เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 34 เหมือนมาก
ตอนที่ 34 เหมือนมาก
จี้หยวนเข้าใจว่าคำถามของตนโง่เขลานัก เรื่องพวกนี้ไม่ช้าก็เร็วย่อมรู้ชัด ถามใครก็ได้
แต่ทำไมเทพหลักเมืองกลับเคารพนอบน้อมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด นี่เป็นความรู้สึกพิกลอย่างหนึ่ง คล้ายว่าเทพหลักเมืองไม่พูดอย่างผ่อนคลายเหมือนเมื่อครู่แล้ว
เทพหลักเมืองเล่าประวัติศาสตร์บางส่วนที่ตนรู้ออกมาโดยละเอียดเป็นระเบียบ ระหว่างนั้นยังสลับกับพงศาวดารทุกราชวงศ์ส่วนหนึ่ง รวมถึงทิวทัศน์ดินฟ้าอากาศโดยรอบบางจุด ยังตั้งใจเสริมการเปลี่ยนแปลงของชื่อสถานที่บางแห่งด้วย
ต่างจากความสับสนเรื่องเซียนปีศาจก่อนหน้านี้ เห็นชัดว่าการบรรยายครั้งนี้ทำให้จี้หยวนเข้าใจโลกนี้อย่างชัดเจนมากขึ้น อย่างน้อยความเข้าใจระดับคนทั่วไปก็เปลี่ยนเป็นเด่นชัดตรงไปตรงมาไม่น้อย
บ้านเมืองที่อยู่ตอนนี้อาณาเขตกว้างใหญ่ รวมทั้งหมดสิบสามรัฐ ราชวงศ์นี้ยืนหยัดมั่นคงมาสองร้อยปี สืบทอดบัลลังก์มาจนถึงจักรพรรดิเต๋อที่แปดแล้ว ก่อนหน้านี้เคยผ่านราชวงศ์อู่ ถง ฉู่ ควงมาเก้าราชวงศ์ หากมุ่งหน้าต่อไปก็เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของราชวงศ์ยิ่งใหญ่สักแห่งแล้ว
เทพหลักเมืองสาธยายถึงตรงนี้แล้วหยุดพักเล็กน้อย จากนั้นค่อยเอ่ยปาก
“ตามบันทึกเชิงประวัติศาสตร์ ราชวงศ์ใหญ่นั้นชื่อว่าต้าโจว”
“ต้าโจว?”
เห็นชัดว่าจี้หยวนคึกคักขึ้นมา แต่แค่ยิ้มแล้วปล่อยผ่านไป ต้าโจวที่กล่าวถึงนั้นเป็นคนละอย่างกับที่ตนคาดคิด ตั้งแต่ทิวทัศน์ภูมิประเทศจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ล้วนต่างกัน
เทพหลักเมืองลูบเคราพยักหน้า
“ไม่ผิด ราชวงศ์นี้ครองยุคสมัยมานานมากเช่นกัน ต่อให้เป็นเทพปฐพีอย่างข้าก็ยากอธิบายการเปลี่ยนแปลงบนโลกจนหมดสิ้น โลกกว้างใหญ่มีเรื่องนับหมื่นพันยากบรรยาย ทั้งยังมีคำกล่าวว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ยากเข้าใจทุกสรรพสิ่ง!”
จี้หยวนพยักหน้าเห็นด้วย
“ที่ใต้เท้าหลักเมืองกล่าวถูกต้องอย่างยิ่ง!”
