เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 303 เมืองประหลาด
ตอนที่ 303 เมืองประหลาด
“ก่อนหน้านี้ท่านจี้ไม่เคยพูดถึงเรื่องค่าตอบแทน…”
เจ้าวัวเอ่ยถามอย่างอักอ่วน
“ไม่เคยพูดถึงจริงๆ แต่เจ้าเองไม่เคยถาม”
จี้หยวนยิ้มพลางกล่าวหยอกล้อ มองเจ้าวัวทำหน้าเหมือนท้องผูก
“ตะ แต่ข้าคนแซ่หนิวไม่มีสิ่งใดเป็นค่าตอบแทน… ข้ายอมให้ท่านโขกหัวสองสามทีดีหรือไม่”
จี้หยวนส่ายหัวเล็กน้อย ไม่หยอกล้อมันอีก
“นั่งลงเถอะ หากกำจัดวิชามารตรงต้นคอ เส้นผมนี้ฝังอยู่ตรงแกนจิตของเจ้า ยามขุดรากถอนโคนคงต้องใช้เวลาหน่อย อีกเดี๋ยวถ้ารู้สึกอะไรห้ามขยับ มิฉะนั้นทิศทางเพลิงสมาธิอาจคลาดเคลื่อน ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บได้”
เมื่อได้ยินจี้หยวนกล่าวเช่นนี้ หนิวป้าเทียนดีใจยกใหญ่ หลังจากตอบรับอย่างรวดเร็วมันนั่งขัดสมาธิหันหลังให้จี้หยวน ก้มศีรษะพร้อมเลิกปกเสื้อด้านหลังตนเล็กน้อย
หนิวป้าเทียนมองกองไฟตรงหน้า จินตนาการว่าเพลิงสมาธิของท่านจี้เป็นอย่างไร
“เตรียมตัว อย่าขยับส่งเดช เพลิงสมาธิไม่ใช่ของเล่น!”
คำพูดนี้ของจี้หยวนเคร่งขรึมขึ้นมาก ทำให้เจ้าวัวรีบสำรวมจิต เดิมเยี่ยนเฟยที่อยู่ตรงข้ามกอดกระบี่พิงต้นไม้พักผ่อน ตอนนี้กลับนั่งตัวตรงสังเกตการณ์มาทางนี้
จี้หยวนมองผิวหนังหยาบกร้านและเส้นผมสีน้ำตาลตรงต้นคอซึ่งไม่เข้ากับเจ้าวัว ก่อนลืมตาทิพย์ช้าๆ
เทียบกับความเลือนรางยามมองของทั่วไป เมื่อเกี่ยวข้องกับกลิ่นอายพิเศษและมรรคแสงเทพ สายตาของจี้หยวนจะชัดเจนผิดปกติ
ปราณปีศาจของเจ้าวัวและปราณปีศาจบนเส้นผมนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยึดตามความขัดแย้งระหว่างกลิ่นอายนี้ ตาทิพย์ของจี้หยวนเหมือนทอดมองถึงส่วนลึกแกนจิตของเจ้าวัว เห็นต้นตอกลิ่นอายชั่วร้ายนั่น กำลังดูดซับแก่นพลังและวิชาของเจ้าวัวไม่หยุด ทั้งพยายามแผ่ขยายออกไปต่อเนื่อง มีแค่แสงธรรมคล้ายเส้นเอ็นเนื้อเยื่อชั้นหนึ่งขวางไว้
“รับมือยากจริงๆ”
หลังจากจี้หยวนกล่าวเช่นนี้ เขาโคจรพลังเปิดจุดสะพานทองในกาย ส่งเพลิงสมาธิสายหนึ่งออกมา อ้าปากพ่นปราณสีเทาแดงสายเล็กออกมาใกล้ต้นคอของหนิวป้าเทียนอย่างช้าๆ
เมื่อปราณเทาแดงเข้ามาใกล้ ปีศาจวัวกำกางเกงของตนทันที ควบคุมแรงไม่อยู่จนกางเกงขาด บีบขาของตนแน่น
เห็นชัดว่าด้านหลังน่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิอะไร แต่ด้านสัญชาตญาณกลับรู้สึกเหมือนทะเลเพลิงล้นฟ้าม้วนตลบเข้ามา ทั้งรู้สึกว่าจิตใจปวดแสบเหมือนเข็มยาวนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่
ในใจเกิดสัญญาณเตือนอย่างคลุ้มคลั่ง
‘อันตราย! อันตรายนัก! อันตรายถึงชีวิต! จำเป็นต้องหลบ!’
ต่อให้เป็นเช่นนั้นหนิวป้าเทียนยังข่มความรู้สึกอยากหลบหนีโดยไม่ขยับ กัดฟันจนเกิดเสียงดังกรอดๆ เหงื่อโชกทั้งตัว เปรียบเทียบกองไฟตรงหน้ากับทะเลเพลิงล้นฟ้าตามจินตนาการด้านหลังแล้วเล็กจ้อยจริงๆ
“ฮู่…”
ช่วงเวลาตึงเครียดเช่นนี้เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นหลายเท่า นัยน์ตาซึ่งเผชิญหน้ากองไฟของหนิวป้าเทียนหดรัดรุนแรง ทะเลเพลิงล้นฟ้าอยู่ใกล้เพียงคืบ
ปราณสีเทาแดงสายหนึ่งลอยมา ภายใต้การควบคุมอย่างชำนาญของจี้หยวน มันลอยมาถึงต้นคอเปลือยเปล่าของหนิวป้าเทียน สัมผัสเส้นผมสีน้ำตาลกลุ่มนั้น
ทว่าครั้งนี้ปราณสีเทาแดงไม่ได้เผาเส้นผมโดยตรง แต่เริ่มเข้าสู่ผิวหนังของเจ้าวัวโดยไล่จากปลายผม จากนั้นค่อยลามตามเส้นผมลงไป ตอนนี้เพลิงสมาธิละเอียดเหมือนใยแมงมุม
ขั้นตอนนี้ถือเป็นการทดสอบว่าสมาธิและจิตใจของจี้หยวนแข็งแกร่งหรือไม่ ทั้งเป็นการทดสอบการควบคุมอย่างมาก แน่นอนว่าเป็นการทดสอบความอดทนของหนิวป้าเทียนด้วย
“ทนไว้อย่าขยับ! เพลิงสมาธิเข้าสู่ร่างกายแล้ว ถ้าอยากขุดรากถอนโคนต้องรอมันไปถึงต้นตอ หากแผดเผาลงไปต่อ จิตวิญญาณเจ้าจะบาดเจ็บ สำรวมจิตเข้าฌาน อย่านึกถึงเพลิงด้านหลัง มิฉะนั้นไม่ช้าก็เร็วสภาวะจิตเจ้าจะแบกรับไม่อยู่!”
หลังจากจี้หยวนกล่าวเตือนอีกครั้ง กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ เขาไม่วอกแวก พยายามควบคุมเพลิงสมาธิ ส่วนหนิวป้าเทียนฝืนบังคับตัวเองเข้าฌานเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันทันที
กระดาษเหลืองยังไม่ตกถึงพื้น แสงสีเหลืองเลือนรางเหมือนเรืองแสงแผ่ออกมา จากนั้นกลายเป็นจอมพลังเกราะทองร่างกำยำตนหนึ่งทันที
“นายท่าน!”
