เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 352 พลังแฝงหน้าไม่อาย
ตอนที่ 352 พลังแฝงหน้าไม่อาย
รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าภูเขาลู่ไม่เหมือนผู้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแขนขาบาง อย่างน้อยคงเป็นปัญญาชน
แต่เดิมบนยุทธภพมียอดบุคคลประหลาดมากมาย วิชายุทธ์อัศจรรย์บางส่วนไม่ได้ใช้สภาพร่างกายมาแยกแยะ ตะเกียบบนพื้นยังสั่นไหว พอจะพิสูจน์ว่าผู้ลุกขึ้นมาเป็นยอดฝีมือ
ได้ยินเสียงเจือแววเหน็บแนมชัดเจนของเจ้าภูเขาลู่ เจียงเหมิ่งหรี่ตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางกล่าว
“เจ้าเป็นยอดฝีมือสายใด คนผู้นี้วางยาพิษลงในสุราของข้าคนแซ่เจียงกับสหาย ทั้งยังถือดาบกระทำการชั่วร้าย ผลลัพธ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะหาเรื่องใส่ตัว ไม่จำเป็นต้องถึงมือคนนอกกระมัง”
เจ้าภูเขาลู่ยิ้มแล้ว
“ไม่หรอกๆ ความจริงข้าน้อยไม่ได้สนใจคนแซ่ฝาน แต่คนตรงนั้นเคยติดหนี้ข้าเล็กน้อย เจ้าอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาพอดี ถือว่าช่วยกันใช้คืนแล้วกัน”
หลันหนิงเค่อแค่นเสียงเย็นชาแล้วลุกขึ้นมา
“หึ เจ้าพูดถึงข้าหรือ ทำไมข้าจำไม่ได้ว่าเคยเจอเจ้าที่ไหน ทั้งจำไม่ได้ว่าเคยติดค้างอะไรเจ้า”
เจ้าภูเขาลู่ไม่เอ่ยวาจา สองมือซ้ายขวาสะบัดแขนเสื้อ เสื้อผ้าบนตัวถึงกับเปลี่ยนสีช้าๆ จากชุดเขียวก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน ลายดำเมฆเคลื่อนตรงปลายแขนเสื้อแผ่ขยาย ราบกับลายบุปผาแถบหนึ่ง
ภาพนี้ทำให้จอมยุทธ์โดยรอบเห็นแล้วตกตะลึงในใจ
“คนผู้นี้ใช้วิชาเป็นด้วยหรือ”
“หรือว่ากำลังเล่นกล”
“ไม่แน่ใจ แปลกประหลาดอยู่บ้าง”
“ต้องดูว่าคนแซ่เจียงกับคนแซ่หลันนั่นรับมืออย่างไร”
…
เสียงคนอื่นแผ่วเบา นอกจากสงสัยแล้วยังเผยแววมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แรงกดดันของเจียงเหมิ่งกับหลันหนิงเค่อเพิ่มขึ้นมาก
การเปลี่ยนแปลงสีเสื้อผ้าสะดุดตาเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจมีผงพิษเคลือบอยู่ หรือถ้าเป็นนักพรตมีวิชาจริงคงตึงมือมาก
เวลานี้เจ้าภูเขาลู่มองเจียงเหมิ่ง สายตากวาดมองหลันหนิงเค่อ
“รูปลักษณ์ข้าตอนนี้แน่นอนว่าเจ้าจำไม่ได้ ขอบอกใบ้เจ้าสักหน่อย เผื่อเจ้ารู้ความเป็นมาของข้า ปีวัวไฟต้นฤดูใบไม้ผลิ หน้าอารามเทพภูเขาบนเขาโคเทพ ข้าฟังคำสอนของนายท่านไว้ชีวิตพวกเจ้า ด้วยถือเป็นสัญญา หลังจากพวกเจ้าเก้าคนเอาตัวรอดมาได้ ชีวิตนี้ตั้งปณิธานผดุงคุณธรรม วันหน้าให้ข้าลงเขามาตรวจพวกเจ้าด้วยตัวเองว่าทำตามสัญญาหรือไม่ หลันหนิงเค่อ นึกขึ้นได้หรือยัง”
เจ้าภูเขาลู่พูดช้ามาก แต่ทุกคำเหมือนค้อนหนักฟาดใจหลันหนิงเค่อ ดวงตาเขาเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตรงตาขาวยิ่งคั่งโลหิต นานเข้าลมหายใจยิ่งกระชั้นถี่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดอย่างมาก
เขานึกออกแล้ว นึกถึงคืนนั้นเมื่อหลายปีก่อน นึกถึงเหตุการณ์นอกอารามเทพภูเขาบนโคเทพ ทั้งมองสีเสื้อผ้าของบัณฑิตตรงหน้า
“นะ นี่มัน…”
หลันหนิงเค่อตื่นตระหนกมาก ขยับตัวถอยหลังช้าๆ ความทรงจำบางอย่างตนคิดว่าลืมไปแล้ว ความจริงแค่หยั่งรากลึกในใจเท่านั้น ยามนี้วิกฤติเข้ามาใกล้ ทุกอย่างล้วนนึกขึ้นมาได้
“พี่หลัน คนผู้นี้มีภูมิหลังอย่างไร”
เจียงเหมิ่งจ้องเจ้าภูเขาลู่เขม็ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายบอกความเป็นมา เขาอยากเอ่ยถามหลันหนิงเค่อ แต่เห็นชัดว่าฝ่ายหลังอารมณ์ไม่มั่นคง
“พะ พี่เจียง ขะ เขาอาจไม่ใช่คน…”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
ด้วยหลันหนิงเค่อหวาดกลัวอย่างรุนแรง ไม่เพียงเสียงแผ่วเบา รูปประโยคยังติดๆ ขัดๆ
“เขาบอกว่าข้าอาจไม่ใช่คน!”
เจ้าภูเขาลู่แสยะยิ้ม นิ้วมือสองข้างโค้งเข้าหากัน เหยียดกางกรงเล็บจนเส้นเอ็นเนื้อเยื่อปูดโปน เงยหน้ากล่าวเสียงทุ้มต่ำแต่กลับดังกังวาน
“ข้าเองก็ใช้หมัดพยัคฆ์ ดูให้ดี”
ยามสิ้นเสียงเจ้าภูเขาลู่อ้าปากคำราม
“โฮก…”
ตูม…
ทุกคนโดยรอบอุดหูตามจิตใต้สำนึก เสียงคำรามดังก้องจนเครื่องกระเบื้องอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารสั่นสะเทือนดังสนั่น ถึงขั้นว่าแตกไปไม่น้อย
เจียงเหมิ่งยิ่งรู้สึกเหมือนสมองโดนค้อนหนักฟาดใส่ ทั้งตัวมึนงงทันที ในหูเต็มไปด้วยเสียงดังวิ้งๆๆ
ตัวคนสับสน แต่สายตายังใช้ได้ กลางดวงตาเบิกกว้างของเขา สิ่งที่เห็นคือเจ้าภูเขาลู่โค้งตัวเล็กน้อย เหวี่ยงไหล่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความรางเลือนเหมือนเห็นเสือร้ายตาดุตัวหนึ่งพุ่งตัวมาพร้อมเสียงคำรามเสียงดังโฮก… อานุภาพแผ่ซ่านเสียดลึกถึงกระดูก ราวกับเสือร้ายจู่โจมเหยื่อ
ร่างกายเจียงเหมิ่งคิดตอบสนองแต่กลับเหมือนหนักอึ้ง พริบตานั้นทุกอย่างโดยรอบเปลี่ยนเป็นเนิบช้า ไม่ทันเงื้อมือขึ้น เพียงครู่เดียวตรงหน้าอกถูกอีกฝ่ายพุ่งตัวซัดเต็มแรง
ปึง… กร๊อบ…
ท่ามกลางเสียงกระดูกลั่น หน้าอกเจียงเหมิ่งเว้าเป็นโพรงเข้าไป จากนั้นค่อยรู้สึกปวดตรงอกข้างซ้าย
ตูม…
กำแพงหน้าต่างชั้นสองของหอเมตตาแตกกระจาย เงาร่างหนึ่งพุ่งไปพร้อมเศษไม้ หลังจากทะลวงกำแพงไม้หอสุรา เขาลอยออกไปเจ็ดแปดจั้งก่อนทิ้งตัวลงบนถนน
ตอนนี้เจียงเหมิ่งยังไม่ตาย ทั้งตัวสั่นเทาอยู่ข้างนอก ปากกระอักเลือดแดงสดพูดไม่ออก สองมือสองเท้าเหมือนกระดูกแตกละเอียดไม่อาจขยับเขยื้อน
“ฮะ… เฮือก… แค่ก…”
สายตาจ้องมองชั้นสองของโรงเตี๊ยมเขม็ง เมื่อก้มหน้าลงมองหน้าอกตัวเอง ตรงนั้นมีช่องโหว่รูหนึ่ง
คุณสมบัติทางกายอันแข็งแกร่งทำให้เขายืนหยัดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยทรุดกองกับพื้นสิ้นลมจากไป
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยม เจ้าภูเขาลู่ยกกรงเล็บชุ่มเลือดข้างหนึ่งขึ้น กลางฝ่ามือมีหัวใจเปื้อนเลือดดวงหนึ่งเต้นไม่หยุด
“อ้อ ที่แท้หัวใจของคนผู้นี้ยังเป็นสีแดง”
กระบวนท่าเสือดำควักดวงใจนี้เหี้ยมโหดและน่าตกตะลึงเกินไป ทุกคนโดยรอบขนพองสยองเกล้าแต่กลับเงียบสนิท
หลันหนิงเค่อได้สติกลับมาก่อน แต่ไม่มีความกล้าต้านทาน ไม่เอ่ยวาจาทิ้งท้ายใดๆ พุ่งตัวหนีจากหอสุราผ่านช่องโหว่ซึ่งเจียงเหมิ่งลอยออกไป โคจรปราณดั้งเดิมทั้งตัวถึงขีดสุด หนีอย่างบ้าคลั่งด้วยท่าทางเอาชีวิตรอด
งานชุมนุมยุทธภพอะไร ตำแหน่งบนยุทธภพอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างมีหรือจะสำคัญกว่าชีวิตตน
หลันหนิงเค่อไม่สนใจสิ่งใด มุ่งหน้าอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้วิชาตัวเบายิ่งบรรลุถึงระดับสูงสุดของชีวิต คล่องแคล่วดุจเหาะเหินอย่างแท้จริง
เขามีความคิดไปอารามจริงๆ แต่หลันหนิงเค่อสลัดความคิดชั่วพริบตา ด้วยเขาไม่กล้าเดิมพัน ไม่กล้าฝากความหวังกับรูปปั้นร่างทอง
ความคิดแรกของหลันหนิงเค่อคือหนีไปเรือนรับรองแสงคล้อย ที่นั่นมีลั่วหลิงยอดบุคคลในบรรดายอดฝีมือฟ้าประทาน มีแค่เขาที่ขวางปีศาจเช่นนี้ได้
ต่อให้เจ้าสำนักลั่วต้านไม่อยู่ การไปทิศทางนั้นย่อมไม่ผิด หลันหนิงเค่อรู้ว่าที่นั่นยังมี ‘หอเมฆาหยก’ กิจการสำคัญในจังหวัดตู้หมิงของหอเมฆา ลู่เฉิงเฟิงต้องอยู่ที่นั่นแน่!
‘ข้าตายไม่ได้ ต่อให้ตายก็ไม่อาจตายคนเดียว! ลู่เฉิงเฟิง ลู่เฉิงเฟิงมีส่วนด้วย ปีนั้นเขาเองก็มีส่วน!’
เขาคำรามไร้เสียงในใจ ใบหน้าซึ่งสานพันด้วยความหวาดกลัวและตื่นเต้นดูเหี้ยมเกรียมยิ่งกว่าเดิม
บนชั้นสองของหอสุรา เจ้าภูเขาลู่มองหลันหนิงเค่อหนีออกไปอย่างบ้าคลั่งแต่ไม่ตามทันที หากแต่เดินมาข้างกำแพงซึ่งทะลวงเป็นช่องโหว่ มองเจียงเหมิ่งซึ่งสิ้นลมอยู่ข้างนอก ทั้งมองคนด้านในซึ่งเงียบสนิท สุดท้ายค่อยก้มหน้ามองฝานทงซึ่งตื่นตระหนกเช่นกัน แต่ส่วนลึกของนัยน์ตากลับเผยแววยินดี
“อะๆๆ… อ๊าก… ไว้ชีวิตด้วย!”
“จอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วย! ไว้ชีวิตด้วย!”
“พวกเราเป็นแค่บ่าวของหลันหนิงเค่อ…”
“พวกเราไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้อะไรทั้งนั้น!”
ตึงๆๆ…
ผู้ติดตามสองคนของหลันหนิงเค่อคุกเข่าทันที ร้องไห้จ้าพลางโขกหัวไปทางเจ้าภูเขาลู่ไม่หยุด
แต่เจ้าภูเขาลู่กลับไม่สนใจพวกเขาโดยสิ้นเชิง หากแต่โยนหัวใจซึ่งยังเต้นอยู่ในมือทิ้งลวกๆ ตกลงตรงหน้าฝานทงพอดี
“เดิมข้าไม่ฆ่าเจียงเหมิ่งก็ย่อมได้ แต่ข้าถือว่าเคยติดค้างน้ำใจคนตระกูลฝานของพวกเจ้าเล็กน้อย ในเมื่อเจ้าอยากให้เขาตายขนาดนี้ เช่นนั้นเขาก็ตายซะเถอะ”
ประโยคนี้ไม่มีเหตุไม่มีผล เจ้าภูเขาลู่เองไม่มีความคิดอธิบายอย่างชัดเจน กล่าวประโยคนี้พร้อมทิ้งหัวใจดวงนั้นไว้ จากนั้นค่อยกระโดดแผ่วเบาออกจากโรงเตี๊ยมไป
กระทั่งเจ้าภูเขาลู่จากไป คนในโรงเตี๊ยมค่อยหน้ามีเลือดฝาดอีกครั้ง ตอนนี้หลายคนเพิ่งกล้าผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ ความกดดันเมื่อครู่มากเกินไปจริงๆ มากจนเหมือนเด็กคนหนึ่งยืนตรงหน้าเสือร้ายลำพัง
“คนเมื่อครู่เป็นยอดฝีมือฟ้าประทานหรือ”
“ไม่ผิดแน่ เกรงว่าคงเป็นพวกร้ายกาจในบรรดายอดฝีมือฟ้าประทาน!”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว โหดเหี้ยมยิ่งนัก ถึงกับควักหัวใจของเจียงเหมิ่งพยัคฆ์ร้ายริมฝั่งออกมาโดยตรง!”
“หึ ตอนนี้นอนเป็นแมวตายอยู่นอกหอแล้ว”
“คนผู้นั้นรู้จักกับตระกูลฝานหรือ”
“ไม่ผิดแน่”
“คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว…”
ฝานทงมองหัวใจบนพื้นอย่างอึ้งงัน จนถึงตอนนี้มันเพิ่งหยุดเต้น ด้านข้างมีจอมยุทธ์เข้ามาประคองเขา
“จอมยุทธ์ฝาน ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ รีบลุกขึ้นๆ!”
“ยินดีกับจอมยุทธ์ฝานซึ่งได้ชำระแค้นใหญ่หลวง!” “ใช่”
…
กลางคืนเงียบสงัด แน่นอนว่าเสียงการต่อสู้ดังสนั่นย่อมดึงดูดคนอื่น แต่ผู้มาเร็วกว่าเจ้าหน้าที่ทางการก้าวหนึ่งคือยมทูตดำซึ่งหอบลมทมิฬมา
เทพราตรีสองคนลอยมาหยุดเท้าอยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของเจียงเหมิ่ง ขมวดคิ้วมองช่องโหว่ตรงหน้าอกเจียงเหมิ่งกับมองไปทางหอเมตตา
“เสียงคำรามเมื่อครู่มาจากที่นี่เอง”
“อืม”
ยมทูตดำสองคนกวาดมองโดยรอบ ไม่รู้สึกถึงปราณร้ายชั่วคราว ทั้งหันกลับมามองร่างไร้วิญญาณของเจียงเหมิ่ง วิญญาณใหม่ซึ่งสับสนงงงวยกำลังลอยออกจากร่าง กลายเป็นว่าบนวิญญาณของเจียงเหมิ่งกลับมีปราณชั่วร้ายพันรอบ
“หึ จอมยุทธ์มีคนดีไม่เท่าไหร่ดังคาด”
“นำตัวไปก่อน!”
ยมทูตดำหนึ่งในนั้นพลันยื่นมือ ดึงวิญญาณเจียงเหมิ่งออกจากร่าง เมื่อใช้ด้ามดาบเคาะหน้าผาก เจียงเหมิ่งก็ตามหลังพวกเขาไปอย่างเหม่อลอย
แม้ว่าเจียงเหมิ่งไม่ใช่คนท้องถิ่น แต่เมื่อเจอแล้วย่อมไม่ปล่อยให้เป็นผีเร่ร่อนอยู่ข้างนอก
“เสียงคำรามนั้นแปลกอยู่บ้าง หรือว่าเป็นปีศาจร้ายแฝงตัวเข้ามาในเมือง จำเป็นต้องตรวจสอบโดยละเอียด”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น!”
ผู้ลาดตระเวนราตรีสองคนคุยกันสองสามประโยคแล้วกวาดมองโดยรอบ ปราณหยินอบอวลปะทะปราณหยางแกร่งของจอมยุทธ์ที่เหลืออยู่ครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ ในสายตาเหมือนเห็นหมอกควันละเอียดก่อตัว ในความรางเลือนเผยภาพหลันหนิงเค่อวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
“ตรงนั้น!”
“ไป!”
เทพราตรีสองคนเยื้องย่าง กลายเป็นเงาผีเลือนรางสองสาย ไล่ตามทางซึ่งหลันหนิงเค่อวิ่งหนีไป
…
ตอนนี้หลันหนิงเค่อไม่สนใจการผลาญปราณดั้งเดิมหรือการรักษาพลังต่อสู้ที่จำเป็นอะไรแล้ว เขารู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปีศาจแน่นอน ถ้าต่อต้านก็คือตาย
โชคดีว่าการทุ่มสุดตัวกระตุ้นพลังแฝง วิชาตัวเบาของเขาทะลวงขีดจำกัด ไม่นานก็เกือบถึงเรือนรับรองแสงคล้อย
“เจ้าสำนักลั่ว เจ้าสำนักลั่วหลิง… มีจอมยุทธ์มรรคมารตามล่าข้า เจ้าสำนักลั่วหลิงโปรดลงมือ เจ้าสำนักลั่ว ช่วยด้วย…!”
“ลู่เฉิงเฟิง… ลู่เฉิงเฟิงเจ้ารีบออกมา ศัตรูของเจ้ากับข้าบุกมาแล้ว ยังไม่รีบมาช่วยอีก…!”
เกียรติยศอะไร มารยาทอะไร ตอนนี้หลันหนิงเค่อไม่สนใจอะไรแล้ว เขาโคจรปราณดั้งเดิม นึกอะไรได้ก็ตะโกนอย่างนั้น ตะโกนพลางพุ่งตัวไปทางเรือนรับรองแสงคล้อย