เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 356
ตอนที่ 356
ตอนนั้นทั้งเก้าคนทำสัญญากับเจ้าภูเขาลู่ แม้ว่าสำหรับเก้าคนนั้นส่วนใหญ่ต่างลืมเรื่องนี้แล้ว แต่ยามเจ้าภูเขาลู่ฝึกปราณและแจ้งมรรค เขากลับไม่เคยลืมเรื่องนี้ นานเข้ายิ่งชัดเจนตามจิตวิญญาณ ในใจสัมผัสรู้อย่างเลือนรางตลอด
พูดตามตรงว่าเจ้าภูเขาลู่นึกถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าถึงขั้นมีคนเลือกออกบวชด้วย
โดยทั่วไปหนทางนี้ใช่ว่าผู้ออกบวชไร้ทางไป แค่เป็นเด็กซึ่งภิกษุรับมาเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ท่องสวดคัมภีร์พุทธตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นภิกษุตามหน้าที่
คนบวชเป็นภิกษุโดยฐานะทางบ้านไม่เลวอย่างจ้าวหลง ถือว่าพบเห็นได้น้อยจริงๆ
ได้ยินเจ้าภูเขาลู่ทำเสียงแปลกใจ ตู้เหิงกล่าวเสริม
“ไม่ผิด ไม่ใช่อารามกวางครวญเลื่องชื่อของเมืองหลวง แต่เป็นสำนักธรรมกวางครวญจังหวัดซีหนิง ค่อนข้างห่างไกล คนรู้จักไม่มาก ข้าคนแซ่ตู้ทราบจากครอบครัวเขายามไปตามหาพี่จ้าวเมื่อหลายปีก่อน”
เจ้าภูเขาลู่ฟังพลางพยักหน้าก่อนเอ่ยถาม
“ถ้าอย่างนั้นจอมยุทธ์ตู้ไปสำนักธรรมกวางครวญเพื่อเจอจ้าวหลงหรือไม่”
ตู้เหิงกล่าวตอบโดยไม่กล้าปิดบัง
“ถูกต้อง ข้าคนแซ่ตู้เคยไปสำนักธรรมกวางครวญแห่งเขาน้อย ตอนนั้นพี่จ้าวถือศีลมาสามปี ทุกคำพูดและการกระทำล้วนเหมือนภิกษุ แต่ไม่ปล่อยวางวิชายุทธ์ แค่เปลี่ยนจากการใช้วิชากระบองมานิยมใช้คทาอักขระเท่านั้น”
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้!”
เจ้าภูเขาลู่พยักหน้า เผยสีหน้าใคร่ครวญ กวาดสายตามองผีชางหลันหนิงเค่อด้านข้าง ตอนนี้ผีชางมองหวังเค่อกับตู้เหิงด้วยสีหน้าเหม่อลอยอยู่บ้าง ทั้งสองคนก็เหลือบมองหลันหนิงเค่อซึ่งดูแล้วไม่ต่างจากคนทั่วไปไม่หยุด
ภูตผีอย่างผีชางถือว่าค่อนข้างพิเศษในหมู่ผี คนไม่รู้จักยากแยกแยะความแตกต่างของมันกับคนเป็น หลอกง่ายยิ่ง นอกจากไม่อาจต่อต้านเจ้านายแล้วถือว่ายังมีสติปัญญาและความสามารถก่อนตาย ทั้งมีความรู้สึกเช่นกัน
หลันหนิงเค่อเป็นผีชางของเจ้าภูเขาลู่ ความรู้สึกตอนนี้ย่อมหนีไม่พ้นการรับรู้ของเจ้าภูเขาลู่ แม้แต่ตอนนี้หลันหนิงเค่อยังไม่ยินยอมและโกรธแค้น คล้ายเห็นสภาพการณ์ของหวังเค่อกับตู้เหิงแล้วไม่พอใจ
“หึ ผีอย่างเจ้าถึงตายก็ไม่เปลี่ยน”
เจ้าภูเขาลู่กล่าวเสียงเบา ดูดวิญญาณหลันหนิงเค่อเข้าปาก จากนั้นค่อยประสานมือคารวะตู้เหิงกับหวังเค่ออีกครั้ง
“มือปราบหวัง จอมยุทธ์ตู้ ข้าคนแซ่ลู่ขอตัวจากไปก่อน พบกันวันนี้ข้าคนแซ่ลู่ยินดีนัก อนาคตถ้ามีโอกาสพวกเราอาจร่ำสุราเคล้าบทสนทนา”
ตู้เหิงกับหวังเค่อสบตากันพลางรีบคารวะ
“วันหน้าขอเรียนเชิญ ย่อมเตรียมสุราชั้นเลิศมาแน่”
“ยินดีเชิญเจ้าภูเขาลู่มาทุกเมื่อ”
เหมือนอย่างที่เจ้าภูเขาลู่กล่าว หากไม่ทำเรื่องผิดมโนธรรมย่อมไม่กลัวผีเคาะประตู หลังจากตู้เหิงกับหวังเค่อผ่านพ้นความหวาดกลัวตอนแรก ยามนี้ไม่รู้สึกหวั่นหวาดเท่าไหร่แล้ว
เมื่อเห็นความจริงใจของทั้งสองคน เจ้าภูเขาลู่แย้มยิ้ม ขี่สายลมเย็น ม้วนพัดใบไม้ร่วงหล่น ไม่นานก็หายเข้าไปในป่า
“ฮู่…”
“เฮ้อ…”
ตู้เหิงกับหวังเค่อต่างเป่าปากโล่งอกอย่างอดไม่ได้
พวกหลี่ทงโจวที่อยู่ด้านข้างตื่นเต้นอยู่บ้าง เปรียบเทียบกับตู้เหิงและหวังเค่อแล้ว ในความรู้สึกของคนนอกเจ้าภูเขาลู่กลับเหมือนผู้สูงส่งเซียนอัศจรรย์ ต่อให้การเรียกผีชางออกมาเจือความอัศจรรย์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นปีศาจโดยสิ้นเชิง
“พี่ตู้ มือปราบหวัง เมื่อครู่เป็นผู้สูงส่งจากไหนหรือ”
“ใช่แล้ว จอมยุทธ์ตู้ เมื่อครู่ผู้สูงส่งท่านนั้นเรียกคนออกมาจากปาก เป็นวิชาอะไรหรือ”
ได้ยินคนรอบข้างกล่าวอย่างตื่นเต้น ตู้เหิงยิ้มเจื่อนเล็กน้อย
“เรื่องมันยาว ถือเป็นผู้สูงส่งจริงๆ แต่ต่างจากที่พวกเจ้าคิดอยู่บ้าง…”
หวังเค่อรีบกล่าว
“อย่าเพิ่งพูดเลย พวกเราคุมตัวพวกอันธพาลอย่างจ้าวต้าถงกลับจังหวัดหยาเฉียนก่อน คนรอดูพวกเขาถูกทำลายกระดูกโปรยเถ้าถ่านมีไม่น้อย!”
