เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 347 ตัวหลิวเจี่ยยังมีปราณกล้าหาญอยู่สามส่วน
ตอนที่ 347 ตัวหลิวเจี่ยยังมีปราณกล้าหาญอยู่สามส่วน
ที่แล้วมาจังหวัดเต๋อเซิ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดใหญ่ที่ค่อนข้างอยู่แถวหน้าของรัฐจี การพัฒนาเมืองดีทีเดียว
นอกจากเศรษฐกิจและสภาพการเป็นอยู่ของชาวบ้านดีมาก จังหวัดเต๋อเซิ่งก็ไม่ใช่ว่าไม่เป็นที่รู้จักในยุทธภพ ทว่ามีชื่อเสียงโด่งดังเรื่อยมา ถึงขนาดว่าชื่อเสียงเหนือกว่าการจัดอันดับอย่างเป็นทางการของรัฐจีไม่น้อย
เพราะว่านอกกำแพงเมืองจังหวัดเต๋อเซิ่งมีสำนักเขาแสงคล้อย และสำนักเขาแสงคล้อยมีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ ตระกูลลั่วจังหวัดเต๋อเซิ่งเริ่มกลายเป็นชื่อที่เรียกได้ทั่วยุทธภพต้าเจินแล้ว
โบราณว่าไว้ยากจนเป็นบุ๋นร่ำรวยเป็นบู๊ คลื่นลูกใหม่ของสำนักเขาแสงคล้อยฝึกฝนวิชายุทธ์ ต้องการวัตถุดิบยาและของบำรุงต่างๆ จำนวนมาก หากทุนทรัพย์ไม่มากพอก็อาจไม่ได้มา
ได้รับความร่วมมือจากตระกูลเว่ยที่มั่งคั่งและมากอำนาจ สภาพการเงินของตระกูลลั่วในหลายปีมานี้ดีวันดีคืน ไม่ได้รั้งท้ายอยู่ในยุทธภพอีกต่อไป
กลางถนนหลายสายที่รุ่งเรืองที่สุดของตัวเมืองจังหวัดเต๋อเซิ่ง มีกิจการของสำนักเขาแสงคล้อยเช่นกัน
เดือนสามและเดือนสี่เป็นช่วงเวลาดีที่ดอกไม้เบ่งบาน และเป็นฤดูกาลที่พ่อค้าหลายแขนงซึ่งเงียบเชียบตลอดฤดูหนาวเริ่มเคลื่อนไหว
วันนี้ตลาดของจังหวัดเต๋อเซิ่งคึกคักเป็นพิเศษ อากาศดีกอปรกับมีขบวนพ่อค้าเร่ที่มีชื่อเสียงหลายกลุ่มมาถึง ทำให้ในเมืองมีคนเข้าออกขวักไขว่
สินค้าแปลกน่าสนใจมากมายมีเพียงพอ แต่ละอย่างถูกจัดวางไว้ที่หน้าร้านและตำแหน่งที่เตะตาที่สุด
วันนี้ดวงอาทิตย์สดใส อีกทั้งในเมืองคึกคักเช่นนี้ ในสำนักเขาแสงคล้อยมีคนทนไม่ไหวเหมือนกัน ออกมาเดินเล่นในเมืองสักหน่อย สถานที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือตลาด ลั่วหนิงซวงในวัยใกล้สี่สิบปีก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในฐานะที่เป็นผู้ใกล้ชิดกับจอมยุทธ์ทั้งเก้าในปีนั้นที่สุด เจ้าภูเขาลู่ย่อมตามหาลั่วหนิงซวงเป็นคนแรก
รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่จังหวัดเต๋อเซิ่ง ตรงผ้าม่านรถสองด้านซ้ายขวาครองไว้ด้วยเด็กสองคน กำลังมองภาพความคึกคักข้างนอกด้วยสีหน้าใคร่รู้
“ท่านแม่ๆ คนตรงนั้นสวมหนังสัตว์หนาขนาดนั้น เขากลัวหนาวมากใช่หรือไม่”
“ท่านแม่ดูทางนี้แล้ว มีคนหัวล้านคนหนึ่ง…”
“ท่านแม่มีทางนี้ด้วย มีคนใช้หอกยาวแทงคอตนเองอยู่ เขาสุดยอดมากเลย หอกยาวแทงคอแล้วไม่เป็นอะไร วิชายุทธ์ของเขาต้องสูงมากแน่นอน!”
“เฮ้อ ท่านพี่มาด้วยกันได้ก็คงดี…”
จู่ๆ มีเด็กคนหนึ่งพูดด้วยความผิดหวังอยู่บ้าง
ลั่วหนิงซวงในรถยิ้มแย้มแจ่มใจเช่นกัน อธิบายว่า
“หลายวันก่อนทดสอบวิชายุทธ์ พี่ชายพวกเจ้าถูกท่านลุงตำหนิเข้า ลงโทษไม่ให้เขาออกจากเขาแสงคล้อยหนึ่งเดือน แต่พวกเรานำของอร่อยกลับไปให้เขาได้นะ”
“อืม!”
“จริงสิ ข้าอยากนำไก่ย่างไปให้พี่ใหญ่ตัวหนึ่ง ฮ่าๆๆ”
ลั่วหนิงซวงยิ้มพลางส่ายหน้า ลูบท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยครั้งหนึ่ง หลายปีมานี้นางตั้งครรภ์สองครั้ง บุตรชายคนโตถึงวัยเรียนวรยุทธ์แล้ว ส่วนเด็กสองคนเป็นฝาแฝดอายุเจ็ดปี เล่นสนุกอยู่ด้วยกันบนรถ ทว่านางอยากได้บุตรีสักคนเป็นอย่างยิ่ง
“หยุด…”
เมื่อพลขับดึงบังเหียน ความเร็วของรถม้าค่อยๆ ลดลง ไม่นานก็หยุดลงตรงหน้าร้านค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
“คุณหนู พวกเรามาถึงแล้ว!”
“ดี พวกเจ้าสองคนอย่าซนล่ะ พวกเราจะลงรถกันแล้ว”
“ได้…”
“ลงรถๆ พบท่านพ่อแล้วต้องขอเงินไปซื้อถังหูลู่หน่อย!”
เด็กสองคนลงจากรถด้วยความดีใจ ฝ่ายพลขับรถอยู่ข้างๆ ตลอด เห็นลั่วหนิงซวงออกมาแล้วถึงยื่นมือประคองนางลงจากรถ
แม้อายุใกล้สี่สิบปีแล้ว ทว่าลั่วหนิงซวงมีวิชายุทธ์เป็นพื้นฐาน กอปรกับดูแลรักษาตนเองเต็มที่ ผิวพรรณของนางจึงยังคงละเอียดเต่งตึงดังเดิม
ร้านนี้เป็นร้านขายของจิปาถะขนาดใหญ่ น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำสมสายชู ข้าวสารอาหารแห้ง และอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนมีขาย เป็นกิจการหนึ่งของเขาแสงคล้อยเช่นกัน สามีที่แต่งเข้าตระกูลของลั่วหนิงซวงเป็นผู้จัดการดูแล
“ฮูหยิน เจ้ามาได้อย่างไร บำรุงครรภ์อยู่ที่บ้านดีกว่า!”
บุรุษมีเครางามคนหนึ่งออกมาจากร้านอย่างรวดเร็วพร้อมพนักงานร้านสองคน ดูจากฝีเท้าแล้วเป็นผู้ฝึกวิชายุทธ์คนหนึ่ง
“ท่านพ่อ!”
“สามี”
เด็กสองคนและมารดาตนเองแทบส่งเสียงเรียกพร้อมกัน ทำให้บุรุษผู้นั้นยิ้มแป้น แม้เขาแต่งงานเข้าตระกูล ทว่าอยู่ที่สำนักเขาแสงคล้อยอย่างมีความสุขดี มีภรรยา มีลูกๆ น่ารัก มีชีวิตที่สุขสบาย ไม่มีอะไรที่เขาอยากร้องขอแล้ว
มือของลั่วหนิงซวงจับกับสามีตนเอง ขณะกำลังจะกล่าววาจา กลับมีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง นางหันไปมองภายในร้านทันที
ภายในร้านมีคนสองสามคนกำลังซื้อข้าว มีสตรีนางหนึ่งกำลังเลือกตะกรไม้ไผ่สาน และมีคุณชายสวมเสื้อสีเขียวปักปิ่นสีขาวคนหนึ่งกำลังดูขนมหวาน ความรู้สึกแปลกๆ นั้นหายไปแล้ว
“ฮูหยิน เจ้ามองอะไรหรือ”
ลั่วหนิงซวงส่ายหน้า คิดว่าเมื่อครู่อาจคิดไปเอง
“ไม่มีอะไร ได้ยินว่าวันนี้ในเมืองคึกคักมาก พวกข้าจะเข้าเมืองไปเดินเล่น เจ้าจะไปด้วยหรือไม่”
ฝ่ายชายมุ่นคิ้วมองในร้าน สุดท้ายส่ายหน้า
“ไม่ได้ อีกเดี๋ยวพ่อค้าตระกูลเว่ยจะกลับมา มีสินค้าสำคัญหลายอย่างข้าต้องดูด้วยตนเอง เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะส่งคนไปกับพวกเจ้าด้วย แล้วจะเรียกเกี้ยวให้คันหนึ่ง”
ลั่วหนิงซวงไม่ใช่คนชอบความวุ่นวายจึงปฏิเสธเกี้ยว เพียงบอกว่าไปกับลูกๆ ก็พอแล้ว
เมื่อออกจากร้านไป เด็กสองคนยิ่งร่าเริงกว่าเดิม ข้ารับใช้สองคนที่ตามมาคอยดูแลเปลืองแรงมากอย่างชัดเจน ฝ่ายลั่วหนิงซวงมองซ้ายมองขวาเช่นกัน มองชาด มองแป้งฝุ่น และมองผ้าไหม ยามเดินผ่านร้านตีเหล็กกลับไม่มองอาวุธอะไรเลยสักนิด
เจ้าภูเขาลู่ตามมานานแล้วอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หรี่ตามองหญิงงามท้องนูนอยู่ข้างหน้า
‘ใช้ชีวิตกับสามีและลูกๆ เพียงอยากเป็นวีรสตรีในตอนนั้น ฮ่าๆ ถือว่าผิดสัญญาในบางระดับกระมัง’
เจ้าภูเขาลู่ยิ้ม คำพูดที่กล่าวในใจนี้มากกว่าครึ่งถากถางตนเอง เขายังไม่ประสาทมากถึงขั้นไม่พอใจสตรีตั้งครรภ์คนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม คำสัญญาที่ให้ไว้ในตอนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเจ้าภูเขาลู่ และไม่มีทางจากไปง่ายๆ เช่นนั้น เขาเดินเข้าไปใกล้ลั่วหนิงซวงมากกว่าเดิม ขณะเดียวกับเก็บซ่อนปราณปีศาจ ใช้พลังเล็กน้อยขยับดวงตาสองข้าง
ทันใดนั้นเหมือนกับมีดวงตายักษ์ของเทพคู่หนึ่งกวาดมองลั่วหนิงซวง
นอกจากปราณเพลิงมนุษย์และปราณในครรภ์แล้ว กลับไม่มีปราณชั่วร้ายอื่นใด แต่การทดสอบที่จำเป็นเล็กน้อยยังไม่อาจขาดไปได้ เจ้าภูเขาลู่ไม่อยากให้คนแรกที่เขาต้องการพบจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้
เมื่อคิดได้แล้วสายตาเจ้าภูเขาลู่กวาดมองโดยรอบ ไม่นานนักก็พบเป้าหมายอยู่ไกลๆ มีบุรุษที่ดูเหมือนธรรมดาคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เดินผ่านคนที่ถูกใจ ก็สามารถดึงถุงเงินหรือข้าวของมีค่าอย่างอื่นออกมาจากตัวอีกฝ่ายได้ง่ายๆ
คนผู้นี้มีวิชายุทธ์ติดตัวอย่างชัดเจน หลังจากลงมือครั้งหนึ่งแล้ว หลายก้าวเดินหลังจากนั้นประชิดคนหลายคนได้อย่างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติมาก
‘ฮ่าๆ เป็นเจ้านี่แหละ!’
เจ้าภูเขาลู่เผยรอยยิ้ม หมุนกายเดินไปหาคนผู้นั้น เพราะเขาแต่งกายงดงามประณีต ปิ่นสีขาวบนศีรษะโดดเด่น กอปรกับฝีเท้าเชื่องช้าสบายๆ จึงเป็นที่ต้องตาคนผู้นั้นในทันที
บุรุษผู้นั้นเหลือบเห็นคุณชายสง่างามในเสื้อสีเขียวอย่างเจ้าภูเขาลู่ท่ามกลางผู้คน ในใจนึกขันคิดว่าหวานหมู จึงเดินหน้าไปหลายก้าวเพื่อเข้าใกล้อีกฝ่าย
ยามเดินผ่านเขาดูไม่ใส่ใจ แต่พริบตานั้นมือข้างหนึ่งยื่นไปทางกระเป๋าผ้าไหมที่ข้างเอวของเจ้าภูเขาลู่อย่างรวดเร็ว
ทว่าวินาทีที่มือสัมผัสโดน กระเป๋านั้นกลับหายไปอย่างกับควัน ทันทีที่ชายผู้นั้นตะลึงงันก็พบเข้ากับดวงตาสีอำพันคมกริบคู่หนึ่งแล้ว
ตึกตัก…
หัวใจพลันเต้นแรง วินาทีนั้นเขาคล้ายกับแข็งทื่อไป ความชัดแจ้งกลับคืนมาในวินาทีต่อมา ทว่าเจ้าภูเขาลู่เดินผ่านไปแล้ว
บุรุษผู้นั้นสะบัดศีรษะ นึกไม่ออกว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
ครั้นเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ เขาพลันถูกผีลวงใจ มุ่งตรงไปหาชายชราใบหน้าซูบซีดคนหนึ่ง จากนั้นหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากอกเสื้ออีกฝ่ายแล้วเดินไป มีคนรอบข้างมองเห็นภาพนี้อยู่ไม่น้อย
ชายชราผู้นั้นชะงักงัน เมื่อดึงสติกลับมารู้ตัวว่าตนเองถูกชิงเงิน จึงพุ่งเข้าไปคว้าชายผู้นั้นไว้ทันที
“เจ้าขโมยเงิน! คืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! นี่เป็นเงินใช้ช่วยชีวิตลูกชายข้า คืนมาให้ข้า!”
“ทำอะไร ข้าขโมยเงินเจ้าตอนไหน”
บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า ผลักชายชราออกไปด้วยความโมโห
ฝ่ายหลังถูกผลักไปชนเข้ากับที่ตั้งแผงลอยข้างๆ ส่งเสียงโอ้ยออกมา หลายคนรอบข้างล้อมเข้ามาชี้หน้าต่อว่าชายผู้นั้น
“เขานั่นแหละ เมื่อครู่นี้ข้าก็เห็น!”
“ใช่ เขาขโมยชัดๆ”
“รายงานทางการเลย อย่าปล่อยให้เขาหนีไป!”
การจัดการดูแลของจังหวัดเต๋อเซิ่งนับว่าไม่เลว ไม่นับว่าเย็นชาเช่นกัน มีคนประคองชายชรา และมีหลายคนคิดล้อมบุรุษผู้นั้นเอาไว้
‘แย่แล้ว เมื่อครู่ข้าทำเรื่องโง่อะไรลงไป ไม่ได้การ ต้องรีบหนี!’
“หลีกไป ใครกล้าขวางทางข้า ข้าจะต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียว”
เขาทำท่าเหวี่ยงหมัด ผลักชายคนหนึ่งตรงหน้าออกไปด้วยฝ่ามือเดียว อีกฝ่ายถูกจู่โจมโดยตรงจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะก้มจ้ำเบ้าไออย่างต่อเนื่องอยู่บนพื้น
“คนผู้นี้เป็นวรยุทธ์!”
“ทุกคนระวังตัวด้วย”
“เจ้าหน้าที่เล่า เจ้าหน้าที่อยู่ที่ใด”
“ทำร้ายคนนี่นา เขากำลังจะหนีแล้ว!”
ไม่ไกลเท่าไหร่ ลั่วหนิงซวงเห็นภาพนี้เช่นกัน สองมือกำเข้าหากันแน่น ทว่าลูบท้องแล้วกลับลังเลไม่ลงมือ
“เฮ้อ…พวกเราล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา เงินที่หามาจากน้ำพักน้ำแรงของชายชราเห็นทีจะถูกขโมยไปแล้ว คนผู้นี้เป็นวรยุทธ์ หนีไปแล้วต้องจับไม่ได้แน่ น่าเสียดายที่จอมยุทธ์เหล่านั้นเป็นเพียงจอมยุทธ์ในคำเล่าลือ ตอนนี้กลับหายไปไม่เห็น!”
ข้างๆ มีเสียงทอดถอนใจ
“ท่านแม่…”
เด็กชายมองลั่วหนิงซวงพร้อมเรียกเสียงเบา ลั่วหนิงซวงมองเด็กสองคนแล้วมองไปไม่ไกล หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนสั่งข้ารับใช้ซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดา
“ดูแลพวกเขาด้วย!”
พูดจบแล้วนางย่ำเท้าอย่างแข็งขัน หลบหลีกคนเดินถนนรอบข้าง จากนั้นกระโจนตัวไปถึงกลางกลุ่มคนทางนั้น ฝ่ามือหนึ่งคว้าหมับไปที่หัวไหล่ของชายซึ่งกำลังจะหนีไป
“หยุด!”
“รนหาที่ตาย!”
คนผู้นั้นคิดว่าเป็นบุรุษไม่รู้จักตายยุ่งไม่เข้าเรื่อง เมื่อหันศีรษะกลับไปกำลังจะลงมือ กลับถูกลั่วหนิงซวงขวางเอาไว้ อีกทั้งใช้กำปั้นจู่โจมเขาจากข้างหลัง
ปัก…
ด้วยความเจ็บปวดนี้ เขารู้ว่าผู้มาเยือนเป็นวรยุทธ์ แม้เห็นชัดว่าเป็นสตรีคนหนึ่งกลับไม่กล้าออมมือ รีบจู่โจมลั่วหนิงซวงทันที
ปัก…ปัก…ปึก…ปัก…โครม…
แผงลอยร้านหนึ่งพังทลาย เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งถูกถีบแตก ผู้ชมรอบข้างหลบหลีกไม่ต่างกับไก่บินสุนัขกระโดด
“ไอ้หยา!”
“หลบเร็ว…”
“ระวังๆ!”
…
สองคนท่วงท่าว่องไว ในสายตาคนธรรมเป็นเพียงการประมืออย่างรวดเร็ว แลกหมัดกันหลายครั้ง ยิ่งร้อนใจยิ่งลงมือรุนแรง ทั้งหมุนกายทั้งกระโดดตีลังกา
ทว่าพื้นฐานของลั่วหนิงซวงดีกว่า ถึงวิชายุทธ์ของนางจะถดถอยลงอย่างมาก แต่หลังจากเคลื่อนไหวมากกว่าสิบกระบวนท่า ก็ยังคงสามารถโค่นคู่ต่อสู้ลงได้
“แค่ก…แค่กๆๆ อึก…แค่กๆ…”
ชายผู้นั้นกุมศีรษะไออยู่บนพื้น ทรมานมากอย่างชัดเจน
“หลบไปๆ คนชั่วอยู่ที่ไหน คนชั่วอยู่ที่ไหน”
มีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมาถึง แหวกฝูงชนเข้ามา ด้วยคำบอกเล่าของคนข้างๆ เขาใช้กระบองฟาดลงที่คอของชายซึ่งอยู่บนพื้น
“เอาล่ะ!”
“จับคนชั่วไว้แล้ว”
“ดียิ่งนัก รีบจับเขาเร็ว!”
“เอ๋ จอมยุทธ์หญิงเมื่อครู่นี้เล่า”
“จริงด้วย เมื่อครู่นี้ยังอยู่เลย ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว…”
ตอนนี้ลั่วหนิงซวงหน้าซีด ออกจากกลุ่มคนแล้วหอบหายใจหนัก เมื่อถึงบริเวณที่มีคนอยู่น้อยแล้วถึงกุมท้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
ข้ารับใช้ตระกูลลั่วที่เบียดกลุ่มคนเห็นภาพนี้ตกใจตัวโยน รีบประคองนางลุกขึ้น
“คุณหนู! ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
“ท่านแม่!”
“ท่านแม่เป็นอะไรไป”
“คุณหนู พวกเรารีบกลับไปเถอะ!”
ลั่วหนิงซวงปรับลมหายใจแล้วโบกมือ
“ไม่ กระโตกกระตากไม่ได้ หาที่ให้ข้านั่งพักหน่อย!”
“ทางนั้นมีโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ประคองคุณหนูไปนั่งก่อน”
“ไปๆๆ!”
คนกลุ่มหนึ่งเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ประคองลั่วหนิงซวงที่เหมือนกับเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้วเดินเข้าไปในโรงน้ำชาอย่างระมัดระวัง
เจ้าภูเขาลู่มองกลุ่มคนที่ยังคงล้อมกันอยู่ทางนั้น จากนั้นตามพวกลั่วหนิงซวงต่อไป
ในโรงน้ำชาข้างหน้า นักเล่าเรื่องเพิ่งเล่าเรื่องหนึ่งจบลง ดื่มชาแล้วกลับไปพักที่ห้องด้านหลัง
ตอนนี้จี้หยวนกลับถึงต้าเจินแล้ว เขายืนอยู่บนถนนหน้าโรงน้ำชา ยื่นมือขวางนักเล่าเรื่องที่กลับมาจากด้านหน้า
“เอ่อ ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร”
เห็นชายหนุ่มในเสื้อสีขาวสง่างามขวางตนเองไว้ นักเล่าเรื่องพลันถามด้วยความสงสัย
จี้หยวนประสานมือคารวะ ยิ้มถามว่า
“ไม่ทราบว่าท่านรู้จักเรื่องเกี่ยวกับจอมยุทธ์เก้าคนที่ไปอำเภอหนิงอันเพื่อกำจัดเสือเมื่อประสานยี่สิบปีก่อนหรือไม่”
“อ้อ ท่านหมายถึงเก้าจอมยุทธ์ปราบเสือ นั่นเป็นเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนหรือ แน่นอนว่าข้ารู้จัก!”
“พอดีเลย ข้าขอท่านเล่าเรื่องนี้สักหน่อย และขอท่านรับไว้ด้วย!”
พูดแล้วจี้หยวนก็หยิบเงินออกจากห้าเสื้อห้าเหรียญ ยื่นให้นักเล่าเรื่อง ฝ่ายหลังยิ้มแล้วรับไป
“ได้เลยๆ!”
อย่างไรเสียก็เล่าเรื่องก่อนหน้านี้จบแล้ว ต้องเล่าเรื่องใหม่ มีคนขอนอกจากได้เงินเพิ่มขึ้นแล้วก็ถือว่าเป็นที่ชื่นชอบ แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี ทว่าเขาเงยหน้าขึ้นแล้วกลับพบว่าคุณชายเสื้อขาวที่ให้เงินเขากลับหายไปแล้ว