เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 36 วิวัฒน์ฟ้าดิน
ตอนที่ 36 วิวัฒน์ฟ้าดิน
เนื่องจากอ่อนเพลีย จี้หยวนพิงโต๊ะหินหลับไปโดยไม่รู้ตัว ระหว่างพักผ่อนร่างกายราวต้นไม้แผ่กิ่งก้านในฤดูใบไม้ผลิ กระดูกเส้นลมปราณอวัยวะตันห้ากลวงหก[1]ล้วนเหยียดขยาย ปราณวิญญาณที่เกินความจำเป็นกระจายออกจากตัวเหมือนกลุ่มควัน ทำให้จี้หยวนกลับสู่ความผ่อนคลาย
“ท่านจี้ ข้านำตำรามาส่งให้ท่านแล้ว!”
เสียงแผ่วเบาดังมาจากนอกเรือน จี้หยวนซึ่งกึ่งหลับกึ่งตื่นหรี่ตามองไปทางประตูเรือน
“ผู้ลาดตระเวนหลิวใช่หรือไม่ เชิญเข้ามา ข้าเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ขอไม่ออกไปเปิดประตู”
ถึงอย่างไรก็เป็นผี เดินเข้ามาเลยก็ได้ ทั้งจี้หยวนยังคิดว่าตนสนิทสนมกับ ‘เหล่าหลิว’ แล้วด้วย
นอกเรือนผู้ลาดตระเวนสองคนกับยมทูตดำกางร่มใหญ่สีดำสี่คนมองกันไปมา จากนั้นจึงชะลอก้าวย่างผ่านประตูเรือนสันติ ใต้เท้าหลักเมืองออกคำสั่งด้วยตัวเอง ยมทูตดำอำเภอนี้ห้ามรบกวนความเงียบสงบของเรือนสันติ ทั้งต้องเคารพนบนอบต่อเจ้าของเรือนด้วย
จี้หยวนนั่งมองยมทูตกลุ่มนี้เข้ามาในเรือนเล็ก มาเยอะขนาดนี้เชียว!
จี้หยวนมองดวงอาทิตย์บนฟ้า ผู้ลาดตระเวนสองคนน่าจะมีความสามารถตามตำแหน่งของตนอยู่บ้าง คนอื่นคงต้องอยู่ภายใต้ร่มใหญ่คันนั้นกระมัง
ยมทูตดำสี่คนด้านหลังภายใต้ร่มแบกหีบไม้ไผ่ตามพวกเขาเข้ามา เห็นชัดว่าในเรือนเล็กอึมครึมลงมาก
“ท่านจี้ นี่คือตำราที่ใต้เท้าหลักเมืองสั่งให้พวกเรานำมา ท่านว่าวางตรงไหนจึงเหมาะสม”
จี้หยวนอดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง ชี้ไปข้างโต๊ะหินพลางกล่าว
“วางตรงนี้เถอะ”
แต่หีบหนังสือกับตำราพวกนี้ล้วนทะลุผ่านประตูตามพวกยมทูตเข้ามา ใช่ว่าไม่มีแก่นสารกระมัง
ยังดีที่ความจริงพิสูจน์ว่าจี้หยวนกังวลมากไป ยมทูตดำสี่คนวางหีบหนังสือซึ่งแบกอยู่ลง ผู้ลาดตระเวนสองคนยื่นมือหยิบหีบหนังสือวางข้างโต๊ะภายใต้ร่มเบาๆ
จี้หยวนได้ยินเสียงสัมผัสพื้นยามวางหีบหนังสือ แน่นอนว่าเป็นเสียงของจริง คิดว่าเมื่อครู่คงเป็นวิชาผีย้ายของอย่างที่เล่าลือในชาติก่อน
“ท่านจี้ ส่งตำราแล้ว พวกเราขอลา!”
“เอ่อ ได้ ขอบคุณทุกท่าน!”
จี้หยวนดึงความสนใจกลับมาจากหนังสือ ประสานมือไปทางพวกยมทูตดำตามธรรมเนียม แน่นอนว่าอีกฝ่ายคารวะตอบโดยไม่กล้าละเลย จากนั้นค่อยทะลุผ่านประตูออกไป
ถึงอย่างไรก็เป็นผี ต่อให้เป็นคนจี้หยวนก็ไม่คิดจะรั้งตัวตามพิธีรีตอง
รอจนยมทูตดำทั้งหมดจากไปแล้ว จี้หยวนผ่อนคลายลงพลางมองหนังสือสี่หีบนั่น เดินไปยกหีบหนังสือหนึ่งในนั้นมาวางบนโต๊ะหินทันที
เมื่ออยู่ในมือค่อนข้างหนัก แต่จี้หยวนรู้สึกเหมือนหนักไม่พอ หีบตำราไผ่ใหญ่ขนาดนี้ถ้าบรรจุตำราจนเต็มควรหนักมากถึงจะถูก
เมื่อเปิดหีบหนังสือออก ในสายตาพร่ามัวมองไม่เห็นตำรากองพะเนินอย่างที่คิด แต่เป็นของที่ดูเหมือนทรงกระบอกบางส่วน
พอยื่นมือสัมผัสในใจพลันเกิดมโนทัศน์
‘ม้วนไม้ไผ่!’
จี้หยวนหยิบม้วนไม้ไผ่เล่มหนึ่งในนั้นออกมาชั่งน้ำหนักบนมือ จากนั้นค่อยเปิดออกช้าๆ
‘เทพหลักเมืองมีน้ำใจนัก!’
ม้วนไม้ไผ่พวกนี้ต่างจากตำราซึ่งใช้พู่กันเขียนอักษรทั่วไป ตัวอักษรบนนั้นทั้งหมดล้วนแกะสลักออกมา นิ้วมือจี้หยวนลูบผ่านม้วนไม้ไผ่เบาๆ ‘อ่าน’ เนื้อหาบนนั้นออกอย่างเป็นธรรมชาติมาก
ไม่ว่าเทพหลักเมืองตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จี้หยวนล้วนรับน้ำใจ
‘ดูท่าว่าไม่ต้องหาคนมาช่วยโดยเฉพาะแล้ว!’
…
เวลาล่วงมาถึงยามดึก แต่จี้หยวนกลับไม่ง่วงนอนแม้แต่น้อย
ในฐานะที่เป็นผู้ซึ่งการมองเห็นตอนกลางวันกับกลางคืนไม่ต่างกันคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ต้องจุดเทียนไข ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงตอนนี้ จี้หยวน ‘อ่าน’ หนังสืออยู่กลางลานตลอด
บ้างถือม้วนไม้ไผ่ บ้างวางม้วนไม้ไผ่แผ่บนโต๊ะหิน ใช้นิ้วชี้ลูบผ่านทุกตัวอักษรโดยละเอียด
ตัวอักษรที่แกะสลักบนม้วนไม้ไผ่เล็กและละเอียดมาก สิ่งนี้ทำให้ทุกม้วนไม้ไผ่รองรับตัวอักษรได้ไม่น้อย จี้หยวนอ่านอย่างละเอียดและเนิบช้านัก
เนื้อหาภายในนั้นคือเขตแดนที่จี้หยวนไม่เคยสัมผัส เป็นเนื้อหาซึ่งทำให้ชายหนุ่มจากยุคเปี่ยมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคนหนึ่งจดจ่อนัก
ความจริงตอนนี้จี้หยวนตื่นเต้นจนไม่เป็นตัวเองแล้ว
‘เราแม่งอัจฉริยะจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะฉลาดขนาดนี้!!’
จี้หยวนพบว่าตนเข้าใจคำพูดลึกลับยากหยั่งถึงพวกนั้นทั้งหมด
ยามดูดซับปราณวิญญาณเขียวเข้าไปไหลวนในกายไม่กี่ครั้งก่อน สิ่งที่เรียกว่าจุดเส้นลมปราณจี้หยวนล้วนสัมผัสถึงอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เรื่องไม่อาจระบุก็มีแค่ชื่อเรียกกับความเข้าใจต่อจุดเส้นลมปราณพวกนี้ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเรียนรู้ได้จากตำรา
จี้หยวนอ่านช้ามาก ไม่อยากเข้าใจความหมายผิดสักจุด เมื่ออ่านถึงช่วงหน้าสุดท้ายก็จะพลิกกลับมาทำความเข้าใจร่วมกับหน้าแรกอย่างต่อเนื่อง
หยินหยางห้าธาตุ แปดทิศหกประสาน สัมผัสรู้ถึงความปราดเปรื่องของภูผาธาราวารีสรรพสิ่ง ชักนำปราณวิญญาณแห่งฟ้าดิน ชะล้างตัวตนฝึกการบำเพ็ญเพียร!
ตำราในมือจี้หยวนคือวิชากำหนดปราณเล่มหนึ่ง ตั้งชื่อธรรมดามาก ทั้งเป็นตำราดาษดื่นทั่วไปจริงๆ สำหรับโลกผู้บำเพ็ญถือเป็นวิชาฝึกพื้นฐานธรรมดา แบบเดียวกันยังมีไม่น้อย ทั้งมีตำราชั้นสูงเฉพาะเจาะจงรายละเอียดเรื่องหยินหยางกับห้าธาตุด้วย
แต่สำหรับคนทั่วไปรวมถึงผู้ทรงอำนาจบนโลก ยังคงเป็นตำราสวรรค์อัศจรรย์ซึ่งไม่อาจเอื้อมถึง
สำหรับจี้หยวนสิ่งนี้ก็เป็นสมบัติล้ำค่ายิ่ง ถือเป็นตำราบุกเบิกสู่การฝึกปราณของเขา!
ในเมื่อมาถึงโลกใบนี้แล้ว ใครไม่อยากโดดเด่นไม่เหมือนใครบ้าง ใครไม่อยากอายุยืนเป็นอมตะเล่า
‘ที่แท้ครั้งแรกที่เห็นภาพทิวทัศน์ในกายตรงโรงเตี๊ยมไม่ใช่เพราะเราพิเศษเกินไป แต่ผู้ชักนำปราณวิญญาณครั้งแรกมีโอกาสเห็นลักษณ์ประหลาด’
แต่ละคนเห็นภาพภายในกายต่างกันไป เช่นมีคนเห็นเส้นปราณดุจสายน้ำ บ้างเห็นเป็นเปลวไฟลุกโชน สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติและสภาวะจิตของตน
ผู้เห็นลักษณ์ประหลาดในตัวเช่นนี้มีไม่มาก บ้างถูกอาจารย์ประเมินสูงว่ามีความหวังมากกว่าอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าไม่แน่นอน แต่ความสำเร็จของคนประเภทนี้มักจะมีความหวังมากกว่า
‘เราเป็นอัจฉริยะดังคาด!’
จี้หยวนอ่านถึงตรงนี้แล้วเผยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ จากนั้นค่อยเก็บรอยยิ้มกลับหลังผ่านไปไม่กี่วินาที ด้วยตำราบอกว่าลักษณ์ประหลาดที่เห็นยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งดี เห็นหิมะขาวเรืองรองหรือเปลวไฟลุกโชนล้วนดียิ่ง ยิ่งเห็นซับซ้อนยิ่งไม่เข้าที
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมือนว่าตนเห็นความงามของทิวทัศน์ฟ้าดิน ซับซ้อนจนไร้สิ้นสุดแล้วกระมัง…
ช่างเถอะๆ ไม่ไปคิดเรื่องพวกนี้แล้ว!
ค้นคว้าวิชากำหนดปราณถึงยามวิกาล จี้หยวนพอจะเข้าใจเนื้อหาวิชากำหนดปราณอย่างลึกซึ้งแล้ว ภายในหีบตำราสองสามหีบนอกจากมี ‘สรุปวิชา’ รวบยอดวิชาทั่วไปกับบันทึกวิชาเล็กน้อยบางส่วนแล้ว ก็ไม่มีตำราการบำเพ็ญเพียรอีก ม้วนไม้ไผ่ส่วนที่เหลือคือตำราลับวิชายุทธ์กับตำราหมากบางส่วน
“ลองดูเถอะ!”
จี้หยวนกล่าวเสียงเบากับตัวเองประโยคหนึ่ง นั่งตัวตรงบนม้านั่งหินก่อนผ่อนคลายกายใจ
นอกกายคือโลกกว้างใหญ่ ภายในกายคือโลกใบเล็ก ทุกจุดเส้นปราณย่อยถึงแต่ละอวัยวะภายในกายล้วนสอดคล้องกับนัยเร้นลับหยินหยางห้าธาตุดาราทั่วหล้ากลางฟ้าดิน สิ่งที่เรียกว่าการฝึกปราณก็คือการหยั่งรู้ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ครองมหามรรคพลังฟ้าดิน
จี้หยวนหายใจแผ่วเบาเนิบช้า ลมหายใจผ่านทรวงอกลงสู่ท้อง ยามม้วนตัวภายในกายและแผ่ขยายไปทั่วร่าง ความรู้สึกนึกคิดเลือนราง คล้ายตามลมหายใจหมุนวนอยู่ในกาย ทั้งเหมือนตามลมหายใจออกนอกกาย แผ่กระจายรอบตัวทั่วรัศมีฟ้าดินกว้างใหญ่ อาศัยสิ่งนี้มาสัมผัสปราณวิญญาณกลางฟ้าดิน
วิชาลับกำหนดปราณ… วิวัฒน์ฟ้าดิน!
ไม่สนใจว่าฝึกปราณด้วยวิชาประเภทไหน ไม่สนใจว่าอยู่แดนอัศจรรย์จวนเซียนหรือในป่าเขาธรรมดา หรือพวกมุ่งหวังความอายุยืนเป็นอมตะ มีคนมากน้อยเท่าไหร่ติดอยู่ด่านแรกนี้!
แต่จี้หยวนกลับเข้าสู่ยอดขอบเขตโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกว่าด่านนี้ยากลำบากแม้แต่น้อย
จี้หยวนคิดว่าความรู้สึกตอนนี้อันที่จริงอัศจรรย์ใกล้เคียงยามชักนำปราณวิญญาณเข้าตัวครั้งแรกมาก แค่ตอนนั้นร่างกายกับฟ้าดินกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดคือภาพในตัว แต่การแผ่จิตรับรู้ตอนนี้คือการวิวัฒน์ภาพจริง
คล้ายมีคล้ายไม่มี อีกทั้งราวกับดำรงอยู่ทุกแห่งหน สิ่งที่เรียกว่าปราณวิญญาณมีสภาพล่องลอยกลางฟ้าดิน เป็นสิ่งที่ถูกจี้หยวนมองเห็นได้
ก็เหมือนความคิดกลายเป็นแม่เหล็กแผ่นหนึ่ง ปราณวิญญาณน้อยนิดกระจัดกระจายถูกดูดมารวมกัน สุดท้ายจึงห้อมล้อมอยู่ข้างกายจี้หยวน ซึมจากผิวหนังรอบตัวเข้าสู่ร่างกาย
ไม่ชาหนึบและไม่ปวดแสบ คล้ายฝนฤดูใบไม้ผลิตกลงสู่พื้นดิน โปรยปรายลงมายามจำเป็น ทำให้จี้หยวนมีแค่ความรู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น
ภายในกายไม่ดึงดูดปราณมากเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ผ่อนคลายผิดปกติและสอดคล้องกันผิดธรรมดา ถึงขั้นบริสุทธิ์ขึ้นด้วย จี้หยวนแอบรู้สึกว่าตอนนี้ต่างหากที่เป็นหนทางถูกต้องของการดูดซับปราณวิญญาณ!
แต่วิธีควบคุมซึ่งจี้หยวนตั้งเองกลับทำให้จี้หยวนยกระดับความมั่นใจเรื่องประสิทธิภาพการฝึกปราณ
[1] อวัยวะตันห้า ได้แก่ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด ไต จัดว่าเป็นหยิน มีหน้าที่สร้างและเก็บสารจำเป็น แต่ไม่ทำหน้าที่กำจัด สะสมสารจำเป็นของชีวิตและควบคุมการไหลเวียนของพลังลมปราณและเลือด อวัยวะกลวงทั้งหก ได้แก่ ถุงน้ำดี ลำไส้เล็ก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ ซานเจียว จัดว่าเป็นหยาง ทำหน้าที่เกี่ยวกับการย่อย ดูดซึม และขับถ่าย