“ใช่! พี่หวังกล่าวถูกต้องยิ่ง!” “ไม่ผิด มัดตัวพวกเขาก่อน”
พวกเขาข่มความสงสัยในใจไว้ชั่วคราว เริ่มจัดการเรื่องตรงหน้า รอจับพวกจ้าวต้าถงพาดหลังม้าก็ผ่านไปครึ่งเค่อแล้ว
ตอนนี้ม้าหนีเตลิดถูกต้อนกลับมาไม่น้อย บางส่วนหาไม่เจอย่อมทำได้แค่ถอดใจ บางทีอาจทำให้ชาวบ้านได้ประโยชน์
ตอนมาควบม้าแปดตัวตามล่าอย่างรวดเร็ว ตอนกลับจูงขบวนม้ายี่สิบว่าตัว นอกจากดูแลม้าแล้ว ยังต้องคุมนักโทษเจ็ดแปดคนที่เหลือ ความเร็วการเดินทางย่อมช้าลงเป็นธรรมดา
ตอนนี้ถือว่าอยู่ตรงทุ่งรกร้างนอกชานเมือง จังหวัดหยาเฉียนห่างจากที่นี่อย่างน้อยสองร้อยกว่าลี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจกลับไปได้ทันที แน่นอนว่าก่อนฟ้ามืดพวกตู้เหิงต้องหาสถานที่ตั้งค่ายพักแรม
วันนี้ฟ้าครึ้มท้องฟ้ามืดเร็ว หลี่ทงโจวควบม้าอยู่ข้างหน้า คิดหาสถานที่พักแรมซึ่งเหมาะสม ป่าไม้โดยรอบโปร่งเกินไป ลมเย็นและไม่กันฝน ง่ายต่อการถูกคนลอบโจมตี ทางที่ดีคือหาสถานที่ซึ่งมีพวกผาหิน ตอนตามล่าก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นสถานที่แบบนี้อยู่แห่งหนึ่ง
ม้าห้อตะบึงไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า ยามข้ามลำธารสายหนึ่ง เขาเห็นว่าข้างผาหินห่างไกลแห่งหนึ่งมีสายเพลิงไหววูบ
หลี่ทงโจวควบม้าไปข้างหน้า เมื่อเข้าใกล้ค่อยเห็นว่ามีชายชุดขาวคนหนึ่งก่อกองไฟ นั่งผิงไฟพลางอ่านตำราอยู่ตรงนั้น เมื่อได้ยินเสียงควบม้าเขาลุกขึ้นมองมาทางนี้
“คุณชายท่านนี้อยู่คนเดียวหรือ”
หลี่ทงโจวไม่ลงม้า เอ่ยถามแต่ไกล
จี้หยวนที่อยู่ข้างกองไฟถือตำราลุกขึ้นยืน สายตามองผ่านหลี่ทงโจวไปด้านหลัง
“ผู้กล้าท่านนี้ ข้าน้อยเตรียมมุ่งหน้าไปจังหวัดซีหนิงรัฐอี๋ ตอนนี้อยู่คนเดียว คืนนี้ฟ้าครึ้มหม่นแสงยากเดินทางกลางคืน หากไม่รังเกียจเชิญมาพักผ่อนที่นี่เถอะ”
หลี่ทงโจววิชายุทธ์แกร่งกล้า การมองเห็นไม่เลว ตอนนี้เมื่อมองไป แสงเพลิงส่องหน้าจี้หยวน ทำให้หลี่ทงโจวรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยรู้จัก
‘คนผู้นี้คุ้นหน้าอยู่บ้าง’
หลังจากคิดในใจเช่นนี้ เขาพลันพบว่าสีตาของคนผู้นี้ผิดปกติคล้ายซีดเผือด ในใจพลันไหวสั่น รีบลงจากม้าทันที ประสานหมัดค้อมตัวกล่าว
“หลี่ทงโจวคารวะท่านจี้!”
แม้ว่าตอนอยู่รัฐจินเขาเคยเจอจี้หยวนแค่สองครั้ง แต่ความทรงจำยังฝังลึก ถึงขั้นจำได้ทันที
จี้หยวนผิดคาดอยู่บ้าง ความจริงตอนอยู่รัฐจินกลางคืนหิมะตกมีคนไม่น้อย แต่เขาจำแค่ตู้เหิง ทว่าเขาเป็นคนเคารพมาเคารพตอบเสมอ แน่นอนว่าคารวะตอบทันที
“ที่แท้ก็เป็นจอมยุทธ์หลี่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคนแซ่จี้คงไม่แสร้งเป็นคนผ่านทางอะไรแล้ว เชิญพวกตู้เหิงมาพักที่นี่เถอะ โดยรอบไม่มีอันตรายอะไร”