แต่ตอนนี้จี้หยวนไม่ว่างมาสนใจมัน ดังนั้นหลังจากจอมพลังเกราะทองคารวะเสร็จ สายตาหยุดมองเยี่ยนเฟยครู่หนึ่ง ก่อนยืนนิ่งอยู่ข้างกองไฟไม่ขยับ
เยี่ยนเฟยจ้องมองอยู่ด้านข้างอย่างตื่นเต้น แม้ว่าเขามองอะไรไม่ออกโดยสิ้นเชิง แต่ก็รู้ว่าตอนนี้น่าจะสำคัญมาก หลายวันนี้เขาได้ยินหนิวป้าเทียนบ่นเรื่องวิชามารตรงต้นคอไม่ใช่แค่ครั้งเดียว บอกว่าเป็นวิชาชั่วร้ายที่ทำลายรากฐาน
แต่มีจอมพลังเกราะทองตนนี้อยู่ แน่นอนว่าเรื่องคุ้มกันคงไม่ตกถึงมือเขา
ความจดจ่อของคนทั่วไปสืบเนื่องไม่นานนัก ต่อให้เยี่ยนเฟยเป็นจอมยุทธ์ฝีมือไม่ธรรมดาก็เช่นกัน หลังจากจ้องกองไฟตรงหน้าราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอยู่บ้าง
เขาขยี้ตามองจอมพลังเกราะทอง เทพกำยำผู้นี้แน่นิ่งไม่ขยับ แม้แต่ตายังไม่กะพริบ
“ฮู่… รบกวนจอมพลังดูแลท่านจี้กับพี่หนิว เดี๋ยวข้ากลับมา!”
ยามดื่มจนเมาเรียก ‘พี่หนิว’ (หนิวเกอ) แต่คำเรียกนี้สนิทสนมเกินไป เยี่ยนเฟยไม่คุ้นเคย ช่วงนี้จึงเรียกว่า ‘พี่หนิว’ (หนิวซยง)
เยี่ยนเฟยโยนฟืนท่อนใหญ่เข้ากองไฟอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยยันเข่าลุกขึ้นมา เตรียมตัวจากไปปลดทุกข์
ริมป่าลมกลางคืนพัดโชย ต่อให้เป็นเดือนสี่แต่ยังหนาวเย็น เยี่ยนเฟยเดินออกมาสองสามก้าว หันไปมองตรงกองไฟ
‘เดินห่างไปหน่อยคงสะดวกกว่า’
เยี่ยนเฟยนึกถึงตรงนี้แล้วสูดหายใจ โคจรท่าร่างก้าวย่างดุจสายลม ไม่นานก็ไปถึงส่วนลึกของป่า
ตอนนี้เป็นช่วงสรรพสิ่งฟื้นคืน กลางป่ายามดึกไม่เงียบสงัดอีก เสียงกบแมลงนานัปการร้องดังต่อเนื่อง บริเวณใกล้เคียงน่าจะมีแหล่งน้ำ
เยี่ยนเฟยรู้ว่าแทบไม่เห็นแสงจากกองไฟแล้ว เขาหยุดฝีเท้าปลดกางเกง ไม่ว่าอย่างไรระยะห่างนี้คงไม่ส่งผลถึงท่านจี้
สายน้ำหลั่งลงบนกิ่งใบร่วงหล่นตรงพื้น สีหน้าเยี่ยนเฟยเผยความผ่อนคลาย แต่ระหว่างนี้เขาลืมตามองไปข้างหน้า พบว่าความหน้าทึบของป่าถูกเขาตัดผ่านไป ปัจจุบันเมื่อมองจากทิศทางนี้ ถึงกับเห็นสภาพนอกป่าอีกฝั่ง
“มีไฟหรือ”
ห่างออกไปสายตาถึงขั้นมองเห็นแสงไฟส่วนหนึ่ง
บริเวณใกล้เคียงน่าจะไม่มีเมืองหรือหมู่บ้าน เช่นนั้นแสงไฟอาจมาจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง
เยี่ยนเฟยปลดทุกข์เสร็จแล้วคาดเข็มขัด มองไปทางกองไฟที่จี้หยวนกับหนิวป้าเทียนอยู่ จากนั้นค่อยมองจุดที่ห่างไกล เขาโคจรท่าร่างมุ่งหน้าไปเล็กน้อย ใช้เวลาครู่หนึ่งก็มาถึงเขตแดนของป่าอีกฝั่ง
จากนั้นเยี่ยนเฟยหาต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง พุ่งตัวขึ้นไปตามจุดเชื่อมต่อกิ่งไม้ กระทั่งกระโจนตัวมาถึงกิ่งก้านบนยอดต้นไม้ อาศัยสิ่งนี้ทอดมองไปยังจุดที่ห่างไกล
‘มีแสงสว่างจริงๆ ทั้งยังไม่น้อยด้วย…’
เยี่ยนเฟยอยู่บนกิ่งไม้ สิ่งที่อยู่ห่างไกลไม่ใช่แค่แสงไฟแล้ว แม้ว่าแสงสว่างนั้นอยู่ห่างออกไป แต่กลับไม่ใช่แค่จุดเดียว สถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจอธิบายว่าเป็นแค่กองไฟ แต่เหมือนทุ่งรกร้างเกิดไฟไหม้อยู่บ้าง
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า จันทร์กระจ่างดาราจางแม้แต่เมฆยังไม่มี ทั้งไร้หมอกควันลอยล่องเช่นกัน
‘ทิศทางลมพัดมาทางนี้ หากเกิดไฟป่าต้องมีหมอกควัน หรือว่าเป็น… แสงโคมจากเมือง? แต่รัศมีร้อยลี้รอบสถานที่นี้ไม่มีแม้แต่หมู่บ้านสักแห่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเมือง’
เยี่ยนเฟยใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนส่ายหัวเล็กน้อย ในใจกล่าวว่าคิดน้อยยิ่งทุกข์น้อย เขาเตรียมตัวกระโดดลงจากกิ่งไม้ แต่ก่อนกระโดดลงมาพลันเห็นว่าบนทุ่งรกร้างที่ห่างไกลมีรถม้าคันหนึ่งสัญจรอยู่ เขามองอย่างละเอียด เป็นรถม้าจริงๆ
รถม้าคันนี้อยู่ห่างจากป่าที่เยี่ยนเฟยอยู่อย่างน้อยเกือบลี้ กำลังขับจากตะวันออกไปทางตะวันตก น่าจะไปตามทิศทางแสงไฟซึ่งเยี่ยนเฟยเห็น เขาขมวดคิ้วมองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายค่อยกระโดดลงจากกิ่งไม้ก่อนหมุนตัวกลับไป
ข้างกองไฟริมป่าอีกด้านหนึ่ง ตอนนี้จี้หยวนคุมเพลิงสัมผัสแกนเส้นผมพอดี เพลิงสมาธิเหมือนมังกรตัวเล็กหอบวายุ ม้วนตัวจากด้านนอกสู่ด้านใน จากนั้นจี้หยวนค่อยขับเคลื่อนความคิด
ยามนี้เส้นผมสีน้ำตาลและปราณปีศาจทั้งหมดถูกแผดเผา
“เฮือก…”
หนิวป้าเทียนเจ็บปวดจนส่งเสียงร้องเสี้ยวหนึ่ง หรือกล่าวว่าถูกทำให้ตกใจมากกว่า
“เอาล่ะ จัดการแล้ว ภายใต้สถานการณ์ซึ่งไม่มีคำอธิบายวิชานี้โดยละเอียด ย่อมได้แต่เผาทำลายมันโดยคร่าวเช่นนี้”
“ฮู่… ฮู่… เมื่อครู่ทำเอาข้าคนแซ่หนิวขวัญหนีดีฝ่อ ถือว่าคลี่คลายแล้ว”
หนิวป้าเทียนเช็ดเหงื่อบนหน้า จากนั้นค่อยยื่นมือแตะต้นคอ นอกจากผิวไหม้เกรียมขนาดเท่าเล็บมือแล้วก็ไม่มีอาการบาดเจ็บอื่น สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือความผ่อนคลายด้านจิตวิญญาณ ไม่มีความรู้สึกคุกคามแผ่ออกมาอีก
“หึๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ… ไม่มีจริงๆ ดียิ่งนัก! ฮ่าๆๆๆๆ… รอข้าฟื้นตัวสมบูรณ์ ต่อให้เจอผู้หญิงหน้าเหม็นนั่นก็ไม่กลัวแล้ว!”
“ด้วยนิสัยของเจ้า ไม่แน่ว่าอาจติดกับอีก”
จี้หยวนยิ้มกล่าวประโยคหนึ่ง
“แหะๆ เป็นไปได้อย่างไร ประสบการณ์เพิ่มความรู้ ภายหน้าข้าคนแซ่หนิวจะเฉลียวใจร้อยเท่า! จริงสิ น้องเยี่ยนเล่า”
เจ้าวัวรับประกันเสร็จ มองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นเยี่ยนเฟย
“น่าจะออกไปปลดทุกข์ รออีกเดี๋ยวคงกลับมา”
เป็นอย่างที่จี้หยวนกล่าวจริงดังคาด ผ่านไปไม่นานเยี่ยนเฟยรีบกลับมาข้างกองไฟ เห็นจี้หยวนอ่านตำราและหนิวป้าเทียนงีบหลับ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเยี่ยนเฟย จี้หยวนไม่เงยหน้า หนิวป้าเทียนกลับพุ่งเข้ามาทันที ตอนนี้มันกำลังต้องการหาคนมาร่วมแบ่งปันความตื่นเต้น
“โอ้ น้องเยี่ยนกลับมาแล้ว แหะๆ พี่หนิวของเจ้าดีขึ้นแล้ว เมื่อวิชามารนี้ถูกกำจัดยามข้าฟื้นตัวจึงไม่มีอุปสรรค ผู้หญิงหน้าเหม็นนั่นข่มข้าไม่ได้แล้ว เจ้าดูสิๆ ไม่มีเส้นผมแล้ว!”
เจ้าวัวหันหลังให้เยี่ยนเฟยมองต้นคอตน เยี่ยนเฟยแค่กล่าวยินดี จากนั้นค่อยเล่าเรื่องที่ตนเห็นออกมา
จี้หยวนฟังแล้ววางตำรา แม้แต่เจ้าวัวยังเงียบลง
“เจ้าบอกว่าเป็นไปได้ที่จะมีเมืองหรือ”
“ไม่ผิด ข้าเห็นรถม้ามุ่งไปทางนั้นกับตา ทั้งแสงไฟตรงนั้นยังเหมือนโคมประดับ ท่านจี้ พวกเราจะไปดูหรือไม่”
หนิวป้าเทียนมองจี้หยวนพลางกล่าว
“ท่านจี้ สถานการณ์นี้ผิดปกติอยู่บ้าง ที่นี่ต้องไม่มีเมืองจึงจะถูก ถึงอย่างไรเมืองก็เป็นแหล่งที่คนรวมตัว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็นกลิ่นอาย”
จี้หยวนเก็บตำราในมือ ลุกขึ้นมองไปทางที่เยี่ยนเฟยกล่าว ไม่มีสัญญาณว่าเป็นแหล่งรวมผู้คนจริงๆ
“ลองไปดูก็รู้ พวกเจ้าสองคนตามข้ามา”
ขณะกล่าวจี้หยวนเคลื่อนไหวแล้ว ตัวเหมือนเดินเล่น ท่าทางเหมือนย่นย่อระยะทาง ไม่นานก็จากไปไกล
“น้องเยี่ยน พวกเราไปกันเถอะ!”
เจ้าวัวคว้าแขนข้างหนึ่งของเยี่ยนเฟย ใต้ฝ่าเท้าแผ่แสงสีเหลืองอ่อน รีบกระโดดตามไป
เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ทั้งสามคนมาถึงเนินดินแห่งหนึ่งแล้ว พวกเขาทอดมองไปทางตะวันตกที่ห่างไกล
“มีเมืองจริงด้วย ใครรวมตัวอยู่ที่นี่กัน เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เยี่ยนเฟยเอ่ยถามอย่างยากจะเชื่อ แต่หนิวป้าเทียนกลับแค่นหัวเราะคราหนึ่ง
“หึๆ น้องเยี่ยนกล่าวผิดแล้ว เมืองคือของจริง แต่กลับไม่ใช่คน!”