เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 297 สถานที่ชนบท
ตอนที่ 297 สถานที่ชนบท
ขณะเดียวกับที่จี้หยวนพูด เขาประสานมือเล็กน้อย นับว่าตอบแทนมารยาทให้เยี่ยนเฟยแล้ว
เทียบกับจอมยุทธ์หนุ่มผู้กล้าหาญในตอนนั้น เยี่ยนเฟยในตอนนี้ไม่มีความเยาว์แล้วอย่างชัดเจน มีความโชกโชนและสิ่งอื่นเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง
จี้หยวนฟังแล้ว ไม่ต้องใช้ตามองก็รู้ว่าเยี่ยนเฟยในตอนนี้ไม่เพียงไม่มีพู่บนด้ามกระบี่วิเศษ ในใจเขาก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน
ได้ยินจี้หยวนพูดจบ เยี่ยนเฟยไม่ได้รู้สึกว่าถูกกระตุ้นและเสียมารยาทแต่อย่างใด เพียงยิ้มเล็กน้อย
“ท่านมองเห็นชัดเจนทีเดียว ได้เจอสหายเก่าที่ต่างถิ่น พวกเราอย่าพูดเรื่องไม่น่าอภิรมย์เหล่านั้นเลย ไปเถอะ ฟ้าใกล้มืดแล้ว ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ไม่มีเมืองที่เข้าท่าเข้าทีเมืองอื่นแล้ว ข้าขอเชิญท่านจี้เข้าเมืองดื่มด้วยกันสักถ้วย”
เมื่อพูดจบแล้ว เยี่ยนเฟยออกจากศาลาไป จี้หยวนตามอีกฝ่ายออกไปเช่นกัน ขณะเดินผ่านศพคนเหล่านั้น จี้หยวนหยุดเล็กน้อย
เห็นจี้หยวนหยุดฝีเท้า เยี่ยนเฟยซึ่งนำหน้าอยู่หยุดด้วยเช่นกัน ก่อนจะหันกายมองอีกฝ่าย
“ท่านจี้อยากจัดการศพให้พวกเขาหรือไม่”
จี้หยวนมองเยี่ยนเฟยแล้วส่ายหน้า
“ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่สหาย อีกทั้งต้องการให้ข้าตายอีกต่างหาก เป็นเช่นที่พวกเขาว่าไว้ ที่นี่มีสัตว์ป่าเดินในตอนกลางคืนมากมาย ไยต้องลำบากตนเองด้วยเล่า”
เดิมทีคิดว่าจะพูดถึงหลักการและเหตุผลสักหน่อย ลองโน้มน้าวให้ตนเองช่วยจัดการศพด้วยกัน แต่ได้ยินดังนั้นแล้วจี้หยวนชะงักไปเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน
“เช่นนั้นท่านมองอะไรอยู่หรือ”
“ไม่มีอะไร แค่เห็นวิญญาณเร่ร่อน ไปเถอะ”
พูดจบแล้วจี้หยวนก้าวเท้าอีกครั้ง เดินนำอยู่ข้างหน้า
บนศพเก้าคนบ้างมีวิญญาณเบียดออกจากร่าง บ้างยังอยู่ข้างในครึ่งหนึ่ง ทั้งหมดมีสีหน้างุนงงทำตัวไม่ถูก ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตนเองตายไปแล้ว
ไม่มียมทูตดำมา ยิ่งไม่มีเจ้าที่นำทาง ไม่มีใครส่งวิญญาณและไม่มีครอบครัวเรียกวิญญาณด้วย
วิญญาณเร่ร่อนผีเร่ร่อน ที่เรียกแบบนี้เพราะตอนตายไม่ได้มีความขุ่นเคืองลึกซึ้ง และไม่ได้เกิดเป็นปราณชั่วร้ายอะไร ตอนนี้ยังตัดความสัมพันธ์กับกายเนื้อไม่ขาด มีปราณหยางอยู่เฮือกหนึ่ง อีกเดี๋ยวลมยามราตรีพัดมาจะกลายเป็นผีจริงๆ แล้ว หากโง่เง่าสักหน่อย พรุ่งนี้แสงสว่างส่องมาก็เพียงพอแล้ว
เยี่ยนเฟยยืนอยู่ที่เดิมสักครู่หนึ่ง สายตากวาดมองศพบนพื้น คิดเล็กน้อยกลับนั่งยองลง หยิบเงินจำนวนหนึ่งจากทั้งเก้าคนแล้ว คราวนี้ถึงเร่งฝีเท้าตามจี้หยวนไป
เสื้อสีขาวของจี้หยวนพลิ้วไหวตามลมอยู่ข้างหน้า ท่าทางเดินสบายๆ เยี่ยนเฟยจึงกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ท่านจี้ การแต่งกายของท่านในตอนนี้ดีกว่าปีนั้นเยอะเลย”
ตอนเยี่ยนเฟยพบจี้หยวนครั้งแรกยังคงอยู่ในโรงเตี๊ยมอำเภอหนิงอัน จี้หยวนในตอนนั้นเพิ่งเปลี่ยนชุดขอทานมอมแมมทั้งตัวทิ้ง ยิ่งไม่มีความสง่างามแต่อย่างใด รูปร่างหน้าตาโทรมมากเช่นกัน
กอปรกับมาดในตอนนี้ หากพูดว่าจี้หยวนในตอนนั้นแตกต่างกับตอนนี้ราวฟ้ากับเหวก็ไม่เป็นการเปรียบเทียบที่เกินไป
ใครล้วนชอบฟังคำรื่นหู ต่อให้เป็นจี้หยวนในวันนี้ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็จั๊กจี้อยู่เหมือนกัน เขามองเยี่ยนเฟยแล้วยิ้มว่า
“จอมยุทธ์เยี่ยนรู้จักพูดนัก วันนี้ข้าคนแซ่จี้เลี้ยงสุราเอง!”
…
แม้จี้หยวนและเยี่ยนเฟยไม่ได้ตั้งใจเร่งฝีเท้า ทว่าระยะทางห้าลี้เสียเวลาไปไม่นานเท่าไหร่ เพียงครู่เดียวทั้งสองคนก็กลับไปถึงเมืองหนานเต้าแล้ว
หอแรกรุ่งเรืองเป็นร้านสุราที่นับได้ว่ามีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในอำเภอหนานเต้า จุดมุ่งหมายของจี้หยวนและเยี่ยนเฟยคือที่นี่
เมื่อมาถึงร้านสุรา ท้องฟ้ามืดแล้วอย่างชัดเจน เยี่ยนและจี้หยวนเดินมา ฝ่ายพนักงานร้านมองเห็นแต่ไกลพลันยิ้มและออกมาต้อนรับ
“โอ้ จอมยุทธ์เยี่ยนมาแล้วหรือ ไม่พบท่านมานานเลย! ท่านนี้คือ”
“เป็นสหายเก่าของข้าคนแซ่เยี่ยน ท่านจี้ ถึงหอแรกรุ่งเรืองจะหรูหราเทียบในเมืองใหญ่ไม่ได้ แต่ก็นับว่าใช้ได้ในอำเภอหนานเต้าแห่งนี้แล้ว อย่างน้อยในสุราก็ผสมน้ำน้อยอยู่”
เยี่ยนเฟยตอบคำถามของพนักงานจบแล้วก็แนะนำจี้หยวน พนักงานข้างๆ ฟังแล้วยิ้มแป้นไม่มีความรู้สึกกระอักกระอ่วนเลยสักนิด
“ไอ้หยาจอมยุทธ์เยี่ยน ดูท่านพูดเข้าสิ อะไรเรียกว่ามีน้ำน้อยกัน พวกข้าหอแรกรุ่งเรืองไม่เคยทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนั้น ไม่เคยผสมน้ำในสุรา เชิญเข้ามาเถอะ!”
พนักงานผายมือเชิญอยู่ที่หน้าประตู ต้อนรับคนทั้งสองเข้าไปอย่างกระตือรือร้น หลังจากถามว่าต้องการห้องส่วนตัวหรือที่นั่งปกติ ก็นำพวกเขาไปยังที่นั่งริมหน้าต่างบนชั้นสอง
นอกจากสุราท้องถิ่นไหหนึ่งแล้ว ยังสั่งอาหารมังสวิรัติสี่จานและเนื้อสัตว์อีกสี่จาน รวมถึงน้ำแกงชามหนึ่งด้วย ถือว่าเต็มโต๊ะเป็นอย่างยิ่ง
พนักงานจดรายการอาหารแล้วกุลีกุจอจากไป
ความจริงแล้วที่นั่งบนชั้นสองดูเหมือนไม่มีหน้าต่างและผนัง นอกจากตอนนั่งลงแล้วถึงมองเห็นรั้วไม้เตี้ยเท่าหน้าอก ก็มีเพียงเสาไม้และม่านหญ้าสานจำนวนหนึ่ง
แต่ที่จริงสี่มุมบนชั้นสองตรงข้ามกับแผ่นไม้ หากมีลมแรงฝนตก แผ่นไม้พวกนี้ล้วนนำมาตั้งได้โดยรอบ ทำเช่นนี้แล้วชั้นสองจะกลายเป็นสภาพแวดล้อมแบบปิด
การจัดวางแบบนี้มีให้เห็นที่ต้าเจินน้อยมาก อย่างน้อยจี้หยวนก็แทบไม่เคยเห็น แต่จำต้องพูดว่ามีเอกลักษณ์ยิ่งนัก
ตอนนี้พนักงานม้วนม่านข้างโต๊ะที่พวกจี้หยวนอยู่ขึ้นอย่างดี ทำให้มองเห็นข้างนอกแจ่มชัด ให้ความรู้สึกเหมือนจัดโต๊ะกินอาหารริมรั้ว ชมทิวทัศน์ได้เป็นอย่างดี
“ท่านจี้ ท่านมาที่อาณาจักรจู่เยวี่ยได้อย่างไร ที่นี่ไม่ใกล้กับรัฐจีเลยนะ”
ความประทับใจที่เยี่ยนเฟยมีต่อจี้หยวนยังคงหยุดอยู่เมื่อยี่สิบปีก่อน ในใจคิดว่าจี้หยวนอาจเป็นผู้สูงส่งมรรคอัศจรรย์คนหนึ่ง แต่ความเป็นจริงมีความสามารถอะไรไม่อาจพูดได้ชัดเจนจริงๆ
“ออกมาเดินเล่น เปิดประสบการณ์ในใต้หล้าเสียหน่อย ทำความรู้จักกับสหายใหม่จำนวนหนึ่งด้วย”
“เช่นนั้นท่านจี้ก็เดินมาไกลทีเดียว!”
“คงจะเป็นเช่นนั้น…”
จี้หยวนไม่ได้อยู่กับหัวข้อสนทนานี้นาน กลับมองเยี่ยนเฟย
“กลับเป็นจอมยุทธ์เยี่ยน ท่านทำให้ข้าคนแซ่จี้รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ตั้งแต่จากกันที่อำเภอหนิงอันในปีนั้น จอมยุทธ์ทั้งเก้าข้าจี้หยวนเคยพบอยู่สามคน จอมยุทธ์เยี่ยนท่านเป็นคนที่สาม”
“โอ้? สองคนก่อนหน้านั้นเป็นใครเล่า”
อาหารยังมาไม่ถึงโต๊ะ เยี่นเฟยวางถ้วยสองใบเรียบร้อย รินน้ำชาให้จี้หยวนและตนเองคนละถ้วน ต่อให้เป็นเขา แต่ได้ยินจี้หยวนพูดแล้วสนอกสนใจขึ้นมาเหมือนกัน
จี้หยวนดื่มน้ำให้ชุ่มคอก่อนค่อยกล่าวตอบ
“คนแรกคือจอมยุทธ์ตู้เหิง คนที่สองคือจอมยุทธ์ลู่เฉิงเฟิง ทั้งสองคนมีความลำบากและความเข้าใจของตนเอง อนาคตอาจเทียบได้กับคำว่าจอมยุทธ์ใหญ่ จริงสิ จอมยุทธ์เยี่ยนมาที่นี่ด้วยเหตุใด”
เยี่ยนเฟยยกถ้วนขึ้นดื่มน้ำชาฟังเงียบๆ จนกระทั่งจี้หยวนถามถึงวางถ้วยลงตอบ
“ฝึกกระบี่เท่านั้น”
เขาไม่พูดว่าตนเองมีฉายาในหมู่จอมยุทธ์ว่าอย่างไร เพียงบอกว่าฝึกกระบี่ จี้หยวนเห็นเขาไม่พูด เยี่ยนเฟยพูดไม่หมดเป็นแน่ ทว่าอย่างน้อยก็พูดเรื่องจริง
“จอมยุทธ์เยี่ยน ท่านจี้ อาหารของพวกท่านมาแล้ว นี่เป็นเนื้อม้าย่าง กินตอนเพิ่งออกจากเตารสชาติดีที่สุด”
พนักงานถือถาดเอาไว้ บนนั้นมีอาหารควันฉุยชามใหญ่ ยังมีสุราไหเล็กอีกไหหนึ่ง เมื่อวางอาหารและรินสุราเรียบร้อยจึงแนะนำเป็นพิเศษ
“นี่คือสุราเก่า จอมยุทธ์เยี่ยนท่านดูเถิด จุดปิดยังไม่เปิดออก ไม่มีทางผสมน้ำแน่นอน! พวกท่านค่อยๆ กินค่อยๆ ดื่ม ข้าจะไปยกอาหารจานอื่นมาให้พวกท่าน!”
ไม่ว่าอยู่ที่ใดม้าล้วนมีราคาแพง แม้จะยากจนก็ไม่มีทางฆ่ากินเรื่อยเปื่อย จี้หยวนมองเนื้อม้าส่งกลิ่นหอมหวน ไม่ใช่ว่าไม่สด ทว่ามีใครโชคร้ายแล้ว
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ไป เยี่ยนเฟยเปิดจุกไหสุราออก จากนั้นเทสุราให้จี้หยวนและตนเอง โดยใช้ถ้วยที่ดื่มน้ำชาหมดแล้วก่อนหน้านี้
“ท่านจี้ ท่านพบตู้เหิงและลู่เฉิงเฟิงแล้ว เช่นนั้นวิชายุทธ์ของข้าคนแซ่เยี่ยนในวันนี้ เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วอ่อนหรือแกร่งกว่า”
จี้หยวนไม่บ่ายเบี่ยงและไม่จำเป็นต้องบ่ายเบี่ยง ชิมรสชาติสุราก่อนกล่าวตอบ
“หากพูดถึงวิชายุทธ์ ลู่เฉิงเฟิงด้อยกว่าท่านมาก แต่หากเปรียบกับตู้เหิง ข้าคนแซ่จี้ไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างพวกท่านใครอ่อนหรือแกร่งกว่า”
คำตอบนี้ทำให้เยี่ยนเฟยแปลกใจอยู่บ้าง ปีนั้นตู้เหิงเสียแขนไปข้างหนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่ากลับแกร่งกว่าลู่เฉิงเฟิง
ไม่นานอาหารก็มาถึงเต็มโต๊ะ ทั้งสองคนกินไปพลาง ดื่มไปพลาง สนทนาโต้ตอบกันถึงหลายเรื่อง
ตอนนี้จี้หยวนรู้แล้วว่าแปดปีก่อนเยี่ยนเฟยออกจากต้าเจินไป จับพลัดจับผลูมาที่อาณาจักรจู่เยวี่ยแห่งนี้ อีกทั้งได้ฉายาที่นี่ว่า ‘มือกระบี่บิน’
ฝ่ายเยี่ยนเฟยเพิ่งรู้ว่าหลายปีนี้ต้าเจินเกิดเรื่องขึ้นมากมาย อย่างเช่นฮ่องเต้สวรรคต
“ที่แท้ฮ่องเต้หยวนเต๋อสวรรคตแล้วหรือ เช่นนั้นฮ่องเต้องค์ใหม่มีชื่อว่าอะไร”
อย่างไรเสียก็เป็นคนต้าเจิน ต่อให้เยี่ยนเฟยเย็นชาเพียงใด แต่ได้ยินว่าฮ่องเต้สวรรคตแล้วก็ยังคงประหลาดใจอยู่บ้าง
“นั่นข้าก็ไม่แน่ใจ ตอนข้าคนแซ่จี้ออกจากต้าเจิน จิ้นอ๋องผู้นั้นยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง การจัดงานพระศพก็ไม่เล็กเลย”
“สวรรคตไปแล้วจัดงานพระศพจะมีประโยชน์อันใด”
“ถูกต้อง จอมยุทธ์เยี่ยนพูดถูกต้องยิ่งนัก ฮ่องเต้ชราสวรรคตแล้วก็กลายเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ตอนกอดคอจิ้นอ๋องฝากฝังธุระหลังจากนั้น ก็ยังคงเผยความหวังต่อชีวิตและความกลัวต่อความตายด้วย”
เยี่ยนเฟยเคี้ยวเนื้อมาอีกชิ้นหนึ่ง ถามตามสัญชาตญาณ
“เรื่องนี้ท่านจี้รู้ชัดเจนหรือ”
“ใช่ ตอนนั้นข้าดูอยู่ข้างๆ”
จี้หยวนพูดออกไป ฝ่ายเยี่ยนเฟยชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยหลุดหัวเราะแล้วส่ายหน้า
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ระหว่างที่ทั้งสองคนดื่มสุรา มีเสียงกรีดร้องของสตรีดังมาแต่ไกล
“กรี๊ด…”
จี้หยวนฟังแล้วรู้สึกว่ามีความรู้สึกของการแกล้งทำ พลันหันศีรษะไปมองทางต้นกำเนิดเสียง เยี่ยนเฟยเอ่ยปากขึ้นว่า
“โรงเตี๊ยมแรกสมบูรณ์ ล่วงประเวณี”
“อ๋อ…”
จี้หยวนหมดคำพูดอยู่บ้าง ช่างเป็นสถานที่ชนบทเสียจริง
“กรี๊ด…!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง จี้หยวนมุ่นคิ้วลุกขึ้นยืนทันที
“ท่านจี้ ท่านไม่ต้องสนใจ เรื่องแบบนี้มีบ่อยนัก ทำให้คนที่มักมากในกามได้รับบทเรียนด้วย จะได้จำไปนานๆ”
“เสียงร้องครั้งนี้แปลก”
จี้หยวนมองเขา พูดจบแล้วก็กระโดดออกจากรั้วกั้น เท้าแตะหลังคาครั้งหนึ่ง ก่อนจะกระโจนตัวออกไปไกลอย่างแผ่วเบาราวกับนกพิราบ
“วิชาตัวเบาชั้นยอด!”
เยี่ยนเฟยมองเงาหลังจี้หยวนอย่างงุนงง ปากกล่าวชมเพราะความประหลาดใจแล้วค่อยลุกขึ้นยืน โยนเงินก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะแล้วรีบใช้วิชาตัวเบาตามจี้หยวนไป