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปแจ้งทันที”
หลี่ทงโจวรีบขึ้นม้า หันม้ากลับไปบอกกล่าว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเสียงควบม้าห้อตะบึงมา ตู้เหิงกับหวังเค่อควบม้ามาถึงก่อน นำความรู้สึกสับสนและตื่นเต้นมาด้วย
หลังจากคารวะทักทายและเตรียมตัวพักหนึ่ง คนทั้งขบวนต่างมานั่งข้างกองไฟพร้อมจี้หยวน
จี้หยวนไม่ได้รักษาระยะห่างอะไร บอกให้ทุกคนมานั่งล้อมกองไฟ ถึงขั้นว่าแม้แต่นักโทษถูกกดจุดอย่างพวกจ้าวต้าถงยังถูกคุมตัวเข้ามาใกล้เพื่อเฝ้าดู
นอกจากมีคนย่างเนื้อม้าแล้วยังต้องแบ่งสมาธิเฝ้าเนื้อด้วย คนอื่นส่วนใหญ่ต่างฟังเรื่องเล่าของจี้หยวนอย่างจริงจัง เล่าเรื่องอะไรหรือ ประเด็นสำคัญคือเรื่องลั่วหนิงซวง ลู่เฉิงเฟิง หลันหนิงเค่อก่อนหน้านี้
เล่าทั้งกระบวนการถึงผลลัพธ์ ทำให้ตู้เหิงกับหวังเค่อถอนใจอยู่บ้าง ทั้งทอดถอนใจว่าสวรรค์มองการกระทำของคน
สิ่งน่าสนใจคือคำพูดของจี้หยวน กลับทำให้พวกจ้าวต้าถงซึ่งก่อนหน้านี้แข็งกร้าวมาตลอดสีหน้าไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม เมื่อจี้หยวนเล่าว่าหลันหนิงเค่อเป็นผีชางไปศาลมืดไม่ได้แล้ว ในที่สุดพวกเขาอดกล่าวตัดบทไม่ได้
“ท่านจี้! ข้าขอถาม มีนรกศาลมืดอยู่จริงหรือ คนตายแล้วมียมทูตดำมารับวิญญาณจริงหรือ ทั้งพาไปปรโลกด้วย?”
ข้างกองไฟเงียบลงครู่หนึ่ง จี้หยวนมองผู้ถูกกดจุดและมัดตัวแน่นหนาคนนี้ หวังเค่อกล่าวแนะนำเสียงเบา
“ท่านจี้ คนผู้นี้คือนักโทษซึ่งพวกเราตามจับครั้งนี้ ชีวิตนี้ทำแต่เรื่องผิดทำนองคลองธรรม วิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วน เมื่อกลับจังหวัดหยาเฉียนย่อมต้องโทษพันมีดหมื่นแล่”
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย
“มองออก ปราณพิฆาตกับปราณแค้นวนรอบปราณชั่วร้าย บนปราณเพลิงเปี่ยมแสงโลหิต อยู่ได้ไม่นาน”
จ้าวต้าถงถามอีกครั้งด้วยสีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง
“ท่านจี้ โปรดตอบคำถามเมื่อครู่ได้หรือไม่”
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เขา คนโดยรอบสนใจมากเช่นกัน ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ว่าคุณชายซึ่งดูเหมือนคนธรรมดาและตาบอดคนนี้ ความจริงเป็นผู้สูงส่ง ถึงขั้นอาจเป็นเทพเซียน เรื่องที่คนธรรมดายากสัมผัสเช่นนี้ ทำให้คนใคร่รู้โดยง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
จี้หยวนเก็บรอยยิ้มซึ่งคงอยู่มาตลอด
“แน่นอนว่าศาลมืดมีอยู่จริง ข้ายังบอกได้ว่าด้วยสถานการณ์ของเจ้าจ้าวต้าถง เกรงว่าศาลมืดจังหวัดหยาเฉียนคงส่งยมทูตดำมาเฝ้าลานประหารตลอด หนึ่งคือป้องกันวิญญาณร้ายอย่างเจ้าเผ่นหนีหลังตาย ย่อมคุมตัวเจ้าไปทันที สอง…”
จี้หยวนเว้นช่วงไป ถึงโหดร้ายอยู่บ้าง แต่ถือว่าหาเรื่องใส่ตัว เขาจึงกล่าวต่อ
“สอง ได้ยินว่าเจ้าต้องโทษพันมีดหมื่นแล่ แม้ว่าเพชฌฆาตไม่ทราบ แต่ยมทูตดำจะช่วยเขารักษาเส้นปราณหัวใจเจ้า ประคองจิตวิญญาณเจ้า ทำให้เจ้ามีสติอยู่ตลอด ไม่ถึงสามพันหกร้อยดาบย่อมไม่ให้เจ้าตาย”
สีหน้าจ้าวต้าถงซีดเผือด เหงื่อแตกทั้งตัวทันที ถึงขั้นว่าร่างกายยังจับสั่นเล็กน้อย
หมายความว่ายามตนรับโทษพันมีดหมื่นแล่ แม้แต่โอกาสหมดสติยังเป็นเรื่องเพ้อฝัน ตอนนี้ความรู้สึกกลัวเด่นชัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จ้าวต้าถงคิดฆ่าตัวตายแต่กลับไร้เรี่ยวแรง
จี้หยวนส่ายหัวเล็กน้อย มองมาทางหวังเค่ออีกครั้ง
“มือปราบหวัง ขอยืมตราประทับของเจ้าหน่อย”
ตราประทับ? หวังเค่ออึ้งงัน หยิบตราทางการเล็กจิ๋วขนาดเท่านิ้วโป้งออกมาจากถุงแนบอก ส่งมอบให้พลางเอ่ยถาม
“ใช่สิ่งนี้หรือไม่”
“สิ่งนี้แหละ”
จี้หยวนรับตราประทับมาดู ด้านบนเขียนว่า ‘ศาล’ ด้วยอักษรตัวใหญ่ ด้านล่างมีอักษรตัวเล็กเขียนว่า ‘หัวหน้ามือปราบแห่งหยาเฉียน’
“ไม่เลว ตัวอักษรเหมาะสมยิ่ง!”
ขณะกล่าวจี้หยวนหยิบพู่กันขนหมาป่าด้ามหนึ่งออกมาเหมือนเล่นกล จากนั้นค่อยถือพู่กันลากตามตัวอักษร ‘ศาล’ บนพื้นผิวตราประทับรอบหนึ่ง เมื่อจรดพู่กันสุดท้าย อักษรศาลบนตราประทับถึงกับมีแสงเรืองรอง จากนั้นค่อยซ่อนเร้น
ถ้ากล่าวอย่างจริงจังคือลู่เฉิงเฟิง เยี่ยนเฟย ตู้เหิงได้รับอิทธิพลจากจี้หยวนไม่มากก็น้อย แต่หวังเค่อเลือกเป็นมือปราบด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ทั้งอาศัยความสามารถกับคุณงามความดีจนเป็นหัวหน้ามือปราบประจำจังหวัด คนอื่นล้วนได้รับสิ่งของบางอย่าง แต่หวังเค่อไม่เคย
กาลเวลาผันผ่าน ไม่แน่ว่าการเจอหวังเค่อครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้าย แน่นอนว่าจี้หยวนไม่ได้มอบของให้ใครไปทั่ว เพียงแต่หวังเค่อมีคุณสมบัติ ดังนั้นจึงจรดพู่กันบนตราประทับเขาเป็นการเฉพาะ
“มือปราบหวัง ตราประทับนี้ต้องหล่อเลี้ยงด้วยปราณเที่ยงธรรมของเจ้า เกลียดชังความชั่วทำตัวเป็นกลางเหมือนศาลเพลิงปราณแกร่งไม่ซ่านสลาย วันหน้ายามตัดสินคดี ต่อให้เป็นเทพผีแห่งศาลมืด มากน้อยย่อมเห็นแก่หน้าเจ้าสามส่วน เมื่อเจอเรื่องชั่วร้าย ถือตรานี้ย่อมกำราบได้ ประทับตัวคนเพิ่มปราณหยาง ประทับตัวดาบเพิ่มปราณดุดัน ประทับวิญญาณผนึกปราณชั่วร้าย ใช้งานอย่างระวัง”
หวังเค่อรับตราประทับของตนกลับมาด้วยสองมือ ฟังคำพูดของจี้หยวนแล้วรู้สึกว่าตราประทับหนักขึ้นไม่ใช่แค่สิบเท่า