เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 35 หมากดำ
ตอนที่ 35 หมากดำ
“เหมือนมาก เหมือนมากอะไร”
อิ๋นจ้าวเซียนเงยหน้ามองตามสายตาอิ๋นชิง รูปปั้นเทพหลักเมืองที่นิ่งสงบทั้งมีแรงกดดันนั่งอยู่บนแท่น ความคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจ
“ท่านพ่อ…”
“ไป พวกเรากลับบ้าน!”
อิ๋นชิงไม่กล้าพูดอยู่บ้าง อิ๋นจ้าวเซียนก็ไม่เปิดเผย จูงบุตรชายเดินออกนอกศาลโดยนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง
กระทบไหล่ผู้มากราบไหว้มากมายซึ่งเดินเข้าออกศาลหลักเมือง ไม่เหลือบมองพ่อค้าทุกคนที่ตะโกนขายของอยู่นอกศาล ฝีเท้าพ่อลูกตระกูลอิ๋นเร็วยิ่งกว่าตอนมา
กระทั่งออกจากตรอกศาลเจ้า อิ๋นจ้าวเซียนจึงชะลอเท้าซึ่งเริ่มปวดอยู่บ้าง
“ชิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรเหมือนอะไร”
อิ๋นชิงสบสายตาบิดาพลางตอบอย่างกระวนกระวายอยู่บ้าง
“เมื่อครู่ผู้อาวุโสคนนั้น รูปร่างหน้าตาเหมือนเทพหลักเมืองภายในศาลมาก! ท่านพ่อ ข้ามองไม่ผิดทั้งไม่พูดเพ้อเจ้อจริงๆ!”
“อืม!”
อิ๋นจ้าวเซียนตอบรับเบาๆ ทำให้อิ๋นชิงที่เดิมเตรียมตัวถูกบิดาตำหนิอึ้งงันอยู่บ้าง
“เมื่อครู่พ่อก็รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้างจริงๆ แต่ไม่แน่ใจ”
คนทั่วไปกราบเทพหลักเมืองล้วนไม่มองใบหน้าเทพหลักเมืองโดยละเอียด กอปรกับเมื่อครู่เห็นผู้อาวุโสคนนั้นแค่สองสามครั้ง จำรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเจน อิ๋นจ้าวเซียนไม่แน่ใจ แต่อิ๋นชิงกลับจำได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ชิงเอ๋อร์ เรื่องวันนี้เองไม่อาจบอกใครก็ตาม แม้แต่ท่านแม่ของเจ้าก็ห้ามพูด จำได้หรือไม่”
“อ้อ…”
“หืม?”
“จำได้ขอรับ ท่านพ่อ…”
อิ๋นชิงเจือความไม่เข้าใจเสี้ยวหนึ่ง ทำไมแม้แต่มารดาก็บอกไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าเถียงบิดา
“อืม ชิงเอ๋อร์เจ้าต้องจำไว้ หญิงแต่งงานแล้วผมยาวอ่อนประสบการณ์ แม่เจ้าดีหน่อย แต่ก็ดีแบบจำกัด เมื่อพูดคุยกับเพื่อนบ้าน คำพูดอะไรล้วนแพร่ออกไปข้างนอก!”
คราวนี้อิ๋นชิงพอเข้าใจอยู่บ้างแล้ว
“จริงสิ ภายหน้าถ้าเจอคุณชายคนนั้นที่เจ้าพูดถึงอีก ต้องคารวะทักทาย จำได้หรือไม่”
“อืม ข้าจำได้!”
อิ๋นจ้าวเซียนพาอิ๋นชิงกลับบ้าน สิ่งที่คิดในใจคือหากครึ่งเดือนแล้วผู้อาศัยใหม่ของเรือนสันติไม่เกิดเรื่อง เขาจะพาอิ๋นชิงไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเอง!
เรื่องเทพผีบางคนเชื่อ บางคนแค่นเสียงหัวเราะ เล่าลือกันปากต่อปากมาก เห็นด้วยตาตัวเองน้อยนัก แต่ไม่อาจปฏิเสธว่าคนส่วนใหญ่ล้วนมีท่าทียอมเชื่อ ต่อให้ไม่เชื่อก็ยังวางตัวยำเกรง
สำหรับอิ๋นจ้าวเซียนแล้ว ครั้งนี้น่าอัศจรรย์อยู่บ้างจริงๆ!
…
จี้หยวนถึงบ้านแล้ว แม้ว่าตอนออกไปไม่ได้ปิดเรือนกับห้องด้านใน ใช่ว่าแค่เพราะไม่มีสิ่งของให้ขโมย แต่ยังเป็นเพราะว่าโจรคนไหนกล้ามาขโมยของในเรือนสันติบ้าง
เขาเปิดประตู หยิบกิ่งหลิวที่หักระหว่างทางออกมาจากแขนเสื้อ ม้วนแขนเสื้อขึ้นเริ่มแปรงฟันยามสาย
การแปรงฟันคือหนึ่งในเรื่องที่จี้หยวนรู้สึกว่าไม่สะดวกที่สุดหลังมาที่นี่ กิ่งหลิวใช่ว่าใช้ได้ตามสะดวก ก่อนแปรงฟันนำกิ่งหลิวมาทุบเป็นเส้น ดันสองช่วงในนั้นขึ้นมาเป็นแปรง ใช้แปรงฟันเหมือนแปรงอันเล็ก จากนั้นค่อยใช้กิ่งหลิวใหม่ที่ค่อนข้างละเอียดมาแคะซอกฟัน
หลังจากแปรงฟันอยู่นาน จี้หยวนหยิบกระบวยไม้ขึ้นมาตักน้ำครึ่งหนึ่งเข้าปาก
“อ้า… ถุย…”
เขาคายน้ำบ้วนปากสีเขียวออกมา กลั้วซ้ำอีกหลายครั้งจึงรู้สึกว่าสะอาดแล้ว
ความจริงการใช้เกลือผลลัพธ์ย่อมดีกว่าหน่อย แต่เกลือมีราคาแพง ของแบบนี้หากไม่ใช่ขุนนางผู้สูงศักดิ์ นำมาใช้แปรงฟันสิ้นเปลืองเกินไป จี้หยวนรู้ตัวว่ายังไม่มีสิทธิ์พอจะฟุ่มเฟือยขนาดนั้น
หลังจากแปรงฟันเสร็จจี้หยวนรู้สึกว่าวันนี้เวลายาวนาน ตนอาจไม่มีอะไรทำ ไม่มีอินเทอร์เน็ตและมือถือ ทั้งไม่มีคนคุ้นเคยคุยเป็นเพื่อน ออกไปก็ไม่สนุก นอกจากงานศาลเจ้าตอนกลางคืนยังพอเดินเล่นได้
‘เฮ้อ ทำตัวเหมือนคนแก่โดดเดี่ยว… เมื่อก่อนคุณปู่กับอาเขยของเราฆ่าเวลาอย่างไรกัน’
เพิ่งนึกถึงคำถามนี้ คำตอบก็กระโดดเข้าสมอง
เล่นหมาก!
ทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับที่พึ่งหลักสำคัญของตนด้วย ทำให้จี้หยวนยินดีว่าเมื่อครู่ถามเทพหลักเมืองเรื่องตำราหมากมาแล้วอย่างอดไม่ได้
จี้หยวนนึกถึงตรงนี้ พลันนั่งบนม้านั่งหินกลางลาน เหยียดแขนขวา ตั้งนิ้วกระบี่ ในใจนึกถึงหมากตัวนั้น
หลังจากเกิดความรู้สึกชาคล้ายไฟฟ้าแล่นปราดที่คุ้นเคย มายาหมากปรากฏตรงปลายนิ้วกระบี่
‘สีดำ!’
จี้หยวนใจสะท้าน แต่เดิมตัวหมากเหมือนภาพมายารางเลือน ยากแยกว่าเป็นหมากขาวหรือหมากดำ ยามนี้ตัวหมากยังเหมือนภาพมายาแต่กลับเป็นหมากดำแล้ว
ไม่เพียงแต่เปลี่ยนเป็นสีดำ ตอนนี้หมากดำยังให้ความรู้สึกคล้ายคงอยู่จริงอย่างหนึ่งตรงปลายนิ้วด้วย ทำให้จี้หยวนคิดว่าหมากตัวนี้จะ ‘วาง’ ลงบนกระดานหมากได้เมื่อไหร่อย่างอดไม่อยู่
ส่วนเพราะอะไรถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แปดส่วนคงเกี่ยวข้องกับดรรชนีกำจัดสิ่งชั่วร้ายเมื่อคืน คิดเชื่อมโยงกับสิ่งนั้นด้วยการดูดซับความเยียบเย็นที่หมุนวนบนแขนตอนนั้น ไม่ใช่เรื่องยากในการคาดเดาว่าถูกตัวหมากดูดกลืนอะไร
‘ปราณหยิน? ปราณพิภพชั่วร้าย? คงไม่ใช่ไอพิฆาตกระมัง ลองดูก่อนว่าดูดซับปราณวิญญาณได้ไหม’
ความจริงก่อนหน้านี้จี้หยวนก็มีความรู้สึกแปลกอย่างหนึ่ง ปกติยามรวมวิญญาณเหมือนตัวหมากมีแรงดึงดูดบางอย่าง แต่กลับไม่เคยดูดซับปราณวิญญาณหรือดูดซับน้อยมาก ภายหน้าต้องทำความเข้าใจช้าๆ
เรื่องคิดไม่ตกควรวางลงชั่วคราว จี้หยวนสลัดความคิดฟุ้งซ่าน เริ่มนึกถึงกระดานหมากขวานผุในใจ
นานเข้าเมื่อความคิดฟุ้งซ่านของจี้หยวนน้อยลงก็ยิ่งจดจ่อขึ้นเรื่อยๆ ภายในเรือนเล็กเริ่มมีลมพัดขึ้นมา
ลมไม่แรงแต่ต่อเนื่องไม่หยุด ล้อมรอบจี้หยวนในรัศมีหนึ่งจั้งไม่สลาย ปราณวิญญาณเขียวมากมายรวมตัวมาจากทั่วสารทิศ ใช่แล้ว รอบหมากดำมีสีเขียวขจีรวมตัวกันทีละน้อย
‘เอาล่ะ ดีมาก!’
ครั้งนี้ไม่มีใครรบกวน จี้หยวนลองดูว่ามีขีดจำกัดหรือไม่
วิ้ว… วิ้ว…
ลมยังคงขนาดเดิม แต่จี้หยวนกลับได้ยินเสียงลม กิ่งก้านต้นพุทรากลางลานส่ายสั่น เสียงสวบสาบขยับไปมาตามลมหอบ
ส่วนปลายนิ้วของจี้หยวนนอกจากตรงกลางมีหมากดำแล้ว ยังรวบรวมปราณวิญญาณเขียวขนาดใหญ่ รัศมีของมันกว้างประมาณครึ่งตัวคน เกิดลมหวนหมุนเคลื่อนเนิบช้า
เมื่อถึงระดับนี้จี้หยวนทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว จิตใจเริ่มปวดแสบ แขนเหมือนถือของหนักอย่างคานเหล็ก
ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องมีขอบเขต คนเสียดายชีวิตอย่างจี้หยวนถึงขั้นไม่กล้าดูดซับปราณวิญญาณมากขนาดนี้อยู่บ้างแล้ว
‘ทำให้หายไปส่วนหนึ่งก่อน รอบางเบาค่อยดูดซับ!’
จดจ่อความคิดนึกถึงกระดานหมาก ปราณวิญญาณเขียวโดยรอบสลายไปทีละน้อย กลายเป็นลมวิญญาณมากมายหมุนวนกลางลาน กระทั่งหายไปจนเหลือเพียงหนึ่งในสาม จี้หยวนจึงคิดเก็บตัวหมาก
จี๊ดๆ…
เริ่มจากรู้สึกเหมือนไฟฟ้าสถิต จากนั้นปลายนิ้วพลันเจ็บปวด ปราณวิญญาณเขียวถือโอกาสตามเข้าไป ความเจ็บปวดนั้นทะยานขึ้นไปตามแขน
“เฮือก…”
จี้หยวนแทบลุกขึ้นมาตามปฏิกิริยาตอบสนองทันที
อดทน!
นี่คือความรู้สึกยากจะรับอย่างหนึ่ง เป็นสัญญาณว่าร่างกายแบกรับไม่ไหว ของบำรุงกินมากไปย่อมกลายเป็นยาพิษ ยังดีว่าก่อนหน้านี้ฝึกความอดทนในอารามเทพภูเขาไม่น้อย ความเจ็บปวดแค่นี้ยังทนไหว
จี้หยวนประคองกระแสลม พยายามไม่ปล่อยให้ปราณวิญญาณเหลือเพียงเล็กน้อย แต่ชักนำให้หมุนวนไปมาภายในร่าง คอยลดแรงกดดันลงช้าๆ
ผ่านไปประมาณสิบกว่านาที ความเจ็บปวดจึงเริ่มบรรเทา ยามนี้จี้หยวนตัวสั่นแล้ว เป็นตะคริวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวอยู่บ้าง
‘ยังดีว่าเราฉลาด สลายปราณวิญญาณเขียวส่วนใหญ่ก่อน มิฉะนั้นทำตัวเองตายเช่นนี้ก็โง่เกินไปแล้ว!’
ผ่านไปอีกสิบกว่านาที การตอบสนองภายในกายสงบลงทั้งหมด
“ฮู่ว… ฮู่ว… ฮู่ว…”
จี้หยวนหอบหายใจใหญ่ ผ่อนคลายการเต้นหัวใจกับร่างกายอ่อนเพลียของตน นั่งหมอบบนโต๊ะหินไม่อยากขยับอย่างเกียจคร้าน
รู้สึกว่าลมโดยรอบสลายไปช้าๆ กิ่งก้านต้นพุทรากลางลานโบกไหวอย่างปีติยินดี