เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 337 กลับบ้านเถอะ
ตอนที่ 337 กลับบ้านเถอะ
อิงรั่วหลีเคยได้ยินเรื่องพรรค์นี้มาก่อนเช่นกัน เหตุใดจี้หยวนถึงถอนใจนางย่อมนึกออก
“ในเมื่อรู้จักเกาะหมอกเซียน เห็นทีไม่ใช่ว่าตามหาบางสิ่งอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายแล้ว”
จี้หยวนเห็นด้วยครึ่งหนึ่งกับคำพูดนี้ของธิดามังกร จากนั้นเขาเอ่ยปากบ้าง
“โหรของราชวงศ์ต้าซิ่วต้องได้รับความเชื่อถือมากพอ ถึงทำให้อาณาจักรระดมกองเรือขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ได้ แต่การตามหาครั้งนี้จะพบสำนักเกาะหมอกเซียนหรือไม่ พบแล้วอาจร้องขอยาอายุวัฒนะใดไม่ได้เลยก็เป็นได้”
อิงรั่วหลียิ้ม
“ท่านอาจี้ เช่นนั้นท่านรู้อะไรหรือไม่”
“เอ๋? ไยเจ้าถามเช่นนี้”
จี้หยวนถามเพราะรู้สึกแปลกใจ ทว่าเห็นธิดามังกรมองผู้บัญชาการที่หัวเรือใหญ่พลางกล่าว
“ชื่อเกาะหมอกเซียนนี้ แม้ข้าหลบอยู่ในแม่น้ำเทียมฟ้าเสมอก็ยังเคยได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ท่านพี่เคยมีสหายนักดื่มถูกผู้ฝึกเซียนจากเกาะหมอกเซียนสะกดไว้ เล่ากันว่าเกาะนี้อยู่ที่ทะเลบูรพา แต่บ้างก็เล่ากันว่าเกาะนี้อยู่ที่ทะเลอุดร อีกทั้งมีคนบอกว่าเกาะนี้อาจอยู่ที่ทะเลรกร้าง…”
จี้หยวนพลันมุ่นคิ้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินมาก่อนว่าเกาะหมอกเซียนอยู่ที่ทะเลบูรพา
“หรือว่าเกาะหมอกเซียนจะเคลื่อนที่ได้”
“เรื่องนี้รั่วหลีไม่รู้ แต่เคยได้ยินเช่นนั้นจริงๆ จากนั้นก็รู้เรื่องที่มีมนุษย์ขึ้นเกาะโดยไม่ได้ตั้งใจและได้รับของจากเซียน คนเหล่านี้ล้วนกลับบ้านอย่างปลอดภัย หลายเรื่องได้รับการบันทึกเป็นอย่างดี ไม่ใช่เรื่องปั้นแต่งขึ้น”
ธิดามังกรพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยพูดต่อ
“ตรงกันข้าม ผู้ฝึกเซียนทั่วไปหากไม่เกี่ยวข้องกับภายในเกาะ แม้เป็นวิชาเหาะเหินคิดไปตามหาเกาะหมอกเซียนก็อาจไม่พบเกาะ”
จี้หยวนมองหัวเรืออย่างครุ่นคิด
“หมายความว่าโหรแห่งราชวงศ์ต้าซิ่วนับว่าพอมีวิชา ทำให้พวกเขาแล่นเรือเสาะหาท่ามกลางมหาสมุทร ด้านหนึ่งคิดให้โชคดีเจอเกาะหมอกเซียน ด้านหนึ่งคิดให้ผู้ฝึกเซียนเกาะหมอกเซียนประทับใจจากใจจริง”
จากคำบอกเล่าของธิดามังกรเมื่อครู่ จี้หยวนพอจะแน่ใจได้ว่าผู้ฝึกเซียนเกาะหมอกเซียนค่อนข้างมีเจตนาดี นอกจากนี้เขาเคยได้ยินเรื่องที่ผู้ฝึกเซียนเกาะหมอกเซียนสังหารมารกำจัดปีศาจเช่นกัน
อิงรั่วหลีมองกองเรือยาวเหยียดที่ถูกปกคลุมด้วยไอหมอก
“เป็นเช่นที่ท่านอาจี้พูด แต่ยังคงเป็นเพียงการค้าขายที่ต้องอาศัยโชค บางทีสำหรับราชวงศ์ต้าซิ่วแล้ว กองเรือเช่นนี้ไปตามหาความหวังนับว่าเหมาะสมมาก”
จี้หยวนพยักหน้า
“จริงของเจ้า บางทีนี่อาจไม่ใช้ของล้ำค่าเดียวของราชวงศ์ต้าซิ่ว ไม่แน่ว่าในราชสำนักอาจมีคนเก่งกาจอยู่ไม่น้อย อย่างเช่นโหรที่รู้พฤติกรรมของเกาะหมอกเซียน”
อิงรั่วหลีถอนใจอย่างหากได้ยาก
“เป็นเช่นนั้น ทว่าคนกลุ่มนี้น่าสงสารเกินไปแล้ว…”
จี้หยวนมองธิดามังกร อย่างไรเสียก็เป็นมังกรไร้เขาผู้เป็นเทพแม่น้ำ หากเปลี่ยนเป็นปีศาจคนอื่น คนเหล่านี้เป็นตายอย่างไรก็ช่างเถอะ
“ข้าเคยพบฮ่องเต้ แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าเพียบพร้อม แต่จำต้องพูดว่าสำหรับฮ่องเต้ของราชวงศ์ ชีวิตคนทั้งกองเรือเช่นนี้เขาย่อมไม่มาใส่ใจอยู่แล้ว”
ถึงแม้เหลือเรือไม่ถึงหนึ่งร้อยลำ แต่คนบนนั้นยังคงมีมากนับหมื่น ไม่แน่ว่าบุคคลที่สละชีวิตไปอาจมากเท่านี้
“ดูจากท่าทียามคนผู้นี้พูดจา เขาไม่มีความสดใส เห็นทีเฉยชาต่อเรื่องนี้เสียแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราโน้มน้าวพวกเขาหน่อย”
“โน้มน้าว? โน้มน้าวอย่างไร พวกเราไม่มียาอายุวัฒนะด้วย”
ธิดามังกรมองจี้หยวน
“เกาะหมอกเซียนมีไม่ใช่หรือ พวกเขาลำบากค้นหามานานแปดปี ตอนนี้ไม่อาจยืดอกเพราะความกดดันจากฮ่องเต้ ทว่าทุกคนอยากกลับบ้านกันทั้งนั้น”
“ยืนหยัดอยู่แปดปีแล้วไม่ย้อนกลับ พวกเขาจะฟังหรือ”
ธิดามังกรมองจี้หยวนอีกครั้ง ท่านอาจี้คิดใช้วิชาอัศจรรย์ข่มขู่ หรือคิดใช้วิชาบังคับให้พวกเขากลับไปโดยตรง
กลับเป็นจี้หยวนยิ้มขึ้น อิงรั่วหลีออกจากบ้านน้อยนักดังคาด
“แทนที่จะพูดว่าตามหายาเซียน มิสู้พูดว่าตามหาเกาะเซียน แทนที่จะพูดว่าตามหาเกาะเซียน มิสู้พูดว่าตามหาเซียน เมื่อพบเซียนแล้ว กลางทะเลกลางเกาะจะแยกแยะอะไรได้อีก คำพูดของ ‘เซียน’ ผู้นี้คงจะมีน้ำหนักอยู่บ้างกระมัง”
พูดเช่นนี้อิงรั่วหลีเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว นางไม่เคยเห็นว่าตนเองเป็น ‘เซียน’ แม้แต่ตอนนี้ที่อยู่ใต้แสงไฟเจือจางก็ไม่ได้เห็นท่านอาจี้ที่สนิทกับตนว่าเป็นเซียน แต่เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว เกาะหมอกเซียนมีเซียนซึ่งมีมรรควิถีหรือเขตแดนท่านจี้แล้วค่อยว่ากันแล้วกัน
กองเรือยังคงเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า เสียงกลองดังต่อเนื่องไม่หยุดลง ทว่าผ่านไปอีกครู่หนึ่งไอหมอกเริ่มจางลงแล้ว
เมื่อไอหมอกจางลง บนผิวทะเลพลันชัดเจนขึ้นมา เหล่ากะลาสีที่เดิมทีมีความกดดันพลันโล่งใจขึ้นบ้าง มือกลองที่ขยับแขนจนเมื่อยขบเหล่านั้นได้ไปพักเสียที
ผู้บัญชาการถอนใจโล่งอกเช่นกัน ทว่าทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย
“ใต้เท้าผู้นี้คงเป็นผู้บัญชาการกองเรือนี้กระมัง”
“ใคร!”
ผู้บัญชาการสะดุ้งตกใจเพราะเสียงนี้ กระโดดออกไปสองก้าวโดยตรง รอบตัวเขามีทหารถืออาวุธล้อมปกป้องเขาไว้ทันที
แต่ผู้บัญชาการพลันยกมือขึ้นหยุดการกระทำของลูกน้อง
ผู้มาเยือนสวมเสื้อแขนกว้างสีเขียว ผมยาวพาดอยู่ข้างหลัง บนนั้นมีมวยผมปักไว้ด้วยปิ่นหยกอันเป็นเอกลักษณ์ เมื่อหันกายมามองเขาถึงเห็นใบหน้าเกลี้ยงไร้หนวดเครา ไม่รู้เหมือนกันว่าอายุเท่าไหร่แล้ว ดวงตาสีเทาคู่หนึ่งเพราะลืมขึ้นเป็นปกติเผชิญหน้ากับเขา จึงดูเตะตามากเป็นพิเศษ
ผู้บัญชาการใช้มือหนึ่งคลำป้ายหยกที่แขวนอยู่ข้างกายตนเอง ระยะใกล้ถึงเพียงนี้ยังคงไม่มีความรู้สึกร้อนลวกแต่อย่างใด ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ปีศาจ
เขาหัวใจเต้นแรงมาก ถามอย่างพะวงว่า
“ท่านขึ้นมาบนเรือเมื่อใด ประชิดตัวข้าตั้งแต่เมื่อใด”
จี้หยวนตอบตามตรง
“ตอนที่เจ้าทอดถอนใจอยากกลับบ้านกระมัง”
“ชะ เช่นนั้นท่านใช่เซียนเกาะหมอกเซียนหรือไม่ เกาะเซียนอยู่ใกล้ๆ นี้หรือ”
คนรอบข้างมองซ้ายมองขวาเพราะคำพูดนี้ ทว่ามองผิวน้ำทะเลแล้วสุดลูกหูลูกตา ไม่มีสิ่งใดนูนขึ้นมาโดยสิ้นเชิง
จี้หยวนชำเลืองมองป้ายหยกตรงเอวผู้บัญชาการ เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้สังเกต เป็นการกระทำของอีกฝ่ายที่ดึงดูดความสนใจเขา เห็นทีจะเป็นสิ่งของมีวิชาบางอย่าง
“ไม่ต้องหาแล้ว เกาะหมอกเซียนไม่อยู่แถวนี้ ข้าเองก็ไม่ใช่เซียนเกาะหมอกเซียนเช่นกัน”
ผู้บัญชาการรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นตั้งสติอีกครั้งทันที
“เช่นนั้นท่านเป็นเซียนใช่หรือไม่”
จี้หยวนหัวเราะ นี่น่าสนจยิ่งนัก
“ใช้มุมมองการพิจารณาของคนธรรมดา ข้าคนแซ่จี้เป็นเซียนได้จริงๆ”
ผู้บัญชาการคารวะโดยพลัน ทหารและกะลาสีข้างหลังเลียนแบบเขา รีบประสานมือคารวะเช่นเดียวกัน
“ข้าน้อยผู้บัญชาการเฉียวหย่งแห่งต้าซิ่ว คารวะท่านเซียน!”
จี้หยวนไม่หลบเลี่ยง รับการคารวะนี้แล้วมองเฉียวหย่ง
“ป้ายหยกบนเอวเจ้าน่าสนใจทีเดียว ได้ยินมาว่าพวกเจ้าออกทะเลแล้วเคยเจอปีศาจเช่นกัน ไม่กลัวว่าข้าเป็นปีศาจชั่วร้ายหรืออย่างไร”
เฉียวหย่งยืดกายแล้วส่ายหน้า
“ป้ายหยกนี้เป็นโหรแห่งต้าซิ่วมอบให้ข้า มีชื่อว่าป้ายเซี่ยจื้อ[1] แยะแยะปีศาจแปลงกายได้ยอดเยี่ยม อีกทั้งแยกแยะเซียนได้เช่นกัน หากปีศาจเข้าใกล้แล้วป้ายหยกจะร้อนมาก หากเซียนเข้าใกล้ป้ายหยกจะเย็นสบาย ส่วนกับมนุษย์กลับไม่มีปฏิกิริยาใด”
“อ๋อ”
จี้หยวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ นี่ลดความยุ่งยากลงได้ไม่น้อย
แต่ความจริงแล้วคำพูดของเฉียวหย่งยังไม่ครบถ้วน ตอนที่โหรมอบยันต์และของใช้กองหนึ่งให้เขาก่อนออกทะเลยังกำชับอีกหลายคำ คำพูดสุดท้ายนั้นเขายังจำได้ดี
หากพบผู้ที่มองปราดเดียวก็รู้ชัดแล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา ทว่าป้ายหยกยังคงไร้ปฏิกิริยาใดๆ เช่นนั้นผู้มาเยือนย่อมพิเศษยิ่งกว่านั้น จะดีหรือร้ายเขาต้องตัดสินด้วยตนเองแล้ว
“เซี่ยจื้อ?”
หากเป็นคนอื่นได้ยินชื่อนี้อาจกำลังคิดว่าเขียนอย่างไร แต่จี้หยวนกลับนึกออกได้ในทันที นี่ไม่ใช่สัตว์เทพที่แยกแยะดีเลวได้ชนิดหนึ่งหรือ แต่ที่มาของความเข้าใจนี้มาจากชาติก่อน
“ท่านเซียนเขียนเป็นหรือไม่…”
เฉียวหย่งคิดแล้วใช้มือวาดอยู่สองครั้ง จี้หยวนรู้ว่าตนเองเดาไม่ผิดแล้วจึงโบกมือให้เขาหยุด
“ข้ารู้ว่าเขียนอย่างไร ป้ายหยกนี้โหรมอบให้พวกเจ้าหรือ”
“ขอรับ!”
เฉียวหย่งตอบอย่างนอบน้อม
“ราชวงศ์ต้าซิ่วอยู่ที่ใด”
“เรียนท่านเซียน ราชวงศ์ต้าซิ่วของพวกข้าอยู่ที่เกาะนิรันดร์แดนเหนือ เป็นราชวงศ์ยิ่งใหญ่ของแนวชายฝั่งทางใต้!”
จี้หยวนรู้สึกสนอกสนใจจากคำพูดเรียบง่าย เฉียวหย่งผู้นี้รู้จักชื่อเกาะนิรันดร์แดนเหนือ และโหรภายในอาณาจักรไม่เหมือนกับว่าไม่เป็นวิชา ชัดเจนว่าราชวงศ์นี้ไม่ธรรมดาเช่นกัน อย่างน้อยก็ดีกว่าคนบางคนในเกาะเมฆาที่คิดว่าดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นดินแดนแห่งเดียวบนโลก
วินาทีนี้จี้หยวนตัดสินใจแล้ว สอบถามเรื่องราวของเซี่ยจื้อก่อน หากสอบถามไม่ได้ความอะไรก็จะไปถามกับโหร ทว่าตอนนี้เล่นตามน้ำไปก่อน
“ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าต้องการตามหาเกาะหมอกเซียนเพื่อขอยาอายุวัฒนะหรือ”
“ขอรับ! หากไม่ได้สิ่งนั้นมา พวกข้าไม่อาจกลับไปได้ตลอดชีวิต ราชโองการยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา…”
จี้หยวนพยักหน้า กล่าวเสียงเรียบว่า
“เช่นนั้นพวกเจ้ากลับไปเถอะ กลับไปบอกโหรผู้นั้นของพวกเจ้าว่าข้าจะไปงานชุมนุมเซียนพเนจรของเขาเก้ายอดในอีกหลายปีหลังจากนี้ ผู้ฝึกเซียนของเกาะหมอกเซียนก็จะไปด้วยเช่นกัน ถึงตอนนั้นข้าจะช่วยพวกเจ้าถามว่าเรื่องนี้มีโอกาสสำเร็จหรือไม่ ในเมื่อเขารู้จักเกาะหมอกเซียนก็ควรรู้จักงานชุมนุมเซียนพเนจร ให้โหรของพวกเจ้าไปบอกกับฮ่องเต้ด้วย”
ในเมื่อราชโองการต้องการให้พวกเขาได้อะไรบางอย่างกลับไป เช่นนั้นที่จริงคำพูดของจี้หยวนถือเป็นบางสิ่งบางอย่างแล้ว ถึงขนาดพูดได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ หมายความว่าขอเพียงมีคนอย่างโหรผู้นั้นอยู่ย่อมต้องผ่านการทดสอบแน่นอน อย่างน้อยอาจโดนโทษกินข้าวอยู่ในคุกไม่นาน แต่ก็ยังดีว่าต้องลอยคอไปตายยังต่างแดนมากโข
เฉียวหย่งและลูกน้องโดยรอบมองหน้ากัน
“เอ่อ…ขอถามได้หรือไม่ว่าท่านเซียนมีนามว่าอะไร”
“ข้าแซ่จี้ คนเรียกข้าว่าท่านจี้ เรื่องนี้พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ตัดสินใจเอาเอง ขอพูดเพียงเท่านี้ ข้าคนแซ่จี้ขอตัวลา”
เมื่อพูดจบแล้วจี้หยวนกระโจนตัวออกจากหัวเรือ เหยียบเมฆลอยจากไป เมื่ออยู่ที่ไกลแล้วผิวน้ำทะเลพลันเกิดคลื่นขึ้น มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่แหวกน้ำทะเลโผล่ออกมา เป็นวาฬยักษ์ตัวหนึ่ง บนหลังยังมีคนที่มองเห็นไม่ชัดเจนอีกคนหนึ่งด้วย
วินาทีที่เซียนเสื้อเขียวตกลง คนบนหลังสัตว์ยักษ์ในทะเลประสานมือคารวะเขา หลังจากนั้นทั้งสองคนขี่หลังวาฬมุ่งหน้าไปยังกลางทะเล เพียงครู่เดียวก็หายไปไม่เห็นแล้ว
…
[1] เซี่ยจื้อ เป็น เป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานจีน มีขนสีเข้มหนาทั่วทั้งตัว ตาเป็นประกายและเรียวยาว มีสติปัญญาสูงและรู้ธรรมชาติของมนุษย์ สามารถมองเห็นถูกและผิด ความดีและความชั่ว ความจงรักภักดีและการทรยศ เมื่อพบข้าราชการที่ทรยศและชั่วร้าย ก็จะเอาเขาของตนเองแตะอีกฝ่ายแล้วกินเสีย เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและความยุติธรรม