เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 314 ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นคงไม่พบหน้า
ตอนที่ 314 ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นคงไม่พบหน้า
กลางดึกตรอกสถานบันเทิงมีชื่อเสียงของเมืองลู่ผิงแสงโคมยังสว่างไสว ภายในอาคารริมถนนมีเสียงหัวร่อต่อกระซิกเซ็งแซ่เสนาะหู
“ลูกค้าร้ายกาจนัก!”
“พี่หนิวท่านอาจหาญทั้งเอาอกเอาใจ ยิ่งมองยิ่งรูปงามสูงเด่น…”
“คืนนี้ท่านหนิวไม่ค้างอยู่ที่นี่เล่า…”
“ใช่แล้ว ท่านหนิว ท่านทำใจทิ้งพวกเราลงจริงหรือ!”
หญิงงามหยาดเยิ้มสี่ห้าคนล้อมรอบตัวหนิวป้าเทียน ฝ่ายหลังโอบซ้ายกอดขวาหน้าแดงก่ำเดินออกนอกหอโดยมีหญิงสาวเหล่านี้คอยส่ง
“โธ่เอ๋ย ไม่ได้ๆ เจ้าวัวอย่างข้า… อะแฮ่ม พรุ่งนี้ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องไปเยี่ยมเยียนตระกูลเว่ยที่มีชื่อเสียงนอกเมือง หากค้างแรมที่นี่ พรุ่งนี้เช้าพวกบริวารไม่เจอข้าคงร้อนรน!”
เจ้าวัวหัวเราะพลางตอบคำถามของหญิงสาวพวกนี้ ปฏิเสธการเหนี่ยวรั้งหลายครั้งอย่างยากลำบาก
“เฮ้อ ท่านหนิวงานยุ่งนัก!”
“พี่หนิวอย่าลืมพวกเรานะ!”
“ลูกค้าเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ…”
“พี่หนิวคราวหน้ามาอีกนะเจ้าคะ…”
“ฮ่าๆๆๆ… แน่นอนๆ คราวหน้าย่อมมาอีก!”
เจ้าวัวแย้มยิ้มทั่วใบหน้า คลายอ้อมกอดเดินออกจากหอไปอย่างอาลัยอาวรณ์ เมื่อถึงข้างนอกเขาค่อยหันกลับมามอง แผ่นป้ายหอนางโลมที่เพิ่งออกมาแขวนตัวสูง เหล่าหญิงสาวด้านบนล้วนเจริญตา
“หอหยกอ่อน ดียิ่งนัก อยากค้างแรมจริงๆ น่าเสียดาย…”
หนิวป้าเทียนยื่นมือหยิบถุงเงินแห้งเหี่ยวจากอกออกมาเขย่า ภายในเหลือแค่เหรียญทองแดงส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งแผ่วเบา
“เฮ้อ คราวหน้าไม่เรียกตัวเต็งมามากขนาดนี้แล้ว… หญิงสาวทั่วไปในนั้นก็ไม่เลวนัก จิ๊ๆๆ…”
หนิวป้าเทียนจุ๊ปากพลางออกจากตรอกเวินโหรวแห่งนี้อย่างยินดี หันกลับไปทุกสามก้าว เดินบนถนนกลางรัตติกาล
สำหรับคนธรรมดาการมองเห็นเบื้องหน้าลดลงทีละน้อย แต่สำหรับหนิวป้าเทียนกลับชัดเจนเหมือนกลางวัน
“หยกอ่อนกรุ่นกลิ่น หอกรุ่นกลิ่น หอหยกอ่อน ตั้งชื่อคล้องจองนัก”
เสียงราบเรียบนี้ดังขึ้นยามผ่านปากตรอกกะทันหัน ทำให้หนิวป้าเทียนตกใจสะดุ้งโหยง
“ไอ้หยา ท่านจี้ ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่เล่า ท่านทำให้ข้าตกใจหมด!”
หนิวป้าเทียนตบหน้าอกพลางมองปากตรอกด้านข้าง จี้หยวนในชุดขาวกำลังยืนมองเขาอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีเทาเหมือนไม่เคยมีคลื่นความรู้สึก
เมื่อเห็นจี้หยวนแค่มองตนไม่พูดจา หนิวป้าเทียนยิ้มอักอ่วน
“ข้าคนแซ่หนิวชอบเดินเล่นตอนกลางคืน คะ แค่ออกมาเดินเท่านั้น ทะ ท่านคงไม่ได้มาจับข้ากระมัง”
จี้หยวนมองถุงเงินซึ่งเจ้าวัวแอบซ่อน ทั้งมองรอยจุมพิตบนหน้าเขาก่อนส่ายหัวกล่าว
“ไม่ได้มาจับเจ้า เจ้าชอบเที่ยวนารีไม่ใช่ธุระของข้าคนแซ่จี้ ตามข้าไปสถานที่แห่งหนึ่งเถอะ”
“เกิดเรื่องอะไรหรือ”
เจ้าวัวจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง
ขณะกล่าวจี้หยวนมองไปทางใต้ของเมือง
“เมืองใหญ่หายากแห่งหนึ่ง กลางดึกผ่านพ้นกลับไม่มีเทพลาดตระเวน เจ้าไม่รู้สึกแปลกบ้างหรือ”
“หา?”
หนิวป้าเทียนอึ้งงันครู่หนึ่ง เขามีหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้ อีกอย่างสำหรับเขาการไม่มีเทพผีกลับกลายเป็นเรื่องดี บางครั้งจะได้ไม่เจอปัญหา ทั้งเมื่อครู่ยังอยู่ในหอนางโลมตลอด ไม่สนใจสถานการณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิง
แต่ได้ยินท่านจี้กล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าหนิวป้าเทียนย่อมเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ใช่แล้ว เมืองลู่ผิงเองไม่ใช่เล็ก…”
“ไปเถอะ ในเมื่อเจอเจ้าแล้ว หากเจอเรื่องตึงมืออะไร ไม่แน่ว่าอาจให้เจ้าเป็นคนลงมือแทนข้า”
จี้หยวนกล่าวอย่างจริงจังมาก ทำให้หนิวป้าเทียนฟังแล้วดีใจ
“ปล่อยให้เขานอนเถอะ”
“อ้อ”
เจ้าวัวตอบรับคราหนึ่ง เมื่อเห็นจี้หยวนก้าวออกจากตรอกไปข้างหน้า เขาค่อยรีบตามไปเช่นกัน
…
พื้นที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่งตรงทางใต้ของเมือง ตอนกลางวันที่นี่การจราจรคับคั่งเสียงคนเซ็งแซ่ กลางคืนกลับเงียบสงบยิ่ง ศูนย์กลางคือศาลหลักเมืองแห่งหนึ่ง ตอนนี้แสงตะเกียงภายในศาลยังส่องสว่าง แต่คนเฝ้าศาลพักผ่อนกันนานแล้ว
จี้หยวนกับหนิวป้าเทียนเดินจากตรอกสถานบันเทิงมาจนถึงที่นี่ พวกเขายืนอยู่ตรงลานหน้าศาลพลางมองมาด้านใน กลิ่นอายมรรคเทพราบเรียบ แรงปรารถนาแผ่ซ่านไม่ควบรวม
จี้หยวนมองผ่านตาทิพย์ ในสายตาบนท้องฟ้าเหนือศาลเจ้าตรงหน้ามีหมอกขาวเลือนรางพวยพุ่งเป็นระลอก
“เข้าไปดูกัน”
ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว กระโดดเข้าศาลมาอย่างแผ่วเบา จากนั้นค่อยเข้าไปด้านในเหมือนสายลมเย็น เดินผ่านเรือนข้างหลายแห่งจนมาถึงเรือนหลัก
แอ๊ด…
เมื่อเปิดประตูใหญ่ แสงตะเกียงภายในศาลสาดส่องโถงหลัก ท่ามกลางแสงตะเกียงมืดสลัวนี้ รูปปั้นเทพหลักเมืองยังคงน่าเกรงขาม แต่ในสายตาจี้หยวนกลับไม่มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย
“หึๆ น่าสนใจ ข้าคนแซ่หนิวเป็นปีศาจ แต่เข้าโถงหลักของศาลหลักเมืองได้ น่าสนใจ!”
หนิวป้าเทียนหัวเราะอยู่ด้านข้าง แต่สีหน้าจี้หยวนกลับหม่นแสงอยู่บ้าง
“เพลิงศาลเทพดับมอด ประตูนรกศาลมืดซ่อนเร้น อย่างน้อยศาลแห่งนี้คงว่างมาหลายเดือนแล้ว แน่นอนว่าไม่มีเทพผีอย่างเทพหลักเมืองออกมาเอาความเจ้า คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เมืองลู่ผิงยังไม่มีเทพผีปกป้อง…”
นี่เป็นเรื่องเหนือการคาดเดาของจี้หยวนจริงๆ ด้วยขนาดเมืองลู่ผิง หากเทพหลักเมืองยังอยู่ มรรควิถีน่าจะไม่อ่อนแอ
หนิวป้าเทียนมองปัญหาของศาลเจ้าออกเช่นกัน แค่รอคำพูดของจี้หยวนมาตัดสินเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นเทพหลักเมืองที่นี่สิ้นกายเทพแล้วหรือ”
“สิ้นกายเทพก็ดี ตัดสัมพันธ์กับมรรคเทพเองก็ช่าง เมื่อไม่มีเทพหลักเมือง รากฐานของเทพผีที่เหลือย่อมเสียหายหนัก น่าจะหลบเข้าศาลมืดปิดประตูนรก รอเทพหลักเมืองหวนคืน”
“หวนคืน?”
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย
“เรื่องมรรคเทพอัศจรรย์นัก สรรพสิ่งกราบไหว้เทพผีย่อมไม่ตาย ต่อให้เทพหลักเมืองประจำเมืองลู่ผิงแห่งนี้สิ้นกายเทพ แค่ปวงชนกราบไหว้เขาตลอด สิบกว่าปี หลายสิบปี เทพองค์นี้จะถูกดึงวิญญาณกลับจากฟ้าดิน ครองตำแหน่งเทพอีกครั้ง”
แม้ว่าหนิวป้าเทียนเป็นปีศาจซึ่งมรรควิถีไม่ตื้นเขิน แต่เพิ่งเคยฟังเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ สำหรับเขาเรื่องนี้ถือเป็นความลับอย่างหนึ่ง
“ถ้าเช่นนั้นมิใช่ว่าเทพผีไม่มีทางตายหรอกหรือ”
“หึๆ การฟื้นคืนชีพครั้งหนึ่งคือการเปิดฉากใหม่ครั้งหนึ่ง จำได้แค่เรื่องตอนมีชีวิตของพวกผู้ศรัทธากับเจตจำนงศาลเจ้า จำเรื่องตอนเป็นเทพผีครั้งก่อนไม่ได้ มรรควิถี พลัง ร่างทองล้วนเริ่มต้นใหม่ ไม่มีทางตายจริงหรือ หากศาลหลักเมืองถล่ม ฮ่องเต้สั่งปิด ชาวบ้านตั้งผู้ทรงธรรมเป็นเทพหลักเมืององค์ใหม่ หลังจากเปลี่ยนคนกราบไหว้ เรื่องฟื้นคืนชีพย่อมไม่มีแล้ว”
จี้หยวนเห็นหนิวป้าเทียนทำท่าครุ่นคิด เขาทอดถอนใจกล่าวประโยคหนึ่ง
“พึ่งพามรรคมนุษย์ สูญเสียเพราะมรรคมนุษย์ ไม่อย่างนั้นเหตุใดเทพหลักเมืองถึงกลัวโลกมนุษย์ปั่นป่วนเช่นนี้เล่า ด้วยมีคุณธรรมคือข้อหนึ่ง ห่วงความเป็นอยู่ของตนคือข้อสอง”
แต่เห็นชัดว่าหนิวป้าเทียนไม่ได้ทอดถอนใจ หากแต่กำลังคิดเรื่องอื่น
“ท่านจี้ ถ้าหากไม่มีเทพหลักเมืองทั้งศาลมืดซ่อนเร้น เมื่อคนธรรมดาตายไม่กลายเป็นผีเร่ร่อนหมดหรือ”
หนิวป้าเทียนนึกถึงฉากนี้เล็กน้อย ในเมืองคนมากขนาดนี้ เกิดแก่เจ็บตายล้วนกลายเป็นผี ไม่เท่ากับว่าคล้ายคลึงเมืองผีไร้ขอบเขตหรอกหรือ
จี้หยวนหันหลังจากไป หนิวป้าเทียนรีบติดตาม แต่ยังไม่ลืมปิดประตูใหญ่ของโถงหลักเมือง
“ไร้เทพย่อมมีวิธีการตายเมื่อไร้เทพ มีครอบครัวกราบไหว้ไม่ถือเป็นผีเร่ร่อน ยามเคลื่อนศพจะตามธงเรียกวิญญาณของญาติพี่น้องไปสุสานเรือนหยิน ทั้งมีเจ้าที่ดูแลอยู่บ้าง ครอบครัวยังมีป้ายวิญญาณเชื่อมต่อ แค่ยากติดต่อกับศาลมืด”
ขณะกล่าวทั้งสองคนออกจากศาลหลักเมืองแล้ว แต่เห็นชัดว่าจี้หยวนไม่มีความคิดกลับโรงเตี๊ยม แต่พาหนิวป้าเทียนเดินรอบเมืองอยู่อย่างนั้น
เดินจากตรอกถนนทางใต้ของเมืองจนถึงทางเหนือของเมือง ดูเหมือนไร้จุดหมาย
กลางดึกเงียบสงัดนี้ สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนคือเสียงเกราะกับเสียงฆ้องของคนบอกยาม ปากถนนท้ายซอยไก่ขันสุนัขหอน ทั้งเจอพวกนักย่องเบาท่องตระเวน
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามหนิวป้าเทียนทนไม่ไหวอยู่บ้าง
“ท่านจี้ พวกเรากำลังทำอะไรหรือ”
จี้หยวนซอยเท้าไม่หยุด มองไปข้างหน้าไม่เหลือบมอง
“ข้าคนแซ่จี้ทำอะไรได้ไม่มาก ถือว่าลาดตระเวนตามตรอกถนนแทนเทพราตรีรอบหนึ่ง ช่วยดูแลเมืองลู่ผิงแล้วกัน…”
หนิวป้าเทียนเกาหัวแกรกๆ รู้สึกว่าท่านจี้หาเรื่องอยู่บ้าง
เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงถนนซึ่งมีบ่อนพนันหลายแห่งสายหนึ่ง ฝีเท้าของจี้หยวนกับหนิวป้าเทียนต่างหยุดชะงักลง ปราณปีศาจเลือนรางอบอวลอยู่ภายใน
“มีจริงด้วย? ท่านจี้ ข้าคนแซ่หนิวจัดการเอง”
“ไม่รีบร้อน”
จี้หยวนยกมือห้ามคนลงมือแทนที่คิดพุ่งเข้าไปทันที ทั้งสองคนรออยู่บนถนนสักพักก็เห็นรถม้าคันหนึ่งขับออกมา ปราณปีศาจครองอาณาเขตอยู่บนรถม้า
ภายในหูจี้หยวนยังได้ยินเสียงร่ำไห้ดังมาเป็นระลอก
บนรถม้าบ่าวเหี้ยมโหดสองคนกำลังเฝ้าเด็กสามสี่คนกับหญิงแต่งงานแล้วสองคนที่อยู่ในรถ พวกเขาต่างหวาดกลัวน้ำตานองหน้า
“ร้องอะไรนักหนา ผู้ชายตระกูลเจ้านำพวกเจ้ามาขัดดอกแล้ว!”
“ร้องห่มร้องไห้กันเข้าไป ร้องอีกสิ! พวกเจ้าระวังถูกสับไปเลี้ยงหมา!”
บ่าวเหี้ยมคนหนึ่งในนั้นเหวี่ยงแส้สั่นในมือ ด่าเสร็จแล้วพูดประจบคนบนรถอีกมุมหนึ่ง
“อะแฮ่ม นายท่านหก ขอท่านโปรดอภัย คนพวกนี้ท่านเห็นแล้วพอใจหรือไม่”
“หึๆๆๆ… พอใจ แน่นอนว่าพอใจ!”
ขณะกล่าวนายท่านหกคนนี้ยังเลียริมฝีปาก แววตานั้นทำให้เด็กสองสามคนหยุดร้องไห้
…
บนถนนนอกบ่อนพนัน จี้หยวนลืมตาเล็กน้อย หูได้ยินเสียงภายในรถม้า
“หึ ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นคงไม่พบหน้า! จำปีศาจที่คิดจะเชิญเกาเทียนหมิงกินทารกชายหญิงในเมืองไร้ขอบเขตได้หรือไม่ เขาอยู่บนรถ พวกเราตาม!”
หนิวป้าเทียนพ่นปราณขาวสายหนึ่งออกจากรูจมูก เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา
“มอ…”