ระหว่างการพูดคุยเมื่อครู่ทำให้จี้หยวนรับรู้ ตำแหน่งเทพหลักเมืองคือเทพปฐพีซึ่งพัวพันข้องเกี่ยวกับโลกมนุษย์อย่างลึกซึ้งที่สุด การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นประจำเช่นกัน
ยกตัวอย่างอำเภอหนิงอัน เทพหลักเมืองอำเภอหนิงอันรุ่นก่อนยังเป็นคนแซ่หลี่ ต่อมาเมื่อถึงรุ่นนี้ค่อยล้มล้างระบบเก่า กอปรกับอำเภอหนิงอันราชวงศ์นั้นมีซ่งซื่อชางเป็นขุนนางสร้างเกียรติแก่วงศ์ตระกูล หลังซ่งซื่อชางสิ้นชีพจักรพรรดิแต่งตั้งตำแหน่ง ตั้งเขาเป็นเทพหลักเมืองอำเภอหนิงอัน สั่งขุนนางท้องถิ่นสร้างอารามศาลเจ้า
ส่วนเทพหลักเมืองคนเดิม ถ้าการฝึกปราณแกร่งกล้าย่อมมีทางออก หากพลังปราณของตนใช้ไม่ได้ ย่อมสูญเสียกลิ่นกำยานทีละน้อย มรรควิถีไม่ก้าวหน้ากลับถอยร่น อาจซ่านสลายหายไปเช่นนั้น
ใช่ว่าจักรพรรดิบนโลกมีพลังบัญชาวาจาแปรเป็นกฎ สุดท้ายการตัดสินใจทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการจุดธูปเซ่นไหว้และแรงปรารถนาของปวงชนเท่านั้น
แน่นอนว่าเทพหลักเมืองส่วนมากผ่านหลายยุคสมัยไม่แปรเปลี่ยนก็เป็นเรื่องปกติ หนึ่งคือจักรพรรดิบนโลกไม่ว่างขนาดนั้น เป็นแค่วิธีการแต่งตั้งตำแหน่งให้ขุนนางผู้มีผลงานเท่านั้น สองคือจักรพรรดิบนโลกไม่เข้าใจเรื่องเทพเซียนสักนิด
ต่อให้เป็นเช่นนั้น การมีอยู่ของราชวงศ์กับเทพหลักเมืองบนโลกคือหนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์หนึ่งร่วงล้วนร่วง แม้ว่าหยินหยางห่างกัน แต่เทพหลักเมืองส่วนใหญ่ย่อมพยายามคุ้มครองประชาชนบนพื้นที่แห่งหนึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้สิ่งชั่วร้ายก่อกวน
ถึงอย่างไรคนที่ถูกยกย่องเป็นเทพหลักเมือง ไม่ว่าจักรพรรดิแต่งตั้งหรือชาวบ้านนับถือช่วยสร้างศาล ส่วนใหญ่ล้วนมีชื่อเสียงมีอนาคตมีคุณธรรม ทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกปราณเช่นกัน
แต่ก็เหมือนขุนนางบนโลกมนุษย์ซึ่งไม่อาจทำทุกอย่างพร้อมกัน เทพหลักเมืองก็ไม่อาจตรวจสอบมารปีศาจซึ่งหลบซ่อนอยู่ได้หมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าบางครั้งยังยากต่อกรอีก
เรื่องน่าสนใจคือแม้ว่าความสัมพันธ์ของเทพหลักเมืองกับราชวงศ์นับว่าแน่นแฟ้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ขุนนางจักรพรรดิแล้ว หยินหยางห่างกัน ไม่ข้องเกี่ยวโดยสิ้นเชิง
พูดตามตรงคือแม้แต่ราชวงศ์ผู้ทรงอำนาจ ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น ตามองไม่เห็นเทพผี แรงไม่อาจทลายหยินหยาง นอกจากอ่านตำรารวมเรื่องแปลกเทพเซียนแล้ว แม้แต่คนรู้เรื่องเทพหลักเมืองเซียนมารยังมีน้อยยิ่งกว่าน้อย สำหรับพวกเขาก็เป็นแค่ชีวประวัติของรูปปั้นศาลในหนังสือเท่านั้น
…
จี้หยวนกับเทพหลักเมืองพูดคุยพลางดื่มชาอยู่บนชั้นสามของหอนอกศาล ชื่นชมทิวทัศน์นอกหอ ภายใต้การพูดคุยกลมเกลียวเวลาล่วงเลยโดยไม่รู้ตัว เพียงพริบตาก็ถึงเที่ยงวัน
จี้หยวนได้รับข้อมูลสำคัญไม่น้อย เทพหลักเมืองคิดว่าตนเองทำความรู้จักกับท่านจี้คนนี้มากขึ้นเช่นกัน การพูดคุยวันนี้น่าจะพอแล้ว
เดิมทีเทพหลักเมืองแนะนำจี้หยวนทานอาหารกลางวันบนหอนอกศาล แต่เพราะกินพลางพูดพลาง กระทั่งทานขนมของว่างบนโต๊ะนี้ถึงเที่ยง ทำให้ไม่มีความรู้สึกอยากทานอาหารกลางวันใดแล้ว
ทั้งสองออกจากหอนอกศาลเตรียมจากกันอย่างเป็นธรรมชาติ
“ใต้เท้าหลักเมือง ขอบคุณสำหรับการต้อนรับวันนี้!”
“ท่านจี้อย่าพูดอย่างนั้น ท่านมาพักที่นี่ชั่วคราวถือเป็นโชคของอำเภอหนิงอัน ตำราที่ท่านต้องการจะสั่งคนนำไปส่งถึงเรือนสันติโดยเร็ว ท่านโปรดวางใจ!”
“ขอบคุณใต้เท้าหลักเมือง!”
“เอาล่ะ เช่นนั้นวันหลังพวกเราค่อยคุยต่อ วันนี้จากกันแต่เพียงเท่านี้!”
ขณะกล่าวเทพหลักเมืองประสานมือไปทางจี้หยวนเล็กน้อย จี้หยวนประสานมือบอกลาเช่นกัน
“วันหลังค่อยคุยต่อ!”
หลังพยักหน้าคารวะกัน เทพหลักเมืองก้าวไปทางศาลหลักเมืองสบายๆ จี้หยวนมองส่งเทพหลักเมืองเดินไปครึ่งทางจึงยิ้มหันหลังกลับบ้าน
แม้ว่าศาลหลักเมืองเป็นสถานที่ครึกครื้น แต่งานศาลเจ้ายังจัดถึงกลางคืน ทั้งเขาไม่ต้องไปจุดธูปไหว้ กลับบ้านแปรงฟันรอตำรามาส่งถึงหน้าประตูต่างหากจึงสมควร
‘ไม่รู้ว่าตำราที่เทพหลักเมืองส่งมามีความพิเศษบ้างหรือไม่ ดวงตาเกือบบอดของเราอ่านโดยตรงได้ไหม ถ้าไม่ไหวคงต้องหาคนมาอ่าน หรือรบกวนเทพหลักเมืองหายมทูตดำมาช่วยก็ได้’
ปากตรอกเล็กสายหนึ่งซึ่งห่างไปไม่ไกล อิ๋นจ้าวเซียนกำลังจูงมืออิ๋นชิงก้าวออกมา ผลคืออิ๋นชิงพลันรั้งมือบิดาไว้ไม่เดินต่อ
อิ๋นจ้าวเซียนรู้สึกว่าถูกบุตรชายดึงรั้ง ขมวดคิ้วหันกลับไปมองอิ๋นชิง
“เป็นอะไรไป”
“ท่านพ่อ… ทางนั้น คุณชายคนนั้นอยู่ตรงนั้น!”
คุณชาย?
อิ๋นจ้าวเซียนมองไปทางหอนอกศาลตามที่บุตรชายชี้บอก เขาไม่รู้ว่าคุณชายที่บุตรกล่าวถึงคือคนไหน แต่ความสนใจถูกจี้หยวนกับเทพหลักเมืองดึงดูดทันที บุคลิกรูปลักษณ์สองคนนี้ราวกับหงส์ในฝูงกาจริงๆ
“ชิงเอ๋อร์ คนไหนคือคุณชายที่เจ้ากล่าวถึง เจ้าเห็นชัดหรือไม่ อย่าจำผิดเล่า”
“คนสวมชุดคลุมเขียวนั่น ผู้ประสานมือกับผู้อาวุโสคนนั้น! ข้าเห็นชัดเจน ไม่มีทางจำผิดแน่!”
อิ๋นชิงหลบอยู่หลังบิดา โผล่หัวมองไปนอกตรอก เห็นทั้งจี้หยวนกับชายชราคนนั้น
อิ๋นจ้าวเซียนมองทั้งสองคนซึ่งอยู่ตรงหอนอกศาลอีกครั้ง แยกจากกันแล้ว คนหนึ่งไปทางศาลหลักเมือง คนหนึ่งจากไปอีกทาง ดูแล้วปกตินัก แต่ในเมื่อบุตรชายกลัวมาก บิดาควรห่วงความรู้สึกบุตรชายหน่อย
“เอาล่ะ เขาไปแล้ว พวกเราไปศาลหลักเมืองกัน!”
“อืม!”
อิ๋นจ้าวเซียนถอนหายใจ ตอนนี้เขาพลันรู้สึกว่าก่อนหน้านี้บุตรชายอาจตาลาย สองคนนั้นไม่คุ้นหน้านัก แต่ท่าทางโดดเด่น มองอย่างไรล้วนไม่เหมือนพวกลึกลับ
‘ชายชราคนนี้เป็นใคร คนมีหน้ามีตาของอำเภอหนิงอันข้าควรรู้จักถึงจะถูก หรือว่าเป็นคนต่างถิ่น’
เขาจูงมืออิ๋นชิงก้าวออกจากตรอก มุ่งหน้าไปศาลหลักเมือง ในสายตาเบื้องหน้าของสองพ่อลูกยังเห็นชายชราชุดดำที่จี้หยวนประสานมือลาคนนั้น
ในใจสองพ่อลูกรู้สึกพิกล ฝีเท้าเพิ่มความเร็วเล็กน้อย คล้ายอยากอยู่ใกล้ผู้อาวุโสคนนั้นหน่อย
“ขายธูปจ้า จันทน์หอมชั้นหนึ่ง! เข้าศาลกราบเทพหลักเมือง จุดธูปสามดอก ขายธูปหอมชั้นยอดจ้า!”
ตรงประตูศาลเจ้ามีพ่อค้าตะโกนขายธูปหอม
“ข้าซื้อธูปสามดอก”
“ได้เลย เอ้า ระวังอย่าทำหักนะขอรับ!”
อิ๋นจ้าวเซียนจ่ายเงินพ่อค้าหนึ่งอีแปะ ตั้งแต่จ่ายเงินถึงรับธูป ดวงตาจ้องมองชายชราตรงหน้าเป็นหลัก รับธูปแล้วพาอิ๋นชิงเดินเข้าศาลเจ้า
“หืม? หายไปแล้ว? ชิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าเห็นเขาไปไหนไหม”
“ไม่ขอรับ พอเข้าศาลมาก็หายไปแล้ว… ท่านพ่อ หรือว่าจะเป็นผี…”
“พูดเพ้อเจ้ออะไร! ที่นี่คือศาลหลักเมือง!”
อิ๋นจ้าวเซียนตำหนิอิ๋นชิงอย่างเข้มงวด จากนั้นค่อยจูงเขาไปทางเรือนหลัก ศาลหลักเมืองแห่งนี้ไม่ใหญ่ เรือนหน้าเป็นศาลเทพหลักเมือง เรือนหลักเป็นที่อยู่ของเทพหลักเมือง ชายชราคนนั้นอาจตรงไปเรือนหลัก
แต่หลังจากเดินผ่านเรือนหน้าก็ไม่เห็นชายชราคนนั้นเช่นกัน ประชาชนที่มาจุดธูปกราบเทพหลักเมืองไม่นับว่าน้อยแต่ก็ไม่มาก ไม่ถึงขั้นมองไม่เห็นใคร เมื่อมองประตูหลังข้างมุมศาล ประตูไม้สองบานปิดสนิท ไม่เหมือนว่ามีใครออกไป ทั้งตรงนั้นยังเป็นที่อยู่ของคนเฝ้าศาล คงไม่ให้ใครเดินผ่านตามสะดวก
‘แปลกจริง…’
ต่อให้อยู่ภายในศาลหลักเมือง ในใจอิ๋นจ้าวเซียนก็ขนลุกอยู่บ้าง
“ชิงเอ๋อร์ พวกเราไปกราบเทพหลักเมืองกัน!”
อิ๋นจ้าวเซียนสลัดความคิดฟุ้งซ่านในใจ พาอิ๋นชิงเดินเข้าเรือนหลัก ต่อไฟจากเทียนของคนเฝ้าศาลที่อยู่ด้านข้างเพื่อจุดธูปหอม
ปักธูปหอมตรงกระถางธูปก่อน จากนั้นสองพ่อลูกคุกเข่าบนเบาะเพื่อตั้งจิตอธิษฐาน
กราบเทพหลักเมืองเสร็จ เมื่ออิ๋นจ้าวเซียนลุกขึ้นเตรียมจากไป กลับพบว่าอิ๋นชิงยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น จ้องมองรูปปั้นเทพหลักเมืองอย่างอึ้งงัน
“เป็นอะไรไปชิงเอ๋อร์”
“ท่านพ่อ… เหมือนมาก…”
อิ๋นชิงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบานัก