เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 353
ตอนที่ 353
ตอนนี้เวลาไม่ถือว่าเร็วหรือช้าเกินไป หลายบ้านถือเป็นเวลาอาหารเย็น เรือนรับรองแสงคล้อยก็เช่นกัน
งานชุมนุมยุทธภพจังหวัดตู้หมิงครั้งนี้มีอีกชื่อว่างานชุมนุมยุทธภพรัฐจี เจ้าสำนักสองของสำนักเขาแสงคล้อยเป็นผู้จัด ส่วนลั่วหลิงกับลั่วเฟิงถือเป็นผู้มีหน้ามีตาของสำนักเขาแสงคล้อย ทุกคนมาจังหวัดตู้หมิง ตอนนี้กำลังกินข้าวในเรือนรับรอง
“เจ้าสำนักลั่ว เจ้าสำนักลั่วหลิง… มีจอมยุทธ์มรรคมารตามล่าข้า เจ้าสำนักลั่วหลิงโปรดลงมือ เจ้าสำนักลั่ว ช่วยด้วย…!”
เสียงตะโกนลั่นของหลันหนิงเค่อดังมาแต่ไกล ทำให้ลั่วหลิงกับลั่วเฟิงต่างหยุดตะเกียบ
“ออกไปดูกันว่าใครร้องขอความช่วยเหลือ”
“อืม”
เพิ่งสิ้นเสียงบนที่นั่งว่างเปล่าแล้ว วิชาตัวเบาของทั้งสองคนโดดเด่นอย่างยิ่ง รัวปลายเท้าผ่านสวนดอกไม้ก่อนกระโดดออกจากกำแพงเรือน โรยตัวลงตรงหน้าหลันหนิงเค่อ
หลันหนิงเค่อกำลังส่งเสียงตะโกน แต่พลันเห็นว่าเบื้องหน้ามีเงาคนวาบผ่าน เขาถูกทำให้ตกใจสะดุ้งโหยงทันที
“อ๊าก…”
ด้วยตื่นตระหนกมาตลอดทาง กอปรกับใช้พลังกายไปมาก ยามลนลานย่อมรักษาสมดุลไม่อยู่ ยอดฝีมือซึ่งฝึกยุทธ์มานานปีคนหนึ่งถึงขั้นล้มลงด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง
เงาร่างลั่วหลิงวาบไหว ประคองหน้าอกหลันหนิงเค่อ ทั้งมองคนผู้นี้
“เจ้าเป็นคนร้องขอความช่วยเหลือหรือ”
“เจ้าสำนักลั่วๆ! เจอท่านก็ดีแล้ว! ท่านจำเป็นต้องช่วยข้านะ มีคนเถื่อนตามฆ่าสหายร่วมยุทธภพต่อหน้าคนมากมาย เจียงเหมิ่งตายแล้ว เขาต้องมาฆ่าข้าแน่ๆ!”
หลันหนิงเค่อพยายามเล่าเหตุการณ์อย่างตื่นตระหนก จากนั้นค่อยมองโดยรอบ ทั้งเห็นลู่เฉิงเฟิงกับพวกศิษย์หอเมฆากำลังวิ่งมาจากถนนอีกด้าน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นลู่เฉิงเฟิงปรากฏตัว หลันหนิงเค่อยินดียิ่งกว่าเห็นลั่วหลิงกับลั่วเฟิง บนหน้าฉายแววตื่นเต้นเหมือนวิกลจริต
“ฮะ เฮ้ย… ลู่เฉิงเฟิง ลู่เฉิงเฟิง! ข้าอยู่ตรงนี้ รีบมาเร็ว!”
ลั่วเฟิงขมวดคิ้วมองท่าทางตอนนี้ของหลันหนิงเค่อ รู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ค่อยปกติอยู่บ้าง ส่วนลั่วหลิงไม่ได้ช่วยประคองหลันหนิงเค่อเช่นกัน แค่รอเขายืนมั่นคงแล้วปล่อยมือ
ลั่วเฟิงทะลวงพรสวรรค์สำเร็จเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ถือเป็นยอดฝีมือฟ้าประทานคนหนึ่ง ยอดฝีมือฟ้าประทานสองคนของสำนักเขาแสงคล้อยอยู่ตรงนี้ แน่นอนว่าไม่กลัวลูกไม้อะไร
วิชาติดตัวของลู่เฉิงเฟิงย่อมไม่แย่ ก้าวเท้าไร้ร่องรอยครู่หนึ่งก็เยื้องย่างเข้ามาใกล้ เดินมาถึงตรงหน้าพวกหลันหนิงเค่อ ตอนนี้บ่าวเรือนรับรองแสงคล้อยถือโคมไฟออกมาส่องโดยรอบ
ลู่เฉิงเฟิงประสานมือคารวะลั่วหลิงกับลั่วเฟิง
“เจ้าสำนักลั่ว เจ้าสำนักสาม!”
สองคนนี้ต่างเป็นผู้ทรงอิทธิพลบนยุทธภพ แค่กระทืบเท้าก็ทำให้คนบนยุทธภพรัฐจีสั่นสะท้าน ไม่ว่าเจอกันเวลาใดล้วนต้องมีมารยาท
“อืม เขาบอกว่ามีศัตรูร่วมกันกับเจ้ามาหาถึงที่?”
ลั่วเฟิงหรี่ตามองลู่เฉิงเฟิงกับหลันหนิงเค่อ เมื่อครู่เขาได้ยินคำพูดยามหลันหนิงเค่อเรียกลู่เฉิงเฟิง ภายหลังยังบอกว่ามีคนเถื่อนตามฆ่าสหายร่วมยุทธภพ เรื่องราวเป็นอย่างไรยังไม่ทราบแน่ชัด
“ศัตรู?”
ลู่เฉิงเฟิงมองหลันหนิงเค่อซึ่งเหมือนสุนัขไร้เจ้าของ แตกต่างจากตอนกลางวันราวกับเป็นคนละคน
“ศัตรูอะไร จอมยุทธ์หลัน ทำไมข้าคนแซ่ลู่ถึงไม่รู้ว่าเคยมีศัตรูร่วมกับเจ้า”
กล้ามเนื้อบนหน้าหลันหนิงเค่อกระตุกเล็กน้อย
“มีสิ! หึๆๆๆ เจ้าเองก็ลืมแล้วๆ ฮ่าๆๆๆ ทุกคนเหมือนกันหมด เหมือนกันหมด มาแล้ว เขาจะมาแล้ว!”
ลั่วหลิงขมวดคิ้วกำลังจะกล่าว แต่พลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาหันหน้ามองไปตรงสุดถนน
ภายใต้แสงดาวยามรัตติกาลมืดมิด ผู้สวมชุดเหลืองอ่อนคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ช้าๆ ฝีเท้าว่องไวไร้ร่องรอยท่าร่าง ดูเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง
“มาแล้ว! มาแล้ว! เขานั่นแหละ เขาควักหัวใจของเจียงเหมิ่งออกมา!”
หลันหนิงเค่อตื่นเต้นขึ้นมาทันที ตะโกนร้องเสียงหลง
เจ้าภูเขาลู่เข้ามาใกล้เหมือนเดินเล่นในสวนบ้าน ทอดมองมาทางเรือนรับรองแสงคล้อย
“หืม? ยอดฝีมือฟ้าประทานสองคน ได้ยินนายท่านเล่ามาก่อน ยอดฝีมือฟ้าประทานล้วนเป็นพวกพรสวรรค์โดดเด่นและปณิธานแกร่งกล้า คิดไม่ถึงว่าเจอถึงสองคน เลือดลมเปี่ยมท้นปราณหยางแกร่งพลุ่งพล่านจริงๆ อืม ลู่เฉิงเฟิงก็อยู่ด้วย พอดีเลย!”
ลั่วหลิงหรี่ตามองผู้มาเยือน แม้มองไม่ออกว่าวิชาติดตัวล้ำเลิศเพียงใด แต่พูดจาใหญ่โตไม่น้อย คำพูดบางประโยคฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
“เจ้าเป็นใคร พยัคฆ์ร้ายริมฝั่งเจียงเหมิ่งถูกเจ้าสังหารหรือไม่ เหตุใดถึงตามล่าหลันหนิงเค่อไม่ปล่อย หากมีความเข้าใจผิดอะไร หวังว่าเห็นแก่หน้าสำนักเขาแสงคล้อยของข้า ทุกคนนั่งลงพูดเปิดอกกันเถอะ”
ด้วยฐานะของลั่วหลิงคำพูดนี้ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง ฐานะกับกำปั้นล้วนสำคัญอย่างมาก
“ไม่ต้องวุ่นวายเช่นนั้น”
เมื่อเห็นหลันหนิงเค่อเจตนาลากลู่เฉิงเฟิงลงน้ำ เจ้าภูเขาลู่เข้าใจแล้วว่าคนผู้นี้ไม่มีจิตสำนึก เขาไม่ต้องกังวลอะไร กล่าวคำพูดนี้จบแล้วประชิดตัวหลันหนิงเค่อเหมือนภูตผี
“หยุดมือ!”
ลั่วหลิงลงมือเหมือนสายฟ้าแลบ ยื่นมือออกหมัดแขนซ้ายซัดฝ่ามือ เจตนาบีบผู้มาเยือนจนถอยร่น แต่เจ้าภูเขาลู่กลับรับด้วยมือเดียว ผละหมัดกับฝ่ามือออกไป
“หืม?”
ลั่วหลิงกับลั่วเฟิงตกตะลึง ฝ่ายแรกอาศัยแรงส่งจากการประมือบิดเอวเปลี่ยนท่า พุ่งวาบมาอยู่ตรงหน้าหลันหนิงเค่อ ขณะเดียวกันฝ่ายหลังพลันกระโดด เงาร่างกลางอากาศเหมือนผีเสื้อเริงระบำ ยามหมุนตัวลงพื้น สองมือยังซัดฝ่ามือใส่เจ้าภูเขาลู่อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันลั่วหลิงสลับหมัดกับฝ่ามือแล้วซัดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่หยั่งเชิงอีก หากแต่โจมตีเต็มกำลัง
วู้ม… วู้ม…
ยอดฝีมือฟ้าประทานสองคนก่อลมหมัดกับฝ่ามือจนเกิดเสียงหวีดหวิว
ฟุ่บ… เพียะ… ปึง… เพียะ…
เจ้าภูเขาลู่เบี่ยงร่าง สะบัดมือ สะบัดแขนเสื้อ แทงศอก…
เพียงครู่เดียวเจ้าภูเขาลู่ประมือกับสองเจ้าสำนักตระกูลลั่วสิบกว่าครั้ง นานเข้าเสียงกับการเคลื่อนไหวยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นว่าพื้นอิฐใต้ฝ่าเท้ายังแตกระแหง
ต้านยอดฝีมือฟ้าประทานสองคนโดยลำพัง ทั้งหนึ่งในนั้นยังมีลั่วหลิงด้วย!
ภาพตรงหน้าทำให้ลู่เฉิงเฟิงกับคนโดยรอบตกตะลึงไม่หยุด มีแค่หลันหนิงเค่อไม่เผยแววผิดคาดนัก ตอนนี้เขาเริ่มหายใจทั่วท้อง สีหน้าไม่วายตึงเครียด สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด
“สู้ได้ไม่เลว!”
เจ้าภูเขาลู่กล่าวเสียงเย็น สะบัดแขนเสื้อผลักลั่วหลิง ซัดฝ่ามือใส่หลังลั่วเฟิงยามหันมาชั่วพริบตา ทั้งยิ้มประมือกับเขา
ปึง… กร๊อบ…
ลั่วเฟิงรู้สึกเพียงพลังฝ่ามือโหมกระหน่ำถาโถม กระดูกมือข้างขวาแตกร้าวเอ็นกล้ามเนื้อฉีกขาด หลังจากพลิกตัวกลางอากาศสี่ห้ารอบ เขาโรยตัวลงพื้นแต่ยังถอยหลังไม่หยุด เมื่อทรงตัวได้แขนข้างหนึ่งทิ้งตัวลงด้านข้าง ทั้งยังสั่นเทาเล็กน้อย
“น้องสามเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ลั่วหลิงกล่าวอย่างประหม่า ลั่วเฟิงกลับฝืนตอบ
“ไม่เป็นไร!”
เจ้าภูเขาลู่ยิ้มเล็กน้อย
“พวกเจ้าสองคนถือว่าไม่เลว นับว่าฝีมือร้ายกาจ”
ขณะกล่าวเขาพุ่งตัวมาข้างหน้า ลั่วหลิงระเบิดปราณอีกครั้ง กระตุ้นปราณดั้งเดิมทั้งตัวถึงขีดสุด เงาร่างกับการโจมตีดุดันกว่าเมื่อครู่สามส่วน ทยอยพุ่งวาบรอบตัวเจ้าภูเขาลู่ ลงมือด้วยหมัดเท้าซึ่งเลือนรางเหมือนเสี้ยวเงา คล้ายต้านทานคู่ต่อสู้อยู่ลำพัง
แต่สำหรับคนระดับลู่เฉิงเฟิงกับหลันหนิงเค่อ มองออกว่าลั่วหลิงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว ถึงขั้นว่าบีบอีกฝ่ายขยับตำแหน่งไม่ได้สักก้าว
“เจ้าสำนักลั่ว ข้าช่วยท่านเอง!”
ลู่เฉิงเฟิงตะโกนลั่น กระตุ้นปราณดั้งเดิมเผยฝีเท้าไร้ร่องรอย ใช้ท่วงท่าดุดันถึงขีดสุดประชิดตัวเจ้าภูเขาลู่ชั่วพริบตา
“ฮ่า…”
ในเสียงตะโกนแฝงปราณดั้งเดิมมหาศาล ซัดหมัดสะท้านคีรีจนเกิดเสียงแหวกผ่านอากาศ
ปึง… ปึง… ปึง… ปึง…
เมื่อซัดหมัดออกไป เงาหมัดต่อเนื่องไม่หยุด
ในเมื่อคนผู้นี้ไม่ยอมขยับตัวตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าอย่างนั้นถือว่าเป็นเป้านิ่ง ลู่เฉิงเฟิงนึกภาพคนตรงหน้าเป็นตอไม้ใหญ่ภายในหอเมฆาแล้ว ใช้พลังหมัดดุจพายุฝนกระหน่ำ เตรียมซัดอีกฝ่ายเหมือน ‘ขุดรากถอนโคน’
ลั่วหลิงกับลั่วเฟิงไม่หวังว่าลู่เฉิงเฟิงจะลงมือ แต่คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้กลับมีฝีมือเช่นนี้
ลั่วเฟิงทนเจ็บกลับเข้าสนามรบอีกครั้ง ใช้มือซ้ายกระตุ้นพลังฝ่ามือช่วยเหลือ การโจมตีของลู่เฉิงเฟิงแข็งแกร่งดุดัน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ยอดฝีมือฟ้าประทาน การโคจรลมปราณคือจุดอ่อน เมื่อพลังหมัดสิ้นสุดจะอ่อนแอลงทันที
ลั่วหลิงมั่นใจเต็มเปี่ยม ปราณแกร่งฟ้าประทานพันรอบสองแขน ไม่ทุ่มเทปราณดั้งเดิมกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง พยายามกำราบศัตรูภายในเวลาอันสั้น
แต่หลันหนิงเค่อหนาวเยือกในใจครึ่งหนึ่งแล้ว หลังจากลู่เฉิงเฟิงร่วมโจมตี เขาพบว่าปีศาจนั่นยังทยอยเหลือบมองเขา การแสดงออกทางสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มตลอด
‘ต้านไม่อยู่! พวกเขาต้านไม่อยู่!’
เมื่อความคิดพังทลายหลันหนิงเค่อถึงกับเผ่นแน่บ วิ่งตะบึงบนท้องถนนอีกครั้ง
ตึง…
เพิ่งวิ่งออกไปสิบกว่าก้าว เขาพลันชนอะไรบางอย่าง หลันหนิงเค่อก้นกระแทกพื้น เงยหน้ามองเห็นเจ้าภูเขาลู่สวมชุดลายเมฆขดพื้นเหลืองแสร้งยิ้ม
“เตรียมวิ่งหนีไปไหน”
ลั่วหลิง ลั่วเฟิง ลู่เฉิงเฟิงที่อยู่อีกด้านต่างมองมาทางนี้เหมือนตกตะลึง ความรู้สึกพ่ายแพ้เด่นชัดผุดขึ้นมา ศัตรูที่เมื่อครู่ยังประมือกัน เพียงพริบตาก็หายไปตรงหน้า ทั้งปรากฏตัวห่างไปหลายสิบก้าวราวหายวูบ รู้สึกเหมือนว่าเมื่อครู่แค่กำลังเล่นสนุกกับพวกเขาเท่านั้น
“วะ ไว้ชีวิตข้าเถอะ… ภะ ภายหน้าข้าจะทำตัวกล้าหาญ ผดุงคุณธรรมนำหน้า ทำตามสัญญา ข้าจะแก้ไขความผิด จริงสิ ตระกูลฝาน ข้าจะคืนเงินตระกูลฝาน ข้าจะช่วยคนตระกูลฝานจนกลับมารุ่งโรจน์ ขะ ข้าจะยอมรับผิดโดยดี ข้าจะ…”
หลันหนิงเค่อร้องขอชีวิตพร้อมรับปากอย่างต่อเนื่องทันที พูดเป็นพรวน ทั้งคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าผากกระแทกจนเลือดอาบแล้วยังไม่หยุด
เจ้าภูเขาลู่มองพวกลั่วหลิง
“ได้ยินแล้วกระมัง”
ขอเพียงสมองไม่เสื่อม คำพูดนี้สามารถอธิบายหลายคำถาม อย่างน้อยหลันหนิงเค่อคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไรแน่
เจ้าภูเขาลู่ยิ้มระรื่นพลางประคองหลันหนิงเค่อซึ่งยังอยากโขกศีรษะต่อ
“ลุกขึ้นๆ อย่าโขกศีรษะเลย”
เมื่อเห็นคนที่ยืนตรงหน้าสีหน้าซีดเผือดเหงื่อโคลนเต็มหน้า เจ้าภูเขาลู่ยังจับแขนเสื้อเช็ดคราบเลือด เหงื่อ ฝุ่นผงตรงหน้าผากเขาเล็กน้อย
“ดูเจ้าสิ อย่าทำให้ตัวเองสกปรกเลย”
เมื่อเสียงนี้เพิ่งสิ้นสุด ชั่วพริบตายามหลันหนิงเค่อผ่อนคลายจิตใจ
“โฮก…”
เจ้าภูเขาลู่พลันอ้าปาก เผยศีรษะพยัคฆ์เหมือนภาพมายา
“อ๊าก…”
ยามหลันหนิงเค่อตะโกนอย่างตื่นตระหนก เจ้าภูเขาลู่กลืนเขาลงท้องภายในคำเดียว ทุกอย่างเร็วเหมือนภาพลวงตา
คนที่เหลือต่างอึ้งงันอยู่กับที่ ส่วนลู่เฉิงเฟิงตัวสั่นก่อนค้างแข็ง ด้วยพริบตานี้คนที่กลืนหลันหนิงเค่ออยู่ตรงหน้าตนแล้ว ห่างกันแค่สองฝ่ามือ
เหงื่อเย็นหลั่งออกมาทันที สันหลังยิ่งเปียกชุ่ม ลู่เฉิงเฟิงรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครอยู่รางๆ
เจ้าภูเขาลู่ยิ้มกล่าวกับลู่เฉิงเฟิง
“กลัวหรือ”
ลู่เฉิงเฟิงข่มความรู้สึกอยากวิ่งหนี กดเส้นเสียงสั่นเทาก่อนเอ่ยตอบ
“แน่นอนว่ากลัว!”
“ได้ยินว่าหลายปีนี้เจ้าแทบไม่เคยออกจากอำเภออวี้ชาง คิดเห็นเรื่องสัญญาที่มีต่อข้าว่าอย่างไร”
ลู่เฉิงเฟิงรู้ตัวว่านี่คือช่วงเวลาเป็นตาย แม้ว่าหนาวสะท้านรุนแรง แต่ความในใจกลับปลดปล่อยออกมา
“ตระกูลมาก่อนคุณธรรมตามหลัง หอเมฆาตระกูลข้าไม่มั่นคงอันตรายรอบด้าน สำหรับข้าเวลานี้หนทางผดุงคุณธรรมก็คือรักษาตระกูลปกป้องครอบครัว!”
เจ้าภูเขาลู่กลอกตาทำหน้าครุ่นคิด ไม่เอ่ยวาจา หากแต่มองไปสุดถนน
“ปีศาจแห่งใดมากระทำการชั่วร้ายที่นี่”
“เจ้าปีศาจรนหาที่ตาย!”
เสียงตวาดดังมาจากสุดถนนเข้าหูเจ้าภูเขาลู่ เห็นชัดว่าปราณปีศาจเมื่อครู่ถูกเทพราตรีสังเกตเห็นแล้ว
“เหอะๆๆ ไม่ระวังจนเกิดเรื่องแล้ว ข้าไม่อยากขัดแย้งกับศาลมืดด้วยสิ”
หลังจากกล่าวประโยคหนึ่งอย่างแผ่วเบา เจ้าภูเขาลู่พลันกระโดด เงาร่างลอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว