เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 354 ผู้สูงส่งตระกูลลู่
ตอนที่ 354 ผู้สูงส่งตระกูลลู่
เงาร่างเจ้าภูเขาลู่เคลื่อนไหวว่องไวรวดเร็ว จากมุมมองลั่วหลิงกับลั่วเฟิงคล้ายเงาร่างวาบหายไปกลางรัตติกาล
ลู่เฉิงเฟิงยืนเหงื่อตกหอบหายใจอยู่จุดเดิมเหมือนเพิ่งผ่านนิรโทษกรรม
วู้ม… วู้ม…
ลมทมิฬระลอกหนึ่งพัดผ่านมา ทุกคนในที่นั้นต่างหนาวสะท้านตามจิตใต้สำนึก ถึงแม้ว่ามองไม่เห็นยมทูตดำผ่านทาง แต่ถูกปราณหยินนี้ปะทะจนได้สติ
ลั่วหลิงถอนสายตากลับมา สบตากับลั่วเฟิงคราหนึ่ง จากนั้นค่อยมองลู่เฉิงเฟิงพร้อมกัน
“หลานลู่ คนเมื่อครู่…”
ลู่เฉิงเฟิงผ่อนลมหายใจ ประสานมือไปทางลั่วหลิงกับลั่วเฟิงอย่างค่อนข้างยินดี
“เรื่องมันยาว หากเจ้าสำนักทั้งสองอยากฟัง ข้าคนแซ่ลู่ย่อมเล่าให้พวกท่านฟัง แต่ไม่ควรแพร่งพรายสู่ภายนอก”
สุดท้ายเจ้าของเรื่องยังมีลั่วหนิงซวงด้วย ลู่เฉิงเฟิงคิดว่าควรบอกเจ้าสำนักทั้งสองดีกว่า
ลั่วเฟิงพยักหน้ากับพี่ใหญ่ของตน หันหน้ากลับมามองพวกบ่าวรับใช้ของเรือนรับรอง
“เรื่องคืนนี้ห้ามใครแพร่งพรายออกไป รู้แล้วใช่หรือไม่”
บ่าวพวกนี้ยังมีหลายคนตกตะลึงอยู่กับการประลองของเหล่ายอดฝีมือเมื่อครู่ ได้ยินคำพูดลั่วเฟิง พวกเขาตอบรับทันที
ภายในเรือนรับรองแสงคล้อยหลังจากนั้นครึ่งเค่อ ลั่วหลิง ลั่วเฟิง ลู่เฉิงเฟิงทยอยนั่งลง ทั้งบอกให้บ่าวทุกคนออกไป
“น้องสาม มือของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ลั่วเฟิงขยับมือขวาของตนเล็กน้อยก่อนขมวดคิ้วกล่าว
“แม้ดูเหมือนบาดเจ็บหนัก แต่กระดูกไม่แตกละเอียด เส้นเอ็นเนื้อเยื่อยังสมบูรณ์ ทั้งไม่เสียการรับรู้ มีพรสวรรค์ปราณดั้งเดิมติดตัว พลังกายฟื้นคืนย่อมแข็งแกร่ง ถ้าเสริมด้วยการทายา ไม่เกินสองเดือนย่อมฟื้นตัว”
ลั่วหลิงพยักหน้าเล็กน้อย ยกกาน้ำชารินน้ำชา ส่งให้ลั่วเฟิงกับลู่เฉิงเฟิงคนละถ้วยด้วยตัวเอง
“หลานลู่ ข้ากับบิดาเจ้านับว่าเป็นสหายเก่า เชิญเล่าเรื่องวันนี้มาเถอะ”
“ขอบคุณเจ้าสำนักลั่ว”
ลู่เฉิงเฟิงกล่าวขอบคุณ รำลึกครู่หนึ่งค่อยกล่าวด้วยเสียงเนิบช้า
“คิดว่าก่อนหน้านี้เจ้าสำนักทั้งสองคงสังเกตเห็นแล้ว คนผู้นั้นหากบอกว่าวิชายุทธ์สูงส่ง มิสู้พูดว่าร่างกายแข็งแกร่งเกินไปยังดีกว่า กอปรกับภาพหลันหนิงเค่อถูกกลืนกิน ย่อมคาดเดาได้ไม่ยากว่าเขาไม่ใช่คนจริงๆ”
ลู่เฉิงเฟิงไม่ปล่อยให้สงสัย ถอนใจพลางกล่าวต่อ
“หากไม่ผิดคาด ความจริงคนผู้นั้นคือปีศาจตนหนึ่ง หนี้ที่เขากล่าวถึงมีอยู่จริง…”
“ปีศาจ!?”
