่งใจเพียงพอ ผู้ฝึกตนทั่วไปพบเจอก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะพ่ายแพ้
‘โชคดีที่มาเจอกับข้า’
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับเป้าหมายที่มีความกดดันมากมาย ตอนนี้จี้หยวนมีสิทธิ์คิดพูดเช่นนี้อยู่ในใจจริงๆ เขามองเถ้าถ่านที่อยู่บนพื้นครั้งหนึ่ง ขณะนี้มันถูกฝนห่าใหญ่ตกใส่แล้วยิ่งเหนียวติดพื้นแยกออกไม่ได้
“ฝุ่นกลับสู่ฝุ่น ดินกลับสู่ดิน”
พูดจบแล้วจี้หยวนกลับหลังหัน ก้าวเข้าไปภายในเรือนร้างทีละก้าว จอมพลังเกราะทองข้างนอกเรือนเพียงยืนอยู่ที่หน้าประตูไม่ได้เข้าไปข้างใน หลังจากจี้หยวนผ่านประตูเรือนเข้าไปแล้ว มันกลับกลายเป็นกระดาษเหลืองแผ่นบางท่ามกลางกระแสแสง ก่อนจะลอยกลับไปที่มือของจี้หยวน
จี้หยวนเก็บกระดาษเหลืองเข้าแขนเสื้อ ชำเลืองมองปลายขื่อครั้งหนึ่ง จากนั้นค่อยมองหวงจือเซียนและพวกหานหมิงในเรือนที่อยู่ในสภาวะเงียบเชียบ สีหน้าเครียดเกร็งของพวกเขายังไม่จางหายไป
“หมดเรื่องแล้ว”
ได้ยินจี้หยวนพูดเช่นนี้ หลายต่อหลายคนผ่อนลมหายใจ พวกเขาเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกอย่างชัดเจน
“ขอบคุณท่านจี้ที่ช่วยเหลือ!”
“ใช่ ขอบคุณท่านจี้มากที่ช่วยเหลือ!”
“ขอบพระคุณบุญคุณช่วยชีวิตของท่านจี้!”
“ขอบคุณท่านจี้จริงๆ!”
…
ทุกคนประสานมือคารวะจี้หยวน แม้แต่เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นก็เลียนแบบผู้อาวุโสคารวะด้วยเช่นกัน
จี้หยวนไม่หลบเลี่ยง รับการคารวะของทุกคน จากนั้นค่อยหมุนกายไปปิดประตูผุพังบานนั้น
“พักผ่อนเถอะ คืนนี้ยังอีกยาวไกล พรุ่งนี้ทุกคนต้องออกเดินทาง วางใจเถอะ ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว”
หลังจากพูดจบประโยคนี้ จี้หยวนเดินไปยังมุมหนึ่ง ยกเก้าอี้ที่ถูกลมคลั่งพัดล้มขึ้นมา จากนั้นนั่งลงแล้วพิงผนัง หยิบตำรานอกรีตออกมาอ่านอีกครั้ง ท่าทางเช่นนี้ของเขาบ่งบอกว่าไม่อยากพูดมากแล้ว
หานหมิงและหวงจือเซียนต่างส่งน้ำร้อน รวมถึงอาหารให้ แต่จี้หยวนกล่าวขอบคุณและบอกว่าไม่ต้องการ
แม้ใคร่รู้และมีหลายสิ่งหลายอย่างอยากพูด แต่เห็นท่าทางของท่านจี้แล้วทุกคนก็มองหน้ากัน ไม่กล้ารบกวน
กองไฟตรงหน้าประตูมอดดับและเปียกชุ่ม แต่ตอนนี้จี้หยวนลอบดึงไอน้ำภายในเรือนออกไปทั้งหมด ดังนั้นตอนที่หวงจือเซียนหยิบฟืนจากในกองไฟออกมาจุดไฟอีกครึ่งจึงจุดติดแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งล้อมกองไฟผิงไฟหาความอบอุ่น เมื่อความอุณหภูมิจากกองไฟขจัดความเครียดและหวาดกลัวไปจากใจได้แล้ว ความคิดของหลายๆ คนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้กลัว มีแต่ความตื่นเต้นล้วนๆ
ทุกคนล้วนมีความอยากรู้อยากเห็นและความรู้สึกคาดหวัง อีกทั้งตอนนี้มีเซียนนั่งอยู่ในเรือนคนหนึ่ง คนธรรมดาจึงไม่อาจสงบใจได้ ทว่าท่านจี้กำลังตั้งใจอ่านตำรา คงไม่ดีหากเข้าไปรบกวน จึงทำได้เพียงขอให้มีโอกาสครั้งหน้า อย่างไรเสียเมื่อครู่นี้ก็มีโจรคนหนึ่งออกไปกับท่านจี้ด้วย
หวงจือเซียนมองโจรที่ขดตัวอยู่ตรงมุมประตู ทุกคนที่นี่ต่างมีแต่ความตื่นเต้นและยินดี แม้แต่ม้าแก่สองตัวของพวกหานหมิงก็ไม่เป็นไร ทว่ามีเพียงปาจื่อที่สภาพไม่ค่อยดีนัก เขาโชคดีรอดชีวิตมาได้ กระนั้นก็แค่ชั่วคราว คนอื่นดื่มน้ำร้อนกินขนมเปี๊ยะ ส่วนเขากลับกอดเข่านั่งอยู่ตรงมุมเรือนเพียงลำพัง
หากไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าบนตัวถูกจี้หยวนกำจัดน้ำไปหมดแล้ว คาดว่าตอนนี้เขาคงหนาวจนตัวสั่น
“นี่ เจ้าชื่อปาจื่อกระมัง”
“เอ่อ…ชะ ใช่!”
ปาจื่อมองจี้หยวนที่นั่งอยู่ไม่ไกลโดยจิตใต้สำนึก เห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใด เขาทำได้เพียงตอบอย่างเกรงๆ
“นี่ขนมเปี๊ยะอุ่นร้อน”
เห็นขนมเปี๊ยะที่หวงจือเซียนส่งให้แล้ว ปาจื่อชะงักไปเล็กน้อย หลังจากกลืนน้ำลายก็รับมาด้วยความลังเล ครั้นกัดเข้าปากคำหนึ่งกลับหยุดไม่ได้อีก ยัดขนมเปี๊ยะใส่ปากอย่างต่อเนื่อง ยัดจนเต็มกระพุ้งแก้มแล้วถึงค่อยเริ่มเคี้ยว
หากพูดถึงความน่ากลัวในคืนนี้ เขาปาจื่อได้สัมผัสอย่างถึงพริกถึงขิงที่สุด หมดเรี่ยวแรงไปไม่น้อย ตั้งแต่การต่อสู้ก่อนค่ำจนถึงตอนนี้ไม่ได้กินอะไรเลย หิวแทบตายตั้งนานแล้ว
เคี้ยวอยู่ครู่หนึ่งแล้วกลืนขนมเปี๊ยะในปาก เขาเริ่มกัดที่เหลืออย่างบ้าคลั่ง
ตอนนี้หานหมิงเดินเข้ามาแล้วเช่นกัน ส่งกระบอกไม้ไผ่ให้เขา
“ดื่มน้ำร้อนหน่อยเถอะ”
“อะอืม…ขอบคุณ…”
ปาจื่อรับกระบอกไม้ไผ่มาทดสอบอุณหภูมิดู ก่อนจะดื่มเสียงดังอึกๆ จากนั้นเริ่มกินขนมเปี๊ยะอีกครั้ง
ขนมเปี๊ยะโรยเกลือเล็กน้อย ตอนที่ไม่ได้ย่างทั้งแห้งและแข็ง แม้ดูเหมือนไม่ใหญ่มาก แต่กินหมดแล้วกลับอิ่มท้อง ทั่วไปแล้วต้องกัดออกมาเคี้ยวซ้ำๆ กินอยู่ครู่หนึ่งถึงจะกินหมดได้ แต่ปาจื่อกลับกินจนหมดในเวลาไม่นาน
“อึกๆๆๆ…”
น้ำร้อนในกระบอกไม้ไผ่ถูกดื่มจนเกลี้ยงรวดเดียว
“ฮู่…”
ตอนนี้ปาจื่อรู้สึกว่าตนเองรอดชีวิตแล้วจริงๆ รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว
จี้หยวนเพียงชำเลืองมองภาพนี้แล้วเหลือบมองกระเรียนกระดาษที่อยู่มุมหนึ่งบนขื่อ หลุดหัวเราะพลางส่ายหน้า สุดท้ายอ่านตำราต่อไป
“ปาจื่อ ก่อนหน้านี้เจ้าออกไปกับท่านจี้ ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“ใช่ เจ้าเล่าให้พวกข้าฟังหน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวพวกข้าจะบอกเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง จอมพลังเกราะทองที่ท่านจี้ทิ้งไว้ให้ทรงอานุภาพจริงๆ!”
ปาจื่อมองจี้หยวนตามสัญชาตญาณ เห็นเขาไม่คิดจะสนใจ กอปรกับตอนนี้ร่างกายอบอุ่น ท้องก็อิ่มแล้ว เขาพลันมีความกล้าเริ่มพูดขึ้นมา
“ค่ายราชาทักษิณเป็นที่อยู่ของข้าก่อนหน้านี้ ข้ากับท่านจี้ไปรังโจรนั้น ระหว่างทางรวดเร็วเหมือนกับบินก็ไม่ปาน…ตอนที่พวกข้าไปถึง ค่ายทั้งค่ายไม่มีใครเหลือรอดชีวิตแล้ว คนหลายร้อยคน ม้าร้อยกว่าตัวล้วนตายหมด…”
ปาจื่อเผยสีหน้าหวาดหวั่น จากนั้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นด้วยความตื่นเต้น
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ กระบี่เล่มนั้นของท่านจี้ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง เพียงกระบี่เล่มนั้นกวาดผ่าน ยอดเขาน้อยใหญ่ของเขาทักษิณน้อยก็ราบเรียบไปหมด…นอกจากนี้ตอนข้ากลับมาก็บินกลับมาด้วย…”
ปาจื่อเล่าเรื่องเกินจริงไปไม่น้อย จี้หยวนอดไม่ได้ที่จะคิดในใจ
‘คุยโม้ไปทั่ว เป็นนิสัยโดยกำเนิดของมนุษย์จริงๆ’
กระเรียนกระดาษบนขื่อตั้งใจมองตรงนี้ เมื่อมีเสียงอืออาเพราะประหลาดใจดังขึ้นจากกลุ่มคน มันก็เงยหน้าและพยักหน้าเลียนแบบพวกเขา
คืนนี้สำหรับคนเหล่านี้ถือว่าได้รับความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง หลังจากความตื่นเต้นหดหาย ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาครอบงำ แทบทุกคนรวมถึงคนเฝ้ายามล้วนหลับกันหมด บ้างพิงมุมผนัง บ้างนอนลงบนพื้นหลับไปโดยไม่สนใจอะไร
เดิมทีจี้หยวนคิดว่าเมื่อพวกเขาหลับแล้ว ตนเองค่อยจากไปก่อนฟ้าสาง แต่คิดดูแล้ววันนี้คนกลุ่มนี้ตื่นตกใจมามาก ดังนั้นส่งพวกเขาถึงสถานที่ที่มีคนอยู่แล้วค่อยว่ากล่าวเถอะ
ดังนั้นจี้หยวนร่วมเดินทางกับจอมยุทธ์ที่มีหวงจือเซียนเป็นผู้นำกลุ่มและกลุ่มของหานหมิง ประมาณช่วงกลางวันของสิบวันหลังจากนั้นถึงเดินออกจากถนนแรกทักษิณในที่สุด มองเห็นเมืองขนาดเล็กที่นับได้ว่าคึกคักแล้ว รอบข้างปรากฏคนเดินเท้า
มองไปเห็นเมืองอยู่ข้างหน้า หวงจือเซียนเดินเข้าไปใกล้จี้หยวน กล่าวเสียงเบาว่า
“ท่านจี้ ข้างหน้ามีเมืองแล้ว ข้าอยากถามท่านว่าจะจัดการปาจื่ออย่างไร”
จี้หยวนบอกกับทุกคนแล้วว่าเมื่อถึงเมืองแรกตนเองจะจากไป เดิมทีหวงจือเซียนรอเขาไปแล้วค่อยคิดเรื่องปาจื่อก็ได้ แต่พูดเอาตอนนี้ก็ชัดเจนว่าเลือกมอบสิทธิ์นี้ให้จี้หยวน
จี้หยวนไม่มีความเห็นว่าจะจัดการปาจื่ออย่างไรดี เพียงให้พวกหวงจือเซียนปรึกษากันเอาเอง
ดังนั้นหลังจากถึงนอกเมืองได้สักพัก ปาจื่อที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรพลันรู้แล้วว่าทุกคนคิดส่งตนเองให้กับทางการ
เมื่อรู้ดังนั้นแล้ว ปาจื่อที่คิดว่าตนเองสนิทสนมกับทุกคนแล้วรับไม่ได้อยู่บ้าง ด้วยความกลัวเกิดความคิดบางอย่างทันที เขาคุกเข่าลงตรงหน้าจี้หยวน ร้องไห้ขอความเมตตาจากอีกฝ่าย
“ท่านจี้ ท่านจี้ช่วยข้าด้วย! พวกเขาจะส่งข้าให้กับทางการ! ท่านเอ่ยปากหน่อยเถอะ หากท่านเอ่ยปากพวกเขาต้องปล่อยข้าแน่!”
ปาจื่อร้องไห้ออกมา อีกทั้งคิดโขกศีรษะลงบนพื้น ทว่าหน้าผากยังไม่แตะพื้นก็มีมือข้างหนึ่งรองศีรษะเขาไว้ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองพบว่าจี้หยวนกำลังมองตนเองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ข้างหูมีเสียงราบเรียบของจี้หยวนดังขึ้น
“ปาจื่อ คนต้องรับผิดชอบความผิดที่ตนเองกระทำเสมอ บางคนรับผิดชอบตอนยังมีชีวิตอยู่ บางคนรับผิดชอบตอนตายไปแล้ว ข้าคิดว่ารับผิดชอบตอนยังมีชีวิตอยู่ดีที่สุด เพราะมันทำให้เจ้าหลาบจำ วางใจเถอะ การมีความคิดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะตายก่อนวัยอันควร ทว่าร้องไห้ไม่ยอมรับความผิดไม่ใช่การกระทำที่พึงมี!”
พูดจบแล้วจี้หยวนก็ลุกขึ้นยืน ประสานมือให้ทุกคนพลางยิ้ม
“ทุกท่าน พวกเราจากกันตรงนี้ หากวันหน้ามีโอกาสค่อยพบกันใหม่!”
“ท่านจี้รักษาตัวด้วย!”
“วันหน้าพบกันใหม่!”
“ขอบคุณท่านจี้ที่ช่วยเหลือมาตลอด!”
“ขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตของท่านจี้!”
…
แทบทุกคนเคยลองเสาะหาวิธีแสวงหาเซียน ในเมื่อไม่สำเร็จ ตอนนี้ก็ทำได้แค่บอกลากล่าวขอบคุณจากใจจริงแล้ว
ตรงนี้เป็นจุดที่คนเดินกันขวักไขว่พอดี การคุกเข่าร้องขอของปาจื่อและการบอกลาทุกคนย่อมดึงดูดความสนใจคนไม่น้อย มีคนเดินไปพลาง พูดคุยกันไปพลางว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนเห็นมาก แต่คนหยุดถามน้อย
เมื่อจี้หยวนก้าวเท้าหายไปจากสายตา ปาจื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพึมพำด้วยความหดหู่
“แต่ข้าก็ไม่ได้ปลอดภัยอะไรนะ…”