เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 358 เผยร่างเดิม
ตอนที่ 358 เผยร่างเดิม
ยามเจ้าภูเขาลู่ส่งเสียงคำราม ปราณปีศาจด้านหลังรวมตัวเป็นมายาพร่ามัวรางๆ เป็นสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวหนึ่ง รูปร่างเหมือนคนบางส่วน แต่กลับพิสดารและชวนประหวั่นอย่างยิ่ง
“โฮก…”
ครืนๆๆๆๆๆ…
เสียงคำรามและสายลมคลั่งสืบเนื่องอยู่ครู่หนึ่ง อดีตสำนักธรรมกวางครวญหรืออารามวิทยาราชภายในปัจจุบัน กระเบื้องทั่วอารามสั่นสะเทือน ต้นไม้ป่าเขาโดยรอบส่ายสั่น
ท่ามกลางเสียงคำรามเมื่อครู่เหล่าภิกษุซึ่งยืนอยู่ตรงประตูอารามถึงขั้นรู้สึกว่ายากยืนมั่น ทั้งจำเป็นต้องอุดหูกันหมด ภิกษุเฝ้าประตูยิ่งย่อตัวลงกับพื้นแล้วอุดหู
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงคำรามค่อยสงบลงทีละน้อย ถึงขั้นมีบางคนเผยสีหน้ามึนงงและเลื่อนลอย
เหล่าภิกษุชรามองการแสดงออกของเจ้าภูเขาลู่แล้วหวาดกลัวถึงขีดสุด นี่ไม่ใช่ปีศาจธรรมดาแน่ แปลงกายได้ไม่ว่า ปราณปีศาจเปี่ยมแรงกดดันกับมายาเมื่อครู่ต่างหากที่ต้องให้ความสนใจอย่างแท้จริง
แต่ความจริงสิ่งที่เจ้าภูเขาลู่เพ่งเล็งไม่ใช่เหล่าภิกษุข้างนอก บนหอระฆังของอาราม ภิกษุซึ่งทำหน้าที่เคาะระฆังเพิ่งได้สติกลับมาจากแรงสะเทือนเมื่อครู่ สองมือผละจากใบหูซึ่งอุดมาตลอด สะบัดศีรษะมองระฆังยักษ์ซึ่งแขวนอยู่ตรงหน้า
ระฆังยักษ์ใบนี้ดูเหมือนไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย แต่ภิกษุรูปนี้เคาะระฆังมาหลายปี ย่อมรู้จักระฆังใบนี้เป็นอย่างดี เขาอ้อมไปอีกฝั่งของตัวระฆัง เห็นรอยแยกเล็กละเอียดสองสายดังคาด ถ้าใช้ค้อนระฆังตีต่อ ระฆังยักษ์คงแตกละเอียด
บนบันไดหน้าประตูอารามเบื้องล่าง เจ้าภูเขาลู่จัดจอนผมสยายจากการคำรามเมื่อครู่ จากนั้นค่อยเอ่ยปากอีกครั้ง
“ตอนนี้ข้าคนแซ่ลู่ขอกล่าวโน้มน้าว บอกให้จ้าวหลงออกมาเจอข้าเถอะ ข้าน้อยไม่อยากขัดแย้งกับภิกษุชั้นสูงทุกท่าน”
น้ำเสียงเจ้าภูเขาลู่ราบเรียบ แต่ภิกษุชราตรงหน้ากลับไม่อาจนิ่งสงบ
“โยมลู่ เจวี๋ยหมิงสงบใจบำเพ็ญธรรม กำลังปิดด่านเข้าฌาน เขาตัดวาสนาทางโลกทุกอย่างนานแล้ว ทั้งไม่ใช่คนบาปหนาอะไร แม้ว่าโยมเป็นปีศาจ แต่กลับมีเหตุผล สำนักธรรมเป็นสถานที่สงบ ไม่สะดวกให้ปีศาจบำเพ็ญเข้ามาด้านใน โยมโปรดกลับไปเถอะ”
“โยม? ข้าไม่เคยบริจาคทานให้พวกท่าน ทั้งไม่มีความคิดเช่นนี้ เรียกโยมได้อย่างไร ภิกษุชราเรียกข้าว่าปีศาจยังดีกว่า”
เจ้าภูเขาลู่กำลังเหน็บแนมภิกษุชราที่เมื่อครู่ทำท่าข่มขู่เรียกตนว่า ‘ปีศาจ’ เมื่อเห็นว่าไม่อาจต่อกรก็ประนีประนอมทันที
“ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญกันทั้งสิ้น ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์แสวงหามรรคบำเพ็ญจิตกว่าเผ่าปีศาจอย่างข้า หากจ้าวหลงกระทำการตรงไปตรงมาจริง ออกมาย่อมไม่มีอันตรายใด ต่อให้หลบซ่อนไม่ออกมาก็เปล่าประโยชน์ เขาไม่ออกมาข้าเข้าไปเอง”
ขณะกล่าวเจ้าภูเขาลู่ก้าวขึ้นบันไดใหม่อีกครั้ง เข้าใกล้อารามวิทยาราชทีละก้าว
เมื่อเข้าใกล้ก้าวหนึ่งบนเงาร่างจะอบอวลด้วยควันดำ ถึงขั้นบิดเบือนสายตาเหล่าภิกษุบางรูป คล้ายบันไดใต้ฝ่าเท้าเจ้าภูเขาลู่เว้าลงไป ดูไม่เหมือนจริงอย่างยิ่ง
เห็นชัดว่าร่างคนเข้ามาใกล้ แต่คล้ายสัตว์ร่างยักษ์ตัวหนึ่งเข้ามาใกล้ช้าๆ
ภิกษุชราที่เป็นผู้นำตะโกนเหยียดแขนก่อนประสานมือเข้าหากัน
“สาธุพระวิทยาราช…”
เสียงธรรมเจือแสงเหลืองสว่างเป็นระลอก เหล่าภิกษุผู้ถูกข่มขวัญได้สติกลับมา
“คุมจิตวิญญาณ เขาใช้วิชาปีศาจสะเทือนจิตใจ พวกเจ้าเข้าอารามไป ใช้พระธรรมต้านทาน ท่องคาถาวิทยาราช!”
“ไป รีบเข้าอาราม!” “เร็วๆๆ!”
นอกจากภิกษุชราสามรูปที่ยังอยู่ข้างนอก เหล่าภิกษุที่เดิมท่าทางฮึกเหิมล้วนถอยกลับอาราม นั่งขัดสมาธิหน้าประตูเรือนสองข้าง
“ท่องคาถาวิทยาราช เชิญพระธรรมแห่งร่างจำแลงวิทยาราชมาคุ้มครอง!”
เหล่าภิกษุที่นั่งขัดสมาธิพนมมือปิดตาสนิท ปากท่องเสียงธรรมเป็นเสียงเดียวกัน
“โอม… ม… ณี… ปัท… เม… ฮุม…”
ชั่วพริบตายามเสียงธรรมดังขึ้น ภิกษุทั่วอารามวิทยาราชต่างได้ยินคาถาวิทยาราช ไม่ว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอย่างแท้จริงหรือภิกษุทั่วไป ทั้งหมดล้วนนั่งขัดสมาธิกับพื้น ท่องคาถาวิทยาราชพร้อมกัน
เสียงธรรมอึกทึกสนั่นหูภายในเวลาอันสั้น ทั้งอารามวิทยาราชมีแสงธรรมสีเหลืองสว่างส่องประกายไม่หยุด
ฝีเท้าเจ้าภูเขาลู่หยุดห่างจากประตูอารามสองจั้ง สบตาภิกษุชราสามรูป ด้วยเสียงธรรมโดยรอบมุ่งเป้ามาทางเขา ได้ยินแล้วจึงเสียดหูยิ่ง ทำให้สภาพจิตใจเขาแย่ลงเรื่อยๆ
แสงธรรมอบอวลเป็นระลอก คอยหนุนพลังภิกษุชราสามรูป ทำให้รอบกายพวกเขาเคลือบทับด้วยแสงทองชั้นหนึ่ง ยามอานุภาพเพิ่มขึ้นมากยิ่งเคร่งขรึม
“โยมลู่ ถอยตอนนี้ยังทัน หากดื้อดึงไม่ยอม พระวิทยาราชมีวิชากำราบมารปีศาจ! โอม… ม… ณี… ปัท… เม… ฮุม…”
ภิกษุชราเริ่มท่องคาถาวิทยาราช กลายเป็นอักษรสีทองหกตัวร่วงหล่นลงบนมือ ฝ่ามือทั้งสองอบอวลด้วยแสงทอง คล้ายซัดลงมาได้ทุกเมื่อ
“หนวกหู หลีกไป”
เจ้าภูเขาลู่ตวาดด่าคราหนึ่ง พุ่งตัวไปทางอาราม มือขวาเผยกรงเล็บตวัดโจมตี แต่ปราณปีศาจกับพลังที่ควบรวมออกมากลับไม่เผยความเฉียบคม คล้ายเสือร้ายโจมตีให้ถอยร่นโดยไม่ทำร้ายศัตรู
“โฮก…”
ภิกษุชราสะบัดมือพร้อมกัน
“ดื้อดึงไม่ยอมรับ สยบ!”
แสงทองปะทะปราณปีศาจหน้าประตูอาราม วงแสงกระหน่ำโจมตีจนแตกทลาย
ตูม…
สายลมคลั่งพลันก่อตัว แผ่นกระเบื้องหลายแห่งทั่วอารามถูกซัดกระเด็น การโจมตีของทั้งสองฝ่ายเป็นแค่การเริ่มต้น ชั่วพริบตายามปะทะกัน ภิกษุชราสามรูปลงมือพร้อมกัน ล้อมเจ้าภูเขาลู่อยู่ตรงกลาง
แสงทองหลายสายเหมือนตาข่ายยักษ์หนาแน่น ปกคลุมลงมายามเจ้าภูเขาลู่สอดส่ายสายตา
“พุทธะวิทยาราช!”
“กำราบมารปีศาจ!”
“เจ้าปีศาจรับความตาย!”
ร่างกายของภิกษุชราสามรูปที่เดิมผอมแห้ง ตอนนี้กลับกล้ามเป็นมัด ใช้มือเปล่า เท้าเตะ รวมถึงคทาขักขระโจมตีเจ้าภูเขาลู่จากสามทิศทาง
ตูม… ปึง… ปึง… ตูม… ตูม… ปึง…
แสงทองส่องประกายเป็นระลอก การโจมตีด้วยพระธรรมของภิกษุชราสามรูปดุดันรวดเร็วยิ่ง เจ้าภูเขาลู่เหวี่ยงแขนต้านทานอยู่คนเดียว คล้ายถูกกำราบจนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงขั้นว่าทุกการปะทะยังเจ็บปวดจนแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่บ้าง
แสงทองโดยรอบยิ่งช่วงโชติ กำราบปราณปีศาจ
“สำนักพุทธเป็นสถานที่บริสุทธิ์ ไม่อาจปล่อยให้เจ้ามาสามหาว!”
“เจ้าปีศาจ ยังไม่รีบเผยร่างเดิมอีก!”
“โอม… ม… ณี… ปัท… เม… ฮุม…”
เสียงตวาดด่าของภิกษุชรากับเสียงธรรมทั่วอารามราวไม่อาจทะลวงผ่าน ดังทุกเวลาทุกขณะ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเจ้าภูเขาลู่ ทั้งทำให้เขาปวดหัวขึ้นเรื่อยๆ
ฟุ่บ…
แสงทองเรืองรองรวมตัวบนคทาขักขระของภิกษุชรา แหวกอากาศฟาดลงมา ภิกษุชราอีกสองรูปพนมมือ ท่องคาถาเสียงดัง ตาข่ายยักษ์สีทองโดยรอบรัดแน่นขึ้น ถึงขั้นพันธนาการตัวเจ้าภูเขาลู่
ตึง…
คทาขักขระกระแทกหน้าผากเจ้าภูเขาลู่เต็มแรง เผยแสงทองเจิดจ้าจนบาดตาอยู่บ้าง กระแทกจนเจ้าภูเขาลู่คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
“สาธุพระวิทยาราช! เจ้าปีศาจ เจ้าไม่ยอมถอยเอง อย่าหาว่าพุทธะท่านไร้ปรานี!”
ภิกษุชรามือหนึ่งกดคทาขักขระ มือหนึ่งยกพนมท่องคาถา
“โอม… ม… ณี… ปัท… เม… ฮุม…”
เสียงธรรมโดยรอบยิ่งดังกังวาน แสงทองนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากรูปปั้นพระวิทยาราชตรงโถงหลักกลางอาราม ถึงขั้นย้อมอารามเป็นสีทองรางๆ
ฉ่าๆ… ฉ่าๆๆ…
แสงทองสำนักพุทธควบรวมบนคทาขักขระจนหนาแน่นถึงขีดสุด อุณหภูมิคทาขักขระเหมือนเพิ่มขึ้นสูง เผาหน้าผากเจ้าภูเขาลู่จนเป็นรอยไหม้หลายแห่ง กดลึกถึงกระดูกหน้าผาก
“เจ้าปีศาจ เผยร่างเดิมออกมา!”
เจ้าภูเขาลู่แสยะยิ้มเล็กน้อย เงยหน้ามองภิกษุชราซึ่งกดคทาขักขระจนทำให้เขาลุกไม่ขึ้นตรงหน้า ดวงตาสีดำแต่เดิมกลายเป็นสีดำเหลือง ม่านตายิ่งเหลือบแสงทอง นัยน์ตาหดรัดเป็นจุดเล็กๆ กลายเป็นสีเหลืองทองเช่นกัน
เสียงคำรามแผ่วต่ำคล้ายแยกเขี้ยวยิงฟันของสัตว์ป่าชนิดหนึ่งดังก้องรางๆ กลิ่นอายกดดันยิ่งกว่าเดิมเริ่มแผ่กระจาย
“ข้าเห็นว่าที่นี่เป็นสำนักพุทธบำเพ็ญ ทั้งเห็นแก่คำสอนของผู้สูงส่งเมื่อปีนั้น ยอมอ่อนข้อให้พวกเจ้า ปัจจุบันมาถึงขั้นนี้ ถ้าข้าลงมือหนักหน่อย ต่อให้ท่านมาเยือนด้วยตัวเองก็คงไม่คาดโทษข้าแล้ว! หึๆๆๆ…”
เจ้าภูเขาลู่เหยียดขาซึ่งคุกเข่าลงไปขึ้นมาทีละน้อย เงาร่างสูงขึ้นช้าๆ
กล้ามเนื้อบนแขนสีทองของภิกษุชราผู้กุมคทาขักขระสั่นสะท้าน เปลี่ยนจากมือเดียวเป็นสองมือ สองแขนกดคทาขักขระอย่างสั่นเทาเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจกำราบร่างซึ่งทยอยสูงใหญ่ของเจ้าภูเขาลู่ได้
ภิกษุชราควบคุมคทาขักขระไม่อยู่แล้ว มองเจ้าภูเขาลู่หยัดร่างขึ้นตาปริบๆ เทียบกันแล้วร่างกำยำกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย ร่างสูงจนถึงขั้นว่าภิกษุชราต้องแหงนหน้ามอง ทั้งยังขยายใหญ่ต่อเนื่อง
แม้ว่าตอนนี้ยังเป็นร่างคน แต่ผิวกายเริ่มเปลี่ยนเป็นหยาบกร้านทีละน้อย สีผิวกับกระดูกเริ่มเปลี่ยนแปลง
“เหอะ… อยากให้ข้าเผยร่างเดิมออกมาหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าคนแซ่ลู่จะทำให้พวกเจ้าสมปรารถนา!”
ยามสิ้นเสียงเงาร่างเจ้าภูเขาลู่ขยายรวดเร็ว สีเสื้อบนตัวเปลี่ยนเป็นดำเหลืองก่อน จากนั้นผิวหนังค่อยมีขนปกคลุม เอ็นกระดูกมือเท้าเด่นชัด นานเข้ายิ่งคมกริบ ตัวมหึมาขึ้นเรื่อยๆ บ่ากว้างขยายใหญ่ กระดูกสันหลังเหยียดขยายทีละข้อ…
ภิกษุชราที่เป็นผู้นำกุมคทาขักขระไม่อยู่ทั้งดึงกลับมาไม่ได้ คทาขักขระขยับสูงขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของเจ้าภูเขาลู่ ปราณปีศาจเข้มข้นมากมายคล้ายกระแสอบอุ่นพร่ามัวกลางอากาศ ทำให้ในสายตาภิกษุทุกรูปแห่งอารามวิทยาราชเห็นท้องฟ้าบิดเบี้ยวอยู่บ้าง
พลังธรรมของภิกษุชราสามรูปกับภิกษุในอารามไม่เคยหยุด ท่องสัจจคาถาควบรวมเป็นการโจมตีด้วยฝ่ามือต่อเนื่อง แต่เหมือนว่าตอนนี้กลับไร้ผล ซัดโดนตัวปราณปีศาจล้อมรอบแล้วราวหินยักษ์ตกน้ำ ได้ยินเสียงดังแต่ไม่มีการตอบสนอง
ภิกษุชราที่เป็นผู้นำเห็นท่าไม่ดีจึงตะโกนลั่น
“ใช้วิชาภูผาสยบมาร!”
ครู่ต่อมาเหล่าภิกษุชราพนมมือท่องสวดเสียงดัง นานเข้าเสียงธรรมยิ่งแผ่ไพศาล ตาข่ายทองเปลี่ยนรูปเป็นตัวครอบสีทองคลุมตัวเจ้าภูเขาลู่ไว้ภายใน
“โอม… ม… ณี… ปัท… เม… ฮุม…”
ตัวครอบแสงทองมหึมาหนักราวหมื่นจวิน กระแทกพื้นดังตึง ถึงขั้นทะลวงบันไดมากมาย หยั่งลึกเข้าตัวภูเขา
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ตัวครอบเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าฝ่ามือซึ่งพนมอยู่ของภิกษุชราสามรูปยิ่งสั่นสะเทือนรุนแรง คล้ายว่าระหว่างฝ่ามือมีบางอย่างฝืนดันออกมา
ปราณปีศาจไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากด้านล่างตัวครอบแสงทอง เผยลักษณ์เพลิงผลาญ แสงธรรมสีทองบนฟ้าถูกวายุดำกับเพลิงปีศาจว่างเปล่าเข้ามาแทน
ครึ่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…
ตัวครอบสีทองสั่นสะเทือนไม่หยุด บนนั้นเผยลักษณ์มายาภูเขาสีทองลูกหนึ่งรางๆ แต่กลับเริ่มแตกทลายแล้ว
“โฮก…”
ยามเสียงเสือคำรามดังขึ้น
ตูม…
ปึง… ปึง… ปึง…
ตัวครอบแสงทองแตกระเบิดต่อหน้าภิกษุชราสามรูป พวกเขาถูกดีดลอยออกไปสามทิศทาง
ตึง…
ภิกษุชราหนึ่งในนั้นกระแทกกำแพงอารามโดยตรง ตัวยุบเข้ากำแพงจนเกิดเป็นรอยร้าว
“พรวด…” เลือดแดงสดเหลือบสีทองอ่อนพ่นออกมา ภิกษุชราร่วงลงจากกำแพง สองมือยันพื้นไม่ได้ทิ้งตัวนอนราบ มองไปหน้าอารามอย่างสั่นเทา
เสียงธรรมทั่วอารามสงบลงโดยไม่รู้ตัว ภิกษุทุกรูปต่างเงยหน้ามองไปตรงประตูอารามอย่างตกตะลึง
สัตว์ประหลาดขนาดเท่าตำหนักตัวหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้า คล้ายเสือแต่ไม่ใช่เสือ คล้ายมารแต่ไม่ใช่มาร เมื่อมองโดยละเอียดบนตัวเสือยักษ์คล้ายมีใบหน้าคน หางด้านหลังวาดกวาดเหมือนมายาหลายสาย คล้ายหางมากมายกวัดแกว่ง
ปราณปีศาจไร้สิ้นสุดทะลวงฟ้า ทำให้เห็นลักษณ์ประหลาดมากมาย ยามปราณปีศาจไหลวนเหมือนเปลวเพลิงไร้ขอบเขตแผ่กระจายทั่วทิศ คล้ายเปลวเพลิงทั่วฟ้าวายุดำพันรอบ
สัตว์ร่างยักษ์ยื่นกรงเล็บข้างหนึ่งออกมา ดึงคทาขักขระซึ่งฝังอยู่ตรงหน้าผากออกมาเบาๆ มองแล้วแสยะยิ้มเล็กน้อย จากนั้นค่อยสะบัดกรงเล็บ
ฮูม…
คทาขักขระแหวกอากาศทะลวงอารามชนห้องบำเพ็ญ ครึ่งห้องถล่มลงมาจนพื้นยุบสองฉื่อ