แม้ว่าลั่วหลิงกับลั่วเฟิงคาดเดาได้บางส่วน แต่เมื่อฟังข้อมูลกลับตกตะลึงอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไม่ผิด เขาคือภูตเสือร้ายบนเขาโคเทพซึ่งกลายร่างเป็นคน…”
ลู่เฉิงเฟิงรำลึกพลางบรรยาย เล่าเรื่องปีนั้นโดยคร่าว ต่อให้ลั่วหลิงกับลั่วเฟิงฟังแล้วตื่นตระหนกและรู้สึกน่าเหลือเชื่อ แต่ความจริงอยู่ตรงหน้าจึงจำต้องเชื่อ
“หากกล่าวเช่นนี้หนิงซวงก็มีอันตรายด้วย?”
“มีความเป็นไปได้สูงมาก”
ลั่วเฟิงขยับมือขวาของตนพลางขมวดคิ้วกล่าว
“แต่หากปีศาจเช่นนี้คิดทำร้ายหนิงซวง พวกเราคงขวางเขาไม่ได้!”
ลู่เฉิงเฟิงทำได้แค่พยายามปลอบ
“ดูการกระทำของปีศาจเสือตนนั้นถือว่ามีหลักการมาก ตอนนั้นแม้ว่ามีสัญญานี้ แต่เขาไม่ใช่พวกเหี้ยมโหดบ้าเลือด มิฉะนั้นเขาคงไม่มีทางปล่อยข้าไป ศิษย์น้องลั่วแต่งงานนานแล้ว ช่วยเหลือสามีสอนบุตรอยู่กับบ้าน ทั้งไม่เคยทำเรื่องร้ายใด ข้าคิดว่าปีศาจเสือตนนั้นไม่มีทางทำร้ายนาง”
“เฮ้อ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
เรื่องมาถึงตอนนี้ลั่วหลิงทำได้แค่กล่าวเช่นนี้ แต่ลั่วเฟิงกลับนึกถึงเรื่องสำคัญยิ่งกว่า
“หรือกล่าวได้ว่าคุณชายตาบอดซึ่งข้าเจอในโรงเตี๊ยมครั้งแรกเมื่อตอนนั้นคือท่านจี้หรือ”
เมื่อพูดถึงจี้หยวน ลู่เฉิงเฟิงรู้สึกเคารพจากก้นบึ้งหัวใจ
“ไม่ผิด นั่นก็คือท่านจี้ ข้าคนแซ่ลู่ยอมเชื่อว่าปีศาจเสือตนนั้นไม่ทำร้ายคนตามใจ ด้วยมีท่านจี้อยู่ ต่อให้สัญญานี้เป็นของพวกเราเก้าคน แต่สำหรับภูตเสือร้ายนั่น ปีศาจย่อมต้องการฝึกปราณแจ้งมรรคเช่นกัน”
“ถ้าอย่างนั้นไปเจอท่านจี้ได้หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วเฟิง ลู่เฉิงเฟิงส่ายหัวเล็กน้อย
“ที่พักของท่านจี้ข้าไม่สะดวกเปิดเผย ทั้งท่านยังเดินทางทั่วหล้า ไม่อยู่บ้านนานปี คงหาไม่เจอทันที”
ลั่วหลิงยังไม่วางใจอยู่บ้าง
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังไม่อาจแน่ใจว่าหนิงซวงปลอดภัย น้องสามเจ้านั่งบัญชาอยู่เรือนรับรองต่อ ข้าจะกลับสำนักเขาแสงคล้อยทันที ดูสถานการณ์ของหนิงซวง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะพานางหลบภัยไปเมืองหลวงชั่วคราว”
“ได้ พี่ใหญ่ระวังตัวด้วย!”
เจ้าสำนักทั้งสามของสำนักเขาแสงคล้อยมีความสัมพันธ์อันดี ภายในสามคนนี้ลั่วหลิงกับลั่วเฟิงต่างมีบุตรชายสองคน พี่รองกลับมีลั่วหนิงซวงเป็นบุตรสาวคนเดียว ทุกคนต่างเลี้ยงลั่วหนิงซวงเหมือนบุตรสาวแท้ๆ บอกว่าเป็นไข่มุกงามเม็ดโปรดบนฝ่ามือของสำนักเขาแสงคล้อยก็ไม่มากเกินไป
หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยค ลั่วหลิงเร่งเดินทางไปจังหวัดเต๋อเซิ่งทันที
…
อีกด้านหนึ่งเจ้าภูเขาลู่ใช้เวลาสำแดงวิชาเล็กน้อย สลัดการติดตามของเทพวารีสองคน หลังท่องออกจากเมืองรอบหนึ่ง เขาวนกลับเข้าเมืองจากอีกด้าน
สำหรับคำพูดลู่เฉิงเฟิง ความจริงเจ้าภูเขาลู่ถือว่าค่อนข้างยอมรับ ดังคำกล่าวว่าวีรกรรมกล้าหาญย่อมทำตามกำลัง ความจริงเขาเข้าใจตั้งแต่ตอนเจอลั่วหนิงซวงครั้งแรกแล้ว
ขอแค่เก้าคนนั้นไม่ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม ต่างใช้ชีวิตของตนก็ไม่เป็นไร อย่างมากแค่ขู่ว่าจะสังเกตพวกเขาต่อ
หลังจากกลับเข้าเมือง เจ้าภูเขาลู่ซ่อนตัวเก็บกลิ่นอาย เดินตัดถนนผ่านตรอกมาถึงโรงเตี๊ยมค่อนข้างลับตาคนแห่งหนึ่ง เดินมาอยู่นอกประตูห้องหนึ่งอย่างแผ่วเบา
คนที่อยู่ด้านในคือฝานทง แม้ว่ากลางคืนเคยถือดาบลงมือกับเจียงเหมิ่งและหลันหนิงเค่อ แต่ทางการจังหวัดตู้หมิงกลับไม่สนใจเรื่องนี้
สาเหตุหลักคือหอสุราแจ้งทางการพวกเขาจึงมา ฝานทงจ่ายค่าเสียหายและไกล่เกลี่ยกับหอสุราแล้ว ในเมื่อไม่มีใครแจ้งความ ขอแค่ไม่ส่งผลกับชาวบ้าน แน่นอนว่าเรื่องบนยุทธภพต้องยึดตามหลักการของยุทธภพ ทางการเองก็ไม่ทำเรื่องเกินความจำเป็นอะไร
ตอนนี้ฝานทงจึงกลับมาพักผ่อนในโรงเตี๊ยม
หลังจากผ่านเรื่องราวก่อนหน้านี้ ตอนนี้ฝานทงทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เขาไม่แน่ใจว่าตระกูลฝานเคยรู้จักกับยอดฝีมือคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งไม่เข้าใจว่ายามตระกูลฝานประสบเคราะห์ เหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่ปรากฏตัว
แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดี ศัตรูตัวฉกาจของตระกูลฝานก็คือเจียงเหมิ่งกับหลันหนิงเค่อ ขอแค่ยอดฝีมือคนนั้นแก้แค้นแทนตระกูลฝาน ค่าตอบแทนอะไรตระกูลฝานล้วนจ่ายได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้เสียแล้ว
“ไม่รู้ว่าหลันหนิงเค่อตายหรือไม่”
ฝานทงนั่งอยู่ในห้องพัก ดื่มน้ำชาถ้วยหนึ่งก่อนกล่าวพึมพำ
“ตายแล้ว”
เสียงราบเรียบดังมาจากนอกห้อง ทำให้ฝานทงตกใจทั้งยินดี รีบลุกไปเปิดประตู เจอเจ้าภูเขาลู่ยืนอยู่ข้างนอกดังคาด
“ผู้มีพระคุณฆ่าหลันหนิงเค่อแล้วหรือ”
“ใช่ ไม่เหลือซาก”
เจ้าภูเขาลู่พูดอย่างสบายๆ แต่กลับมีพลังซึ่งทำให้คนเชื่อถือ ทำให้ฝานทงยินดีอย่างยิ่ง
“ดียิ่งนัก ฮ่าๆๆๆ ดียิ่งนัก! กฎเกณฑ์สวรรค์ กรรมย่อมสนอง สุดท้ายคนพวกนี้ต่างได้รับผลกรรมของตนทีละคน จริงสิ ไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร มีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลฝานของข้า”
ฝานทงใช้หมัดกระแทกฝ่ามืออย่างตื่นเต้น ทั้งประสานมือคารวะทักทายเจ้าภูเขาลู่
เจ้าภูเขาลู่เดินเข้ามาในห้อง หยิบถ้วยชามารินน้ำดื่ม ก่อนหันกลับมามองฝานทง
“ข้าชื่อลู่ซานจวิน ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลฝานของเจ้าเป็นพิเศษ ความแค้นที่เหลือของพวกเจ้าตระกูลฝานข้าไม่มีทางสนใจอีก”
รอยยิ้มบนหน้าฝานทงค้างแข็ง ฝืนยิ้มรินน้ำชาแทนเจ้าภูเขาลู่อีกถ้วย
“ผู้มีพระคุณกำจัดหลันหนิงเค่อกับเจียงเหมิ่ง ถือว่าช่วยตระกูลฝานของข้าชำระแค้นใหญ่หลวงแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจเรียกร้องอะไรอีก”
“หึๆ นับว่ารู้จักกาลเทศะ”
เจ้าภูเขาลู่หัวเราะพลางนึกถึงวาสนาซึ่งทำให้อาจารย์พอใจตอนนั้น เขานั่งลงก่อนกล่าวต่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าควรใจกว้างหน่อย เอาอย่างนี้ ภายหน้าเจ้าไปขอความช่วยเหลือจากลู่เฉิงเฟิงได้ ขอให้เขาดูแลคนตระกูลฝานของเจ้า บอกว่าเป็นความต้องการของข้าเจ้าภูเขาลู่”
“ลู่เฉิงเฟิง?”
ฝานทงสงสัยอยู่บ้าง แซ่ลู่เหมือนกัน เป็นผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสลู่ท่านนี้หรือ
แน่นอนว่าเจ้าภูเขาลู่ไม่รู้ว่าฝานทงกำลังคิดอะไร เขาพูดออกมาตามตรง
“ลู่เฉิงเฟิงคือคนตระกูลลู่แห่งหอเมฆา จังหวัดนี้มีหอเมฆาหยกกิจการของหอเมฆาอยู่ ไปหาเขาที่นั่นได้ ภายหน้าถ้ามีอะไรติดขัด ขอแค่สมเหตุสมผลก็ไปหาเขา สักพักหลังจากงานชุมนุมยุทธภพสิ้นสุด ชื่อเสียงของเขาน่าจะโด่งดังขึ้นมา”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบเจ้าภูเขาลู่ดื่มน้ำชาจนหมดอีกครั้ง เขาเดินออกจากห้องพัก ฝานทงออกมาส่งทันที แต่พอถึงข้างนอกกลับพบว่าบนโถงทางเดินไม่มีแม้แต่เงาคน
“วิชาตัวเบาน่ากลัวเช่นนี้ น่าเหลือเชื่อจริงๆ!”
ฝานทงถอนใจเดินกลับห้องด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่ไม่อาจระงับ ถ้าตระกูลลู่แห่งหอเมฆาสนับสนุน ไม่แน่ว่าตระกูลฝานอาจพลิกตัวกลับมาได้ ประเด็นสำคัญคือตระกูลลู่มียอดบุคคลเช่นนี้ด้วย ไม่เพียงวิชายุทธ์สูงส่ง หน้าตายังอ่อนเยาว์เช่นนี้
แน่นอนว่าความจริงอายุต้องมากกว่านั้น ย่อมเป็นผู้มีวิชาคงความอ่อนเยาว์ อย่างน้อยฝานทงไม่เชื่อว่าเขาเป็นแค่คนอายุยี่สิบกว่าปีจริงๆ
ฝานทงเคยได้ยินว่าหอเมฆาตกต่ำนานแล้ว ในใจนึกถึงความเป็นได้อย่างหนึ่งตามธรรมชาติ ตระกูลลู่แห่งหอเมฆามียอดฝีมือคนนี้ฝึกวิชายุทธ์อยู่ข้างนอก ยามหอเมฆาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เขาไม่ทราบเรื่อง ตอนนี้เมื่อเขากลับมา หอเมฆาย่อมเด่นผงาดอีกครั้ง
เขาจึงบอกว่าหลังจากงานชุมนุมยุทธภพครั้งนี้ ชื่อเสียงของลู่เฉิงเฟิงอาจโด่งดังขึ้นมา
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ ยิ่งคิดยิ่งฮึกเหิม ฝานทงกวาดความอึมครึมในใจหลายปีมานี้ออกไป คิดว่าอนาคตตระกูลฝานย่อมส่องประกาย อย่างน้อยก็ไม่ต้องวิตกหวาดกลัวอีก
…
บนหอกำแพงเมือง จี้หยวนในชุดขาวนอนพิงชายคาเหนือหอกำแพงเมือง ใช้แขนซ้ายหนุนศีรษะ ทอดมองไปนอกเมือง เจ้าภูเขาลู่เพิ่งจากไปไม่นาน
เวลานี้เงาดำเลือนรางสองสายผ่านทางมา กลายเป็นยมทูตดำสวมหมวกสูงแต่งชุดทางการสองคนยืนบนกำแพงเมือง ผู้ลาดตระเวนราตรีซ้ายขวาของจังหวัดตู้หมิงนั่นเอง
“ท่านจี้ ใต้เท้าหลักเมืองอยากเชิญท่านไปนั่งพักในศาลมืดจังหวัดตู้หมิง ไม่ทราบว่าท่านอยากไปหรือไม่”
จี้หยวนลุกขึ้นมา โรยตัวลงบนกำแพงเมือง ประสานมือคารวะเทพราตรีสองคน ฝ่ายหลังไม่กล้าละเลยรีบคารวะตอบ
“ข้าคนแซ่จี้ไม่รบกวนแล้ว ท่านทั้งสองโปรดทักทายเทพหลักเมืองแทนข้า เรื่องคืนนี้ขอบคุณทุกท่านที่ผ่อนปรน”
ถึงแม้รู้ว่าศาลมืดมีโอกาสจับเจ้าภูเขาลู่ไม่ได้ แต่จี้หยวนอยู่ที่นี่ บอกเล่าเรื่องราวสักประโยค แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องทำให้เข้าใจผิดใหญ่โต
“เดิมการทำตามคำมั่นสัญญาถือเป็นเรื่องสมควร ใช่ว่าพวกเราไม่ทราบเหตุผล ท่านจี้เกรงใจไปแล้ว”
ได้ยินเทพราตรีกล่าวเคร่งครัด จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และบุคคล หากไม่ใช่ว่าเขาอยู่ที่นี่ ต่อให้ปีศาจทำร้ายคนด้วยมีเหตุผลแค่ไหนก็คงไม่ผ่อนปรน
จี้หยวนไม่พูดอะไรมากอีก เขาพยักหน้าเป็นสัญญาณ ก้าวเหยียบอากาศออกจากจังหวัดตู้หมิง
หลังจากผ่านประสบการณ์เรื่องลั่วหนิงซวง ลู่เฉิงเฟิง หลันหนิงเค่อ มุมมองทางโลกของเจ้าภูเขาลู่คงรอบด้านไม่น้อย เขาสมเป็นศิษย์ซึ่งจี้หยวนให้ความสำคัญ ไม่ต้องให้จี้หยวนลงมือแก้ปัญหา จิตใจไม่เลว การตัดสินใจไม